พูดจาภาษาทรัมป์

ภาษาทรัมป์

มีคนบอกว่า นักการเมืองที่ประสบความสำเร็จมากๆ มักจะมี ‘ภาษา’ เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร ตัวอย่างหนึ่งที่คนพูดถึงเยอะมาก ก็คือ ‘ภาษาแบบทรัมป์’ ที่ไม่เหมือนกับอดีตประธานาธิบดีคนไหนๆ เลย หรือแม้กระทั่ง ‘ภาษาแบบทักษิณ’ ของคุณทักษิณ ชินวัตร ก็มีลีลาเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร ไม่นับรวมภาษาของนักการเมืองอื่นๆ อีกหลายคน ตั้งแต่วินสตัน เชอร์ชิลจนถึงสมัคร สุนทรเวช, เนลสัน แมนเดลา ถึงอานันท์ ปันยารชุน หรือจอห์น เอฟ. เคนเนดี ถึงพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และคนอื่นๆ อีกมากมาย

มีผู้วิเคราะห์ไว้หลายที่ว่า ลักษณะเฉพาะของ ‘ภาษาแบบทรัมป์’ คือภาษาที่ ‘กระแทกใจคน’ ด้วยคำง่ายๆ สั้นๆ และพูดซ้ำๆ ประโยคของทรัมป์จะมีลักษณะห้วนๆ ตรงไปตรงมา ไม่มีอนุประโยคที่แทรกเข้ามาทำให้เป็นประโยคเชิงซ้อน เช่น China is laughing at us. หรือ We are not winning anymore. อะไรทำนองนี้ไปเลย ไม่ประดิดประดอยภาษา

ที่สำคัญก็คือ จะเล่นกับ ‘ตรรกะทางอารมณ์’ (emotional logic) มาก เวลาฟัง คนที่คล้อยตามอยู่แล้วจึงรู้สึกว่าสิ่งที่ทรัมป์พูดนั้นถูกต้องดีงามไปหมด ยิ่งเมื่อเอามาประกอบกับวิธีคิดแบบ ‘สองขั้วสุดขั้ว’ (ultra-binary opposition) คือแบ่งโลกออกเป็นขาวจัดดำจัด เช่น บอกว่าอเมริกาดีกว่าทุกประเทศ หรือคนที่เห็นเป็นอื่นคือศัตรูของชาติ ก็ยิ่งทำให้กลุ่มคนฟังที่โน้มเอียงจะเชื่อแบบทรัมป์อยู่แล้วเชื่อได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่รู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง ไม่มีปากเสียงในสังคม หรือมีอาการ ‘น้อยเนื้อต่ำใจทางการเมือง’ มักจะรู้สึกคล้อยตามเขาได้ง่าย ยิ่งเมื่อทรัมป์มีลักษณะกล้าพูดกล้าฟัน คนเหล่านี้ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีคนมาคอยพูดแทนตัวพวกเขาในประเด็นต่างๆ ที่เป็นปัญหาชีวิตเฉพาะหน้า

ภาษาแบบทรัมป์ คือภาษาของการ ‘รวมพลัง’ ให้คนคล้อยตามและรวมกันเป็นหนึ่ง เป็นภาษาที่ ‘ฝ่ายขวา’ ในอดีตเคยใช้ในหลายกรณี ภาษาแบบนี้ไม่ได้เน้นไปที่ ‘การอธิบายเหตุผล’ ให้รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงทำอย่างที่ทำอยู่ (เช่น แม้ในขณะนี้ คนทั้งโลกก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมทรัมป์ต้องตั้งกำแพงภาษีสูงขนาดนั้น รวมไปถึงประเด็นอื่นๆ ที่ดูเหมือนกลับไปกลับมาด้วย ซึ่งเราก็ไม่อาจรู้ได้จริงๆ ว่าเป็นกลยุทธ์ของทรัมป์หรือเพราะเขาชอบทุบโต๊ะโดยไม่อยากเข้าใจความซับซ้อนใดๆ กันแน่) แต่บอกไปเลยว่าจะทำอะไร และไม่ได้แม้กระทั่งคาดหวังว่าผลจะเป็นอย่างไรเสียด้วยซ้ำ แต่เหมือน ‘รู้ดี’ (กว่าคนอื่น) ว่าจะเกิดผลอย่างไรขึ้นมาจากการกระทำนั้นๆ

ภาษาแบบทรัมป์จึงกำลังเท่ากับการตะโกนบอกโลกทั้งใบว่า เขากำลังทำให้ ‘ความซับซ้อน’ (ที่เคยฝังอยู่ในรูปของภาษา) เป็นเรื่องไม่จำเป็น ซับซ้อนมากอาจไม่สัมฤทธิ์ผลเพราะมัวแต่คิดอยู่นั่น

ในระยะหลัง ถ้าสังเกตดีๆ เราจะพบคอมเมนต์ตามสื่อโซเชียลประมาณว่า – ขอร้องเถอะ เรียนอะไรกันมา ทำไมจะสื่อสารอะไรต้องประดิษฐ์ถ้อยคำ ประโยค ให้มันดูซับซ้อน ด้วยภาษาที่อ่านแล้วต้องตีความซ้ำสองสามครั้ง กว่าจะรู้เรื่อง เขียนประโยคง่ายๆ กันไม่เป็นหรือไง (ทั้งคอมเมนต์ไทยและคอมเมนต์ต่างชาติ) คอมเมนต์ประเภทนี้มักจะปรากฏกับบทความเชิงวิชาการหรือกึ่งวิชาการ ประเภทที่ต้องอธิบายเหตุผลต่างๆ อย่างซับซ้อน และแม้พยายามทำให้ง่ายแล้ว แต่ความซับซ้อนก็ยังซับซ้อนอยู่ดี ซึ่งก็ต้องบอกว่าไม่ใช่ความผิดของความซับซ้อน ไม่ใช่ความผิดของผู้พยายามอธิบายความซับซ้อน และไม่ใช่ความผิดของคนที่อ่านคำอธิบายนั้นไม่รู้เรื่องด้วย

สิ่งที่น่าสนใจกว่าการพยายามหาว่าใครผิดใครถูก ก็คือทำไม ‘เสียง’ แบบนี้จึงปรากฏมากขึ้นในระยะหลัง ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมแอบคิดว่าเป็นเสียงที่ได้รับการ empower จากปรากฏการณ์ ‘ภาษาทรัมป์’ นี่แหละ

บางคนอาจคิดว่าภาษาแบบทรัมป์เป็นภาษาที่ไม่เป็นวิชาการ ไม่มีวาทศิลป์ หรือถึงขั้นไร้สติปัญญาไปเลยก็มี แต่ที่จริงมันคือภาษาที่ทำให้คนฟัง ‘รู้สึกมีอำนาจ’ ได้โดยไม่ต้อง ‘คิด’ มากกว่า ซึ่งสอดรับกับยุคสมัยที่ผู้คนดูจะ ‘อ่อนล้า’ กับการคิด และมักฝาก ‘ความคิด’ เอาไว้นอกตัว (เช่นกับเอไอหรือการกูเกิล) จนก่อให้เกิดสภาวะ cognitive offloading ดังนั้น การมี ‘ผู้นำ’ ที่ใช้ภาษาง่ายๆ เพื่อแสดงอำนาจแบบนี้ จึงอาจสอดคล้องกับตัวตนและการให้คุณค่าในชีวิตมากกว่าก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม พอมาดูภาษาของทรัมป์แล้ว ก็อดคิดถึงภาษาของนักการเมืองคนอื่นๆ ไม่ได้ ในประวัติศาสตร์ เรามีนักการเมืองที่ ‘พูดเก่ง’ (ไม่ใช่แค่ ‘ดีแต่พูด’) อยู่เยอะนะครับ โดยนักการเมืองที่ใช้ภาษาแบบยิ่งใหญ่ประดุจมหากาพย์ (หรืออาจเรียกได้ว่าใช้ภาษาแบบ epic-oratorical style) คนที่โดดเด่นมากๆ คนหนึ่งก็คือ วินสตัน เชอร์ชิล

เขาเคยกล่าวสุนทรพจน์ที่มีชื่อเสียงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนที่เยอรมนีบุกฝรั่งเศสได้อย่างรวดเร็วเกินคาด จนก่อให้เกิดปฏิบัติการที่ดันเคิร์กขึ้น สุนทรพจน์นั้นเน้นคำซ้ำๆ ว่า We shall fight เช่นWe shall fight on the beaches, we shall fight on the landing grounds, we shall fight in the fields and in the streets…

ถ้าลองอ่านหรือฟังเต็มๆ จะพบว่ามัน ‘ทรงพลัง’ เอามากๆ แต่เป็นความทรงพลังแบบอลังการ และมีการใช้ ‘เครื่องมือทางวาทศิลป์’ (rhetorical devices) หลายอย่าง เช่น การเลือกสรรคำที่หนักแน่นและซ้ำเพื่อให้เกิดพลัง มีการเล่นจังหวะการพูดแบบลั่นกลองศึกที่สม่ำเสมอแทรกอยู่ในถ้อยคำ หรือการใช้เทคนิคที่เรียกว่า anaphora คือการซ้ำคำในการเริ่มต้นจังหวะพูด (ในที่นี้คือ We shall fight) หรือการวางประโยคต่อกันโดยไม่มีการเชื่อมด้วยอะไรทั้งนั้น (เรียกว่า parataxis) ซึ่งมีผู้วิเคราะห์ว่าทำให้เกิดความรู้สึกต่อเนื่องเหมือนเครื่องจักร

อีกคนหนึ่งที่ใช้ภาษาได้โดดเด่นมากก็คือ บารัก โอบามา เช่นในคำปราศรัยที่โด่งดังที่สุดครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์อเมริกา คือ ‘Yes We Can’ ที่ใช้คำว่า Yes, we can ซ้ำหลายครั้งตลอดการพูดทั้งขึ้นต้นและลงท้ายเพื่อเน้นย้ำและสร้างจังหวะที่ทรงพลัง เช่น Yes, we can heal this nation. Yes, we can repair this world. Yes, we can. คือไม่ได้ใช้แค่ขึ้นต้นเท่านั้น แต่ใช้ตบท้ายด้วย หรือ It was whispered by slaves and abolitionists, as they blazed a trail toward freedom…Yes, we can. ซึ่งเป็นภาษาที่งดงามเหมือนกวีที่ส่งเสียงเพรียกเรียกประวัติศาสตร์ของทั้งทาสและผู้ต่อสู้เพื่อการเลิกทาสเข้ามาในคำพูดของเขา (บางคนบอกว่าเป็นเทคนิคที่เรียกว่า allusion) แล้วตบท้ายด้วยคำง่ายๆ ที่ทุกคนเข้าใจและกลายเป็นคำติดปากว่า Yes, we can (ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นวิธีสร้างสโลแกนหรือ sloganization แบบหนึ่ง คือต่อให้จำอะไรไม่ได้เลย ก็ต้องจำคำว่า Yes, we can ได้)

ถ้าบอกว่าเชอร์ชิลมีภาษาแบบมหากาพย์ ส่วนโอบามามีภาษาแบบสมัยใหม่ อีกคนหนึ่งที่น่าจะมีภาษาอยู่กึ่งกลางระหว่างเชอร์ชิลกับโอบามา ก็น่าจะเป็นจอห์น เอฟ. เคนเนดี หรือที่เรารู้จักในนามของเจเอฟเค

ภาษาของเจเอฟเคนั้นโดดเด่นมาก โดยเฉพาะประโยคที่ทั้งโลกไม่เคยลืมอย่าง Ask not what your country can do for you ask what you can do for your country. ซึ่งมีการใช้กลวิธีแบบ antithesis หรือการเปรียบที่ขัดกัน มีการกลับถ้อยคำสองด้านเพื่อสร้างแรงกระแทกให้ผู้คนจดจำ แต่ที่น่าสนใจก็คือ มีผู้วิเคราะห์ว่าเจเอฟเคมีสุนทรพจน์อีกหลายครั้งที่แสดงให้เห็นว่าเขา ‘เลือก’ ระดับของคำที่ใช้ให้พอเหมาะพอเจาะ อยู่กึ่งกลางระหว่างคำพูดง่ายๆ แบบชาวบ้านๆ กับคำพูดแบบเทคโนแครต เช่นคำว่า liberty, sacrifice, commitment, heritage, mankind คือไม่ยากไม่ง่ายเกินไป และมักจะวางวิธีพูดให้มีสมดุลแบบสามท่อน จนบางคนบอกว่าคำพูดของเขาคล้ายกับดนตรีคลาสสิกจำพวกโซนาตาที่มีสามกระบวนเสมอ โครงสร้างประโยคจึงสมบูรณ์ และบ่อยครั้งก็ใช้วิธีเร่งเร้าคำที่มีเสียงต่างๆ เพื่อไล่ระดับความแรงด้วย เช่น Pay any price, bear any burden, meet any hardship, support any friend, oppose any foe

อริสโตเติลบอกว่า เวลาคนเราจะพูดจาเพื่อ ‘เชิญชวน’ หรือ ‘จูงใจ’ คนอื่นนั้น มีพื้นฐานสำคัญที่เรียกว่า modes of persuasion คือโหมดการโน้มน้าวแบบต่างๆ เป็นฐานให้กับสิ่งที่เราเรียกว่า ‘วาทศิลป์’ (rhetoric) มันคือศาสตร์แห่งการหาวิธีโน้มน้าวให้เหมาะกับสถานการณ์ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันสามข้อใหญ่ๆ (แต่ในตอนหลัง บางตำราก็มีการเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งหรือสองข้อ) ได้แก่ logos, pathos และ ethos

logos นั้น แค่เห็นคำก็จะนึกถึงคำว่า logic ขึ้นมาทันที เพราะมันก็คือการโน้มน้าวผ่าน ‘ตรรกะ’ ‘เหตุผล’ ‘ข้อมูล’ หรือ ‘ข้อเท็จจริง’ เช่น การยกตัวเลข สถิติอะไรพวกนี้ขึ้นมาประกอบกับเหตุผล คนที่ใช้ logos ในภาษามากๆ ก็มีทั้งเจเอฟเค, โอบามา, ลี กวนยู หรืออังเกลา แมร์เคิล เป็นต้น ส่วนในไทย ตัวอย่างที่เห็นชัดน่าจะเป็นคุณอานันท์ ปันยารชุน หรือในบางกรณีก็เป็นคุณสมัคร สุนทรเวช

ส่วน pathos คือการโน้มน้าวผ่านอารมณ์ความรู้สึก เป็นการ ‘ปลุกอารมณ์’ ของผู้ฟังเพื่อให้โน้มน้าวใจได้ง่ายขึ้น เพราะถ้าผู้ฟัง ‘รู้สึก’ เขาก็จะเชื่อ แม้จะยังไม่ทันได้ ‘คิด’ พูดแบบนี้ หลายคนอาจเห็นหน้า โดนัลด์ ทรัมป์ ลอยมาก่อนเลย ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทรัมป์ใช้ pathos เยอะมาก แต่ก็ไม่ได้แปลว่า pathos จะมีแต่อารมณ์ร้ายๆ แบบที่ทรัมป์ปลุกขึ้นมาอย่างเดียวนะครับ เพราะคนอย่างบารัก โอบามา, เนลสัน แมนเดลา หรือแม้แต่เซเลนสกี้แห่งยูเครน ก็มีลักษณะการใช้วาทศิลป์แบบ pathos ผสมเข้าไปด้วยเหมือนกัน เพียงแต่รูปแบบอารมณ์ที่ ‘ปลุก’ ขึ้นมา อาจจะแตกต่างกันไปเท่านั้น คนที่ใช้ pathos มักจะใช้เทคนิคที่แพรวพราว เช่น ใช้การเล่าเรื่องหรือ storytelling หรือใช้คำที่มีน้ำหนักอารมณ์ผสมเข้าไป หรือไม่อีกทีก็พยายามแบ่งข้างขาวดำแบบธรรมาธรรมะสงครามเพื่อให้เห็นภาพชัดๆ กันไปเลย (แบบทรัมป์นี่แหละครับ) ในไทย มีนักการเมืองที่ใช้ pathos ไม่น้อยนะครับ โดยเฉพาะเวลาปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง

โหมดที่สามคือ ethos อันนี้คือการโน้มน้าวผ่าน ‘ตัวตน’ ผู้พูด ซึ่งจะว่าไป เราพบได้ในสังคมไทยเยอะมากเหมือนกันนะครับ เพราะมันคือการที่ผู้ฟัง ‘เชื่อ’ เพราะ ‘ผู้พูดเป็นใคร’ เท่านั้นเอง

ethos นี้ โดยรากศัพท์แปลว่าลักษณะนิสัยหรือบุคลิก แต่ในวาทศิลป์แบบอริสโตเติล มันหมายถึงความน่าเชื่อถือ และอาจกินความไปถึง ‘คุณธรรม’ ในความคิดของผู้ฟังด้วย แต่ไม่ได้แปลว่าคนพูดจะต้องเป็นคนดีหรือไม่ดีนะครับ มันคือ ‘ความเชื่อ’ ของคนฟัง ว่าถ้าคนคนนี้มาพูดแล้วละก็ ต่อให้บอกว่าโลกแบนก็จะเชื่อ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนฟัง ‘ไว้ใจ’ ในตัวคนพูดอย่างมาก

เราจะเห็นได้ว่า ถ้ามองด้วยสายตาแบบอริสโตเติล โดนัลด์ ทรัมป์ จัดเป็นคนที่ใช้ภาษาในโหมด pathos และ ethos สูงมาก เขาแทบไม่ได้ใช้ logos ในการพูดหรือการสื่อสารเลย

ในยุคสมัยที่ผู้คนดูจะอ่อนล้ากับ ‘การคิด’ ดูเหมือนจะไม่มีใครต้องการ logos สักเท่าไหร่ ทั้งสื่อทั้งอินฟลูเอนเซอร์โหมกระหน่ำโหมด pathos และ ethos กันเต็มที่ และคนรับสารก็ดูเหมือนจะพร้อมอ้าแขนรับวิธีการแบบนี้ผ่านโซเชียลมีเดียด้วย

มีคนวิเคราะห์เอาไว้ว่า ทุกวันนี้ผู้คนอ่านหรือรับสิ่งที่ซับซ้อนไม่ได้มาก ด้านหนึ่งเป็นเพราะเราพึ่งพาสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวมากเกินไป เช่น การที่เราไม่ได้ ‘จำ’ ข้อมูลต่างๆ ไว้ในสมองของตัวเอง แต่ฝากความทรงจำเรื่องซับซ้อนเอาไว้ในโลกดิจิทัลต่างๆ (อย่างที่เรียกว่า cognitive offloading นั่นแหละครับ) ทีนี้เมื่อข้อมูลต่างๆ ไม่ได้ ‘ฝัง’ อยู่ในสมอง มักก็ไม่มีโอกาสปะทะสังสันทน์กันเพื่อให้เกิด ‘รอยจำ’ หรือ pathway ของเซลล์ประสาทใหม่ๆ ในสมอง ความสร้างสรรค์ก็ไม่ค่อยเกิด เราชอบเสพแต่สิ่งที่มีรูปแบบซ้ำๆ (repetitive pattern) และสื่อโซเชียลมีเดียจำนวนมากก็มุ่งเน้นไปในทิศทางนั้นด้วยเหมือนกัน ที่สำคัญก็คือ ข้อมูลยังล้นเกินจนทำให้ความสามารถในการประมวลผลหรือ ‘ค่อยๆ’ ไตร่ตรองใคร่ครวญลดน้อยถอยลง ความซับซ้อนจึงกลายเป็นสิ่งที่แปลกหน้ากับมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ

ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปได้อย่างยิ่ง ที่การที่ทรัมป์ใช้ทั้ง pathos และ ethos ในภาษาของเขา จึงทำให้ ‘ภาษาแบบทรัมป์’ เข้าถึงผู้คนในวงกว้างได้

ที่น่าสนใจก็คือ มีการศึกษาหลายชิ้น ทั้งงานวิจัยของมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น (Northwestern University) ในสหรัฐอเมริกา, ศูนย์วิจัยแร็กนาร์ ฟริช (Ragnar Frisch) ในนอร์เวย์ หรืองานของนักวิจัยด้านสติปัญญาและความฉลาดของมนุษย์อย่าง เจมส์ โรเบิร์ต ฟลินน์ (James Robert Flynn) ที่ระบุว่าไอคิวของมนุษย์เริ่มลดลงหลังทศวรรษ 1990 ในระดับที่แตกต่างกัน (ที่จริงแล้ว ฟลินน์เป็นต้นธารของคำว่า Flynn Effect ที่หมายถึงการศึกษาสติปัญญาของมนุษย์แล้วพบว่าในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา มนุษย์เรามีไอคิวเฉลี่ยสูงขึ้นเรื่อยๆ การค้นพบว่าไอคิวของมนุษย์เริ่มตกต่ำลง จึงเรียกว่า Reverse Flynn Effect)

คำถามก็คือ – สิ่งนี้เกี่ยวพันกับ ‘ภาษาแบบทรัมป์’ (ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กับตัวทรัมป์) ที่ลดทอนความซับซ้อนในการคิดของมนุษย์ลงหรือเปล่า แน่นอนว่าคำถามนี้คงยังตอบไม่ได้ในเร็วๆ นี้หรอกนะครับ เพราะยังต้องการการศึกษาอีกมาก แต่ก็เป็นเรื่องที่ควรจับตาดูเอาไว้

หลายคนอาจมองว่า การพูดการจาของนักการเมืองเป็นเรื่องของนักการเมือง ใครจะพูดอย่างไรก็พูดไป แต่ที่จริงแล้วถ้าเราบอกว่านักการเมืองคือ ‘ตัวแทน’ ของคนที่เลือกพวกเขาเข้าไป การพูดการจาหรือ ‘ภาษา’ ของนักการเมืองจึงอาจ ‘สะท้อน’ ย้อนกลับมาถึงตัวเราเองได้ด้วย

คำถามก็คือ แล้วภาษาของนักการเมืองไทยแต่ละคนล่ะ มันเป็นอย่างไรบ้าง?

อยากชวนคุณลองสังเกตดูนะครับ ว่าคำพูดที่หลุดหล่นจากปากนักการเมืองไทยให้เราได้ยินนั้น มันมีลักษณะแบบไหนบ้าง สมดุลระหว่าง logos, pathos หรือ ethos เป็นอย่างไร ใครใช้อะไรมากกว่ากัน หรือแม้กระทั่งว่า – นักการเมืองแต่ละคน ‘พูด’ ด้วยน้ำเสียงและสมองของตัวเองจริงๆ ในฐานะตัวแทนประชาชนไหม หรือพวกเขากำลัง ‘พูด’ ด้วยเสียงและสมองของคนอื่น – ซึ่งก็ต้องตั้งคำถามต่อว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น, คนเหล่านั้นคือตัวแทนของใครกันแน่

เขาพูด เธอพูด หรือเพียงแสดงออกว่ากำลังพูดอยู่ – เท่านั้น!

ภาษาทรัมป์

ภาษาทรัมป์

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save