ทรัมป์-โมดี-USAID: ปมขัดแย้งทางการเมืองและความสัมพันธ์สหรัฐฯ-อินเดีย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาภายใต้การนำของโจ ไบเดนในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อินเดียได้ประโยชน์มากมายจากการย้ายฐานการลงทุนของสหรัฐฯ ออกจากจีน รวมถึงจากกรอบความร่วมมือหลากหลายด้านที่สหรัฐฯ เป็นแกนนำ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ทั้งสองประเทศมีความร่วมมือตั้งแต่ด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง ไปจนถึงเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้กลับอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง ในวันที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กลับมามีอำนาจ

ระหว่างวันที่ 12 -13 กุมภาพันธ์ 2025 นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดียจึงได้เดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา และพบประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อย่างเป็นทางการ ทั้งสองคนได้หารือกันในหลายประเด็น โดยเป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้โมดีต้องรีบเยือนสหรัฐฯ คือความกังวลเรื่องนโยบายการตั้งกำแพงภาษีต่อประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า ซึ่งอินเดียถือเป็นหนึ่งเป้าหมายสำคัญของทรัมป์

น่าสนใจว่าไม่นานหลังจากโมดีเดินทางกลับประเทศ ทรัมป์ได้สร้างความสั่นสะเทือนต่อการเมืองอินเดียและสถานะของโมดี ด้วยการอ้างว่าองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ (United States Agency for International Development: USAID) ให้เงินช่วยเหลือจำนวนกว่า 21 ล้านดอลลาร์แก่อินเดียเพื่อ “เพิ่มจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง” โดยข้อมูลนี้มาจากรายงานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานของอีลอน มัสก์ ภายใต้กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency: DOGE) โดยทรัมป์กล่าวระหว่างในการประชุม Governors Working Association ว่า

“…และ 21 ล้านดอลลาร์ถูกส่งให้เพื่อนของฉัน นายกรัฐมนตรีโมดีอินเดีย เพื่อเพิ่มผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง เราให้ 21 ล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งในอินเดีย แล้วพวกเราล่ะ? ฉันก็อยากให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง [ในสหรัฐฯ] ออกมาใช้สิทธิเหมือนกันนะ ผู้ว่าการ”[1]

แน่นอนว่าข้อกล่าวอ้างข้างต้นนี้ได้สร้างความปั่นป่วนทางการเมืองให้กับอินเดียโดยทันที และยังทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับบทบาทของ USAID ในประเทศอินเดียด้วย บทความนี้จึงต้องการสะท้อนให้เห็นถึงผลที่ตามมาจากข้อกล่าวอ้างของทรัมป์และปฏิกิริยาจากฝ่ายต่างๆ ในการเมืองอินเดีย พร้อมวิเคราะห์บทบาทของ USAID ในอินเดีย และความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอินเดียที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต

USAID คืออะไร และมีบทบาทอย่างไรในอินเดีย

USAID ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1961 ในช่วงสงครามเย็น โดยประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี เพื่อเป็นเครื่องมือของสหรัฐฯ ในการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาแก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมถึงสร้างพันธมิตรกับประเทศต่างๆ เพื่อต่อต้านอิทธิพลของสหภาพโซเวียต

อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือจาก USAID มาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ในช่วงแรก USAID มุ่งเน้นการช่วยเหลือด้านอาหารและการเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาความอดอยากและความยากจนในอินเดีย ซึ่งเป็นปัญหาหลักในทศวรรษ 1960 และ 1970 โดยสนับสนุนโครงการ Green Revolution ในอินเดีย ซึ่งนำเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่มาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร นอกจากนี้ USAID ยังขยายบทบาทไปสู่ด้านสุขภาพและการศึกษา โดยสนับสนุนโครงการสร้างโรงพยาบาลและโรงเรียนในพื้นที่ชนบท รวมถึงโครงการควบคุมโรคติดต่อ เช่น วัณโรคและโรคโปลิโอ เป็นต้น

ปัจจุบัน USAID ทำงานร่วมกับรัฐบาลอินเดียและองค์กรนอกภาครัฐในหลายโครงการ โดยเฉพาะด้านสุขภาพ การศึกษา และการพัฒนาชนบท ตัวอย่างเช่น โครงการ SAMRIDH ที่ร่วมมือกับสถาบันแห่งชาติเพื่อการเปลี่ยนแปลงอินเดีย (NITI Aayog) เพื่อพัฒนาการเข้าถึงการดูแลสุขภาพในพื้นที่ชนบทและชนเผ่า

อย่างไรก็ตาม นอกจากโครงการด้านการส่งเสริมการพัฒนาแล้ว USAID ยังถูกมองว่าเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่สำคัญของสหรัฐฯ ในการแผ่อิทธิพลทางการเมืองในทางอ้อมไปยังประเทศที่ขอรับทุนสนับสนุน ในกรณีของอินเดียก็เช่นเดียวกัน เพราะหลายครั้ง เงินทุนบางส่วนของ USAID ถูกนำไปสนับสนุนภาคประชาสังคมบางกลุ่มที่ต่อต้านและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล นอกจากนี้รายงานหลายชิ้นยังระบุชัดเจนว่ามีการใช้งบประมาณบางส่วนเพื่อส่งเสริมประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศอินเดีย ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่าอาจถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงทางการเมือง

ทั้งนี้ แม้ USAID อาจถูกมองว่าเป็นหน่วยงานทางการเมือง แต่ไม่ได้มีหลักฐานชัดเจนว่าการทำงานของหน่วยงานนี้ในอินเดียเข้าไปมีส่วนแทรกแซงทางการเมือง นั่นส่งผลให้ USAID ยังคงสามารถดำเนินการในอินเดียได้ ขณะที่หลายหน่วยงานระหว่างประเทศถูกรัฐบาลโมดีกีดกันและยังยั้งการดำเนินการภายในประเทศอินเดีย เพราะถูกมองว่ามีส่วนต่อการแทรกแซงกิจการภายในและเป็นภัยความมั่นคง อย่างไรก็ตาม การที่ทรัมป์เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะเรื่องงบประมาณที่ USAID สนับสนุนการเลือกตั้งในอินเดีย ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี อันนำมาซึ่งการถกเถียงครั้งใหญ่ในแวดวงการเมืองของอินเดียทุกวันนี้

ข้อกล่าวอ้างของทรัมป์และปฏิกิริยาจากฝ่ายการเมืองอินเดีย

แม้ยังไม่ได้มีการรับรองอย่างเป็นทางการว่าข้อมูลของทรัมป์มีข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงใด แต่การที่ทรัมป์ชี้ชัดและกล่าวชื่อโมดีออกมา ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสถานการณ์ภายในอินเดีย ซึ่งต้องยอมรับว่านับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2024 ที่พรรคบีเจพี (Bharatiya Janata Party: BJP) ไม่ได้ถือเสียงข้างมากแบบเบ็ดเสร็จในรัฐสภา การทำงานของฝ่ายค้านอย่างพรรคคองเกรส (Indian National Congress: INC) ย่อมมีพลังมากยิ่งขึ้น แตกต่างจากยุคโมดีสมัยที่ 1 และ 2

ข้อมูลที่ทรัมป์เปิดเผยย่อมนำมาซึ่งความคลางแคลงใจของฝ่ายค้านอย่างไม่ต้องสงสัย และนำไปสู่การเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการติดตามเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนว่า USAID มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแทรกแซงกิจการการเลือกตั้งของอินเดียหรือไม่ โดยฝ่ายค้านยังเรียกร้องให้รัฐบาลรายงานข้อมูลตัวเลขทางการเงินที่ USAID ใช้จ่ายภายในอินเดียด้วย เพราะมีหลายโครงการที่ดำเนินการโดยรัฐบาลได้รับการสนับสนุนจากองค์กรนี้

น่าสนใจว่าฝ่ายรัฐบาลเองได้ออกมาให้ข้อมูลเช่นกัน พรรคบีเจพีออกมาแถลงการณ์อย่างรวดเร็ว และเน้นย้ำว่าข้อมูลที่หลุดจากทรัมป์สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าการที่พรรคบีเจพีได้รับเสียงสนับสนุนลดลงเป็นผลสำคัญจากการแทรกแซงจากต่างประเทศ โดยพรรคบีเจพีอ้างว่าในยุคสมัยที่คองเกรสเป็นรัฐบาล คณะกรรมการการเลือกตั้งของอินเดียได้ทำบันทึกความเข้าใจกับ International Foundation for Electoral Systems ซึ่งเป็นพันธมิตรของ Consortium for Elections and Political Process Strengthening (หน่วยงานที่ทรัมป์ระบุว่าได้เงินจาก USAID ในการแทรกแซงการเมืองของหลายประเทศ)

เห็นได้ชัดว่าทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต่างโจมตีกันไปมาและใช้ประโยชน์จากข้อมูลชุดนี้ แต่ที่น่าสนใจคือ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของอินเดียได้แถลงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการโดยระบุว่า “รัฐบาลทราบถึงข้อมูลที่เผยแพร่โดยรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับกิจกรรมและเงินทุนบางส่วนของ USAID ซึ่งชัดเจนว่าน่าวิตกอย่างมาก สิ่งนี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการแทรกแซงจากต่างประเทศในกิจการภายในของอินเดีย หน่วยงานและกรมที่เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบเรื่องนี้” แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลอินเดียเองไม่ได้ให้การยอมรับหรือปฏิเสธต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการว่าเงิน 21 ล้านดอลลาร์ถูกนำมาใช้ในการเลือกตั้งอินเดียจริงหรือไม่ และถ้าจริง เงินจำนวนนี้ถูกใช้ไปเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองใด แต่ผู้ที่ดูจะเสียหายที่สุดจากเหตุการณ์นี้คงหนีไม่พ้นนายกรัฐมนตรีโมดี ที่จนถึงวันนี้ยังไม่ออกมาพูดหรือชี้แจงเรื่องนี้หลังจากที่ถูกทรัมป์กล่าวอ้างชื่อ สถานการณ์การเมืองของอินเดียจึงกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เนื่องจากโมดีและทรัมป์ต่างเรียกกันและกันว่า ‘เพื่อน’ เสมอ เพื่อสะท้อนความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของผู้นำทั้งสองประเทศ แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนอย่างทรัมป์กำลังสร้างปัญหาใหญ่ให้โมดี ที่กำลังโดนฝ่ายค้านโจมตีอย่างหนัก อีกทั้งประชาชนอินเดียก็ยังคลางแคลงใจอย่างมาก

ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-อินเดีย: จากพันธมิตรสู่ความตึงเครียด?

นักวิชาการทั้งในและนอกอินเดียมองและวิเคราะห์เหตุการณ์นี้แตกต่างกัน ส่วนใหญ่มองว่านี่เป็นความตั้งใจของทรัมป์ในการส่งสัญญาณบางอย่างมายังอินเดีย เพราะนอกจากข้อมูลที่ทรัมป์เปิดเผยออกมา เขายังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมหลังจากโมดีกลับไปว่า การพูดคุยกับโมดีไม่ได้หมายความว่าอินเดียจะรอดพ้นจากมาตรการทางด้านภาษีของสหรัฐอเมริกา และทรัมป์ยังวิจารณ์อินเดียว่าเป็นประเทศที่ตั้งกำแพงภาษีสูงจนทำให้ธุรกิจของสหรัฐอเมริกาเข้าไปดำเนินการหรือแข่งขันกับกลุ่มทุนของอินเดียได้ยาก

เมื่อผนวกเรื่องเหล่านี้เข้าด้วยกัน ก็อาจวิเคราะห์ได้ว่านี่คือสิ่งที่ทรัมป์ตั้งใจให้เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือการหลุดปาก เพราะมีปฏิกิริยาชัดเจนจากสหรัฐฯ ว่าจะดำเนินมาตรการทางด้านเศรษฐกิจที่เข้มงวดกับอินเดีย ดังนั้นในมุมหนึ่งการที่ทรัมป์เอ่ยชื่อ USAID และโมดีขึ้นมา เขาย่อมเล็งเห็นว่าโมดีจะต้องเผชิญการวิจารณ์ภายในประเทศแน่ๆ ซึ่งจะกลายเป็นเครื่องมือต่อรองที่ดีในการเจรจา เพราะท้ายที่สุดหากสหรัฐอเมริกาได้ข้อตกลงที่ได้เปรียบจากอินเดียแล้ว ทรัมป์ก็เพียงแค่ออกมาพูดว่าข้อมูลที่เขาระบุเป็นความคลาดเคลื่อน เงินจำนวนนั้นไม่ได้ใช้ในอินเดีย แต่เป็นประเทศอื่น เพราะรายงานเบื้องต้นของ Consortium for Elections and Political Process Strengthening ระบุว่าหน่วยงานไม่มีการดำเนินกิจกรรมใดๆ ในประเทศอินเดีย แต่ดำเนินกิจกรรมสนับสนุนการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในบังคลาเทศด้วยเงิน 21 ล้านดอลลาร์

ฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลเรื่อง USAID ที่ทรัมป์ปล่อยออกมาโดยมุ่งเป้าไปที่อินเดีย อาจเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ทรัมป์เลือกใช้เพื่อกดดันอินเดีย ภายหลังจากที่การพูดคุยกันไม่ประสบความสำเร็จตามที่ทรัมป์ตั้งเป้าหมายเอาไว้ก็เป็นไปได้ เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่โมดีเดินทางกลับประเทศแล้ว

ในขณะที่ฝ่ายอินเดียเองก็มีท่าทีเปลี่ยนแปลงไป เช่น มีการพบปะหารือกันระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของอินเดียและจีน โดยอินเดียประกาศชัดว่าจะร่วมกับจีนในการดำรงรักษากรอบความร่วมมือ G-20 และ BRICS ซึ่งแน่นอนว่าขัดแย้งกับนโยบายของทรัมป์ ยิ่งไปกว่านั้น รัฐมนตรีต่างประเทศของอินเดียยังปรับท่าทีเกี่ยวกับความขัดแย้งในกาซามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการระบุว่า อินเดียสนับสนุนแนวทางสองรัฐในการแก้ไขปัญหาอิสราเอลและปาเลสไตน์ ซึ่งดูจะขัดแย้งกับสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและสหรัฐอเมริกาจะมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งอาจต้องติดตามกันต่อไปว่าสหรัฐฯ จะมีมาตรการอะไรกับอินเดียบ้าง แต่สิ่งที่เราเห็นชัดอย่างแน่นอนคือการหวนกลับมาคืนดีกันของอินเดียและจีนจากแรงบีบคั้นของสหรัฐอเมริกา


[1] https://thewire.in/world/trump-now-says-usaids-21-million-for-voter-turnout-in-india-given-to-my-friend-modi

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

Asia

27 Jun 2023

โฉมหน้าใหม่การเมืองการปกครองอัฟกานิสถาน หลัง 2 ปี ตาลีบันรีเทิร์น

อัครพันธ์ อัครโรจน์กิจ ชวนมองการเปลี่ยนแปลงของอัฟกานิสถาน หลังผ่านระยะเวลาเกือบ 2 ปี ภายใต้การกลับมาปกครองของตาลีบัน

อัครพันธ์ อัครโรจน์กิจ

27 Jun 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save