หยุดยิงยังไม่เกิด ข้อตกลงสันติภาพยังห่างไกล: ความพยายามยุติ ‘สงครามรัสเซีย–ยูเครน’ ของทรัมป์ที่เต็มไปด้วยคำถาม

บรรยากาศการสนทนาที่ดูผ่อนคลายในห้องทำงานรูปไข่ระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดียูเครน โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี เมื่อวันจันทร์ที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา ดูจะเป็นภาพตรงข้ามกับเหตุการณ์เมื่อต้นปี ที่สองผู้นำ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลทรัมป์เคยปะทะคารมอย่างดุเดือดจนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการเข้าถึงทรัพยากรสินแร่ของยูเครนได้ การกลับมาเยือนกรุงวอชิงตันครั้งนี้ของเซเลนสกีจึงมีนัยสำคัญต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศและต่อสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อมาสามปีครึ่งแล้ว

ในครั้งนี้ เซเลนสกีไม่ได้กลับมาเพียงลำพัง แต่มีผู้นำชาติยุโรปหลายประเทศและเลขาธิการนาโตตบเท้าเข้ากรุงวอชิงตัน เพื่อแสดงออกถึงการยืนหยัดเคียงข้างยูเครน สำนักข่าว CNN ถึงกับเปรียบว่าบรรดาผู้นำยุโรปเหล่านี้เป็นเหมือน ‘บอดี้การ์ด’ ของเซเลนสกี หลังจากที่เขาเคยเผชิญแรงกดดันอย่างหนักในการเยือนวอชิงตันครั้งก่อน

ปฏิเสธไม่ได้ว่า นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง ความสัมพันธ์ทรานส์แอตแลนติกระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปเผชิญความสั่นคลอนมากที่สุดยุคหนึ่ง อย่างน้อยก็ในรอบ 80 ปีที่สหรัฐฯ เป็นหลักประกันความมั่นคงให้ยุโรป นอกจากทรัมป์จะแสดงท่าทีแข็งกร้าวและไม่เป็นมิตรต่อพันธมิตรยุโรปแล้ว เขายังแสดงท่าทีที่ต้องการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับปูติน และพยายามแสวงหาหนทางยุติสงครามในแบบที่เป็นการเคลื่อนไหวฝ่ายเดียว โดยปราศจากการมีส่วนร่วมของยุโรป การพบกันที่อลาสการะหว่างทรัมป์และปูติน ยิ่งตอกย้ำให้ยุโรปรู้สึกว่าอาจถูกกันออกจากสมการการเจรจาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในภูมิภาคตัวเองโดยสิ้นเชิง

แม้การพบปะกับผู้นำทั้งสองถูกนำเสนอว่าเป็น ‘ก้าวสำคัญ’ ที่จะพาไปสู่สันติภาพ ทว่าหลายคำถามสำคัญยังคงไม่ถูกตอบ

หนทางสู่ข้อตกลงสันติภาพจะเกิดขึ้นได้โดยปราศการการหยุดยิงหรือไม่? ปูตินกับเซเลนสกีจะยอมมานั่งเจรจาบนโต๊ะเดียวกันได้หรือเปล่า?

วันโอวัน ชวนย้อนมองการประชุมสำคัญในรอบสัปดาห์ ตั้งแต่การประชุมที่อลาสกา สู่วอชิงตัน เพื่อมองไปข้างหน้าว่าความพยายามในการพูดคุยเหล่านี้จะพาไปสู่การสิ้นสุดของสงคราม หรือเป็นการซื้อเวลาและต่ออายุความขัดแย้ง ซึ่งอาจนำโลกไปสู่สมการใหม่ของวิกฤตความมั่นคงในยุโรป

การประชุมทรัมป์-ปูตินที่อลาสกา: เข้าใกล้สันติภาพหรือลากยาวความขัดแย้ง?

หลังจากทรัมป์และปูตินพูดคุยทางโทรศัพท์เพื่อหารือในประเด็นสงครามรัสเซีย-ยูเครนมาแล้วถึงหกครั้ง ส่วนสตีฟ วิตคอฟฟ์ (Steve Witkoff) ผู้แทนพิเศษของทำเนียบขาวก็เดินทางไปเจรจากับเจ้าหน้าที่รัสเซียที่กรุงมอสโกถึงห้ารอบ ในที่สุดการพบปะกันแบบ ‘face-to-face’ ระหว่างสองผู้นำก็ถูกกำหนดขึ้นในวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม ที่รัฐอลาสกา ภายใต้สโลแกน ‘Pursuing Peace’

ก่อนหน้าที่การประชุมสุดยอดที่อลาสกาจะเปิดฉากขึ้น ทรัมป์แสดงท่าทีว่าเขาต้องการให้ ‘การหยุดยิงในยูเครน’ เป็นวาระสำคัญอันดับแรกๆ ทรัมป์ยังตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามว่าหากปูตินยังคงไม่ยอมตกลงที่จะยุติสงครามหลังการประชุมสุดยอดครั้งนี้จะเกิดอะไรกับรัสเซีย ทรัมป์ตอบว่า “จะมีผลลัพธ์ที่ร้ายแรงมาก” (There will be very severe consequences.) แต่เขาก็ไม่ได้ขยายความว่าผลลัพธ์ที่ว่านั้นคืออะไร

YouTube video

เมื่อดีเดย์มาถึง การหารือระหว่างทรัมป์และปูตินกินเวลาไปประมาณสามชั่วโมง แต่ท้ายสุดกลับไม่สามารถบรรลุผลที่หลายฝ่ายคาดหวัง ไม่มีแม้แต่การประกาศหยุดยิงที่ทรัมป์แสดงท่าทีหมายมั่นจะทำให้เกิดขึ้น ทรัมป์และปูตินกล่าวเพียงถ้อยแถลงสั้นๆ ที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการขอบคุณกันและกัน และเน้นย้ำว่าการประชุมครั้งนี้คือก้าวเดินไปสู่สันติภาพ ก่อนทั้งสองจะเดินออกจากห้องประชุมโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวได้ซักถามใดๆ

ภายหลังการประชุม ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความผ่านบัญชี Truth Social ย้ำว่าการทำ ‘ข้อตกลงสันติภาพ’ (peace agreement) คือหนทางที่ดีที่สุดในการยุติสงครามยูเครน อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกถามถึงรายละเอียดของการเจรจาที่อลาสกาในการให้สัมภาษณ์กับ Fox News คำตอบของทรัมป์ก็ยังคงเต็มไปด้วยความคลุมเครือ

ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้สื่อข่าวตั้งคำถามเกี่ยวกับการยอมสละดินแดนของยูเครนและหลักประกันความมั่นคงที่สหรัฐฯ อาจมอบให้แก่ยูเครน ทรัมป์ตอบเพียงว่า “ผมคิดว่านั่นคือประเด็นที่เราได้เจรจากันแล้ว และส่วนใหญ่ก็ได้ข้อสรุปกันแล้ว” โดยไม่ได้ขยายความเพิ่มเติมว่า ‘ข้อสรุป’ ที่กล่าวถึงนั้นคืออะไร เป็นที่น่ากังขาว่าสิ่งที่ทรัมป์เรียกว่า ‘ข้อสรุป’ อาจไม่ใช่ความตกลงที่แท้จริง แต่เป็นการสร้างวาทกรรมเพื่อแสดงบทบาทผู้นำที่สามารถขยับเกมการเจรจาได้

President Donald Trump poses for a photo with Russian president Vladimir Putin in the Billy Mitchell Room at Joint Base Elmendorf Richardson in Anchorage, Alaska, Friday, August 15, 2025. (Official White House Photo by Daniel Torok)

โอริเซีย ลุตเซวิช (Orysia Lutsevych) รองผู้อำนวยการโครงการรัสเซียและยูเรเซีย และหัวหน้า Ukraine Forum จาก Chatham House แสดงความเห็นต่อผลการประชุมที่อลาสกาในมุมที่สวนทางกับสิ่งที่ทรัมป์พยายามนำเสนอ เธอมองว่า “ทรัมป์กลับออกมาโดยมือเปล่า” ไม่มีข้อตกลงใดที่สมควรแก่การฉลอง และในทางกลับกัน ผลลัพธ์กลับดูตรงข้ามกับที่คาดหวัง เพราะการประชุมครั้งนี้เสมือนเป็นการพาปูตินออกจากสถานะความโดดเดี่ยวบนเวทีโลก

ลุตเซวิชยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาในมาตรการคว่ำบาตรที่ทรัมป์ไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้ แม้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพิ่งจะประกาศเส้นตายใหม่เมื่อเดือนก่อน กำหนดให้รัสเซียต้องตกลงสันติภาพภายในระยะเวลาที่กำหนด มิฉะนั้นจะเผชิญมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง แต่เส้นตายดังกล่าวได้เลยผ่านไปแล้ว หลังการประชุมที่อลาสกา ทรัมป์ยังให้สัมภาษณ์ว่ายังไม่ได้คิดเรื่องการใช้มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมในตอนนี้

ด้วยท่าทีเช่นนี้ ทำให้ปูตินมีตำแหน่งแห่งที่และสามารถซื้อเวลาเพื่อยืดความขัดแย้งออกไป แทนที่การประชุมอลาสกาจะเป็นจุดเริ่มต้นของสันติภาพ กลับกลายเป็นแรงหนุนที่ทำให้ปูตินยิ่งมั่นใจ และมีแนวโน้มจะลากสงครามนี้ต่อไปมากกว่าจะยุติลง

การประชุมทรัมป์-เซเลนสกี-ผู้นำยุโรปที่วอชิงตัน: แบบไหนคือหน้าตาของหลักประกันความมั่นคง?

นอกจากการพบปะกับปูตินจะทำให้ทรัมป์เปลี่ยนท่าทีจากการมุ่งเน้น ‘การหยุดยิง’ ไปสู่การผลักดัน ‘ข้อตกลงสันติภาพ’ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นการซื้อเวลาให้ปูติน ทรัมป์ยังกลับมาพร้อมท่าทีที่แข็งกร้าวต่อยูเครนอีกครั้ง

เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนการประชุมกับเซเลนสกีจะเริ่มขึ้น ทรัมป์โพสต์ข้อความใน Truth Social ว่า “ประธานาธิบดีเซเลนสกีสามารถยุติสงครามกับรัสเซียได้แทบจะทันที หากเขาต้องการ หรือไม่เช่นนั้น เขาก็สามารถเลือกที่จะสู้ต่อไป” นอกจากนี้ เขายังยืนยันอย่างชัดเจนว่า ยูเครนจะไม่มีวันได้ไครเมียกลับคืนมา (ดินแดนที่ถูกรัสเซียผนวกตั้งแต่ปี 2014) และจะไม่สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโตได้

ความกังวลที่ว่าทรัมป์อาจพยายามบีบให้ยูเครนยอมแลกดินแดนกับสันติภาพนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บรรดาผู้นำยุโรปตัดสินใจเดินทางมายังกรุงวอชิงตันเพื่อหารือร่วมกับทรัมป์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยุโรปเผยว่า การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความเร่งด่วนที่พันธมิตรยุโรปมองว่าจำเป็นต้องหาจุดยืนร่วมกับทรัมป์ในความพยายามยุติสงคราม และในเวลาเดียวกัน ก็ไม่ต้องการให้ยุโรปถูกกันออกจากการเจรจาครั้งสำคัญ

การพบปะระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีเริ่มต้นขึ้นด้วยบรรยากาศที่ค่อนข้างเป็นมิตร ผู้นำยูเครนกล่าวขอบคุณต่อความพยายามของทรัมป์ในการผลักดันกระบวนการสันติภาพ พร้อมส่งมอบจดหมายจากสตรีหมายเลขหนึ่งของยูเครนถึงสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ (ก่อนหน้านี้ เมลาเนีย ทรัมป์ ก็เพิ่งฝากจดหมายถึงปูตินเพื่อเรียกร้องให้ยุติสงครามและคำนึงถึงอนาคตของเด็กๆ)

อย่างไรก็ดี เมื่อเข้าสู่การหารือในประเด็นสำคัญว่าด้วยหลักประกันความมั่นคงให้แก่ยูเครน ทรัมป์ไม่ได้มีท่าทีไม่ปิดกั้นความเป็นไปได้ในการส่งทหารอเมริกันเข้าไปในยูเครนเพื่อรักษาสันติภาพ แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดที่ชัดเจน เขากล่าวกว้างๆ ว่าการแบ่งบทบาทว่าใครจะทำอะไรจำเป็นต้องนำไปหารือร่วมกับผู้นำยุโรปคนอื่นๆ ต่อไป

President Donald Trump participates in a bilateral meeting with President Volodymyr Zelenskyy of Ukraine, Monday, August 18, 2025, in the Oval Office. (Official White House Photo by Daniel Torok)

ส่วนการประชุมร่วมระหว่างทรัมป์ เซเลนสกี และเจ็ดผู้นำยุโรปจบลงโดยที่ทรัมป์เผยว่าเขาได้เริ่มจัดเตรียมการประชุมระดับทวิภาคีระหว่างปูตินและเซเลนสกี โดยจะมีการประชุมแบบไตรภาคีตามมาซึ่งรวมทรัมป์เข้าไปด้วย โดยทรัมป์ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับปูตินถึงประเด็นนี้แล้วหลังจบการประชุมกับเซเลนสกี อย่างไรก็ตามผู้นำชาติยุโรปมีจุดยืนที่ต่างออกไป โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง และผู้นำเยอรมนี ฟรีดริช เมิร์ซ เน้นย้ำว่าการหยุดยิงจะต้องเป็นพื้นฐานสำคัญของการเจรจาสันติภาพ และต้องมีการหยุดยิงก่อนจะมีการประชุมใดๆ เกิดขึ้นต่อ

ในประเด็นการสร้างหลักประกันความมั่นคง ทรัมป์ยังคงความคลุมเครือตลอดการประชุม ข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้นถูกเผยออกมาจากการให้สัมภาษณ์กับ Fox News หลังการประชุมร่วมจบลง ทรัมป์ระบุว่าชาติยุโรปพร้อมจะจัดส่งทหารเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้ยูเครน ขณะที่บทบาทของสหรัฐฯ จะมุ่งไปที่ ‘การสนับสนุนทางอากาศ’ มากกว่า ท่าทีดังกล่าวได้รับการยืนยันโดยโฆษกทำเนียบขาว แคโรไลน์ ลีวิตต์ (Karoline Leavitt) ซึ่งชี้แจงว่าการส่งกำลังทหารภาคพื้นดินของสหรัฐฯ จะไม่ถูกรวมไว้ในข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน บทบาทของวอชิงตันจะจำกัดอยู่ที่การสนับสนุนด้านการประสานงานและอาจจัดหาหลักประกันความมั่นคงในรูปแบบอื่น เพื่อเสริมการมีส่วนร่วมของชาติพันธมิตรแทน

President Donald Trump poses for a family photo with President Volodymyr Zelenskyy of Ukraine and European leaders before their multilateral meeting, Monday, August 18, 2025, in the Cross Hall on the State Floor of the White House. (Official White House Photo by Andrea Hanks)

คำถามใหญ่ก่อนเดินไปสู่โต๊ะเจรจาปูติน-เซเลนสกี

แม้การประชุมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาจะสะท้อนให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของทรัมป์ในการยุติสงครามรัสเซีย–ยูเครน (ถึงขั้นที่ประธานาธิบดีฟินแลนด์ยังบอกว่าความคืบหน้าในสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีมากกว่าที่เห็นมาตลอดสามปีครึ่ง!) แต่คำถามสำคัญยังคงอยู่ว่า การพบกันระหว่างปูตินกับเซเลนสกีภายใต้การผลักดันของทรัมป์จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่?

นับตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครน ปูตินปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่จะเจรจากับเซเลนสกีโดยตรง และแสดงท่าทีบั่นทอนความชอบธรรมของผู้นำยูเครนมาโดยตลอด เจ้าหน้าที่รัสเซียแทบไม่เอ่ยถึงชื่อเซเลนสกี ไม่นับว่ายูเครนยังเคยกล่าวหาว่ามอสโกได้ส่งทีมลอบสังหารเซเลนสกีในช่วงสัปดาห์แรกของการรุกราน ภาพเช่นนี้ตอกย้ำว่าการพบกันแบบตัวต่อตัวระหว่างผู้นำทั้งสองดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย

อีกประเด็นที่น่าขบคิด คือ ‘สันติภาพ’ ในนิยามที่ทรัมป์กำลังพยายามผลักดันอยู่นี้ มีหน้าตาเป็นแบบไหน? หากเป็นสันติภาพที่มาพร้อมกับการที่ยูเครนต้องยอมสละดินแดนหรืออธิปไตยบางส่วน ก็คงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นสันติภาพที่แท้จริง แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือไม่ ดังนั้น คำถามใหญ่ที่ประชาคมโลกต้องถาม คือ สันติภาพที่แท้จริงจะเกิดขึ้นจากการประนีประนอมอย่างยุติธรรมของทั้งสองฝ่าย หรือเป็นเพียงการยอมจำนนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าการเจรจาสันติภาพจะเกิดขึ้นในเร็ววันหรือไม่ แต่การหยุดความสูญเสียสามารถทำได้ตั้งแต่วันนี้ หากมีการหยุดยิง เพราะความสูญเสียที่ดำเนินต่อไปทุกวัน ทั้งชีวิตผู้คน บ้านเรือน โครงสร้างพื้นฐาน และบาดแผลทางจิตใจจากการพลัดพรากคนรัก ครอบครัว และแผ่นดินเกิด คือภาระอันประเมินค่าไม่ได้ที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องแบกรับระหว่างรอคอยข้อตกลง

อ้างอิง

Takeaways from Trump’s meetings with Zelensky and European leaders

Four key takeaways from Ukraine talks in Washington

Putin Won’t Even Say Zelensky’s Name. So Will He Sit Down With Him?

‘There’s No Deal Until There’s a Deal’

Ukraine talks: Trump arranging Zelenskyy-Putin meeting as European leaders push for US security guarantees

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

18 Oct 2022

รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นได้อย่างไร?: จากสงเคราะห์คนยากไร้ สู่สิทธิสวัสดิการที่ขาดไม่ได้

โกษม โกยทอง เขียนถึง เส้นทางการกำเนิดรัฐสวัสดิการในโลกตะวันตกและข้อถกเถียงในการสร้างรัฐสวัสดิการในแต่ละรูปแบบ

โกษม โกยทอง

18 Oct 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save