หลังจาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ กลับสู่ทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา (2025) ท่าทีและทิศทางนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ก็ค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ความคาดเดาไม่ได้หรืออาจจะคาดเดาได้ว่า ‘บ้าบิ่น’ แน่ๆ ของทรัมป์ส่งผลให้อุณหภูมิการเมืองโลกในเดือนนี้ร้อนแรงเป็นพิเศษ หนึ่งในประเด็นที่โลกจับตามองมากที่สุดคือทิศทางของสหรัฐฯ ต่อสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งทรัมป์เคยลั่นวาจาไว้เมื่อครั้งหาเสียงว่าจะจบสงครามนี้ภายในหนึ่งวันหลังรับตำแหน่ง (ชัดเจนแล้วว่าไม่เกิดขึ้นจริง) หลังจากการสู้รบยืดเยื้อมากว่าสามปี และสหรัฐฯ อัดฉีดความช่วยเหลือไปแล้วมูลค่ากว่า 65.9 พันล้านเหรียญฯ
สงครามครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของยูเครนหรือรัสเซีย แต่กระทบโดยตรงต่อสมดุลอำนาจในยุโรป บทบาทของวอชิงตันในสมรภูมินี้จึงไม่อาจแยกขาดจากความสัมพันธ์ต่อยุโรป ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญที่ร่วมกันสนับสนุนยูเครน ทั้งด้านอาวุธ การช่วยเหลือทางการเงิน อีกทั้งเป็นหัวหอกในการกดดันรัสเซียผ่านมาตรการคว่ำบาตรในมิติต่างๆ เพื่อบีบให้รัสเซียยอมถอยจากการรุกราน แนวทางของสหรัฐฯ ในช่วงเวลานี้จึงอาจกำหนดอนาคตของภูมิภาคยุโรปและโลกไปอีกหลายปี
อย่างไรก็ตาม สัญญาณจากรัฐบาลทรัมป์เริ่มสร้างความคลางแคลงใจต่อเอกภาพของพันธมิตรชาติตะวันตก เห็นได้จากท่าทีและคำกล่าวของทรัมป์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หนึ่งในก้าวย่างที่สร้างแรงสั่นสะเทือนที่สุดคือการที่ทรัมป์ต่อสายตรงถึงประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน เพื่อหารือถึงแนวทางยุติสงคราม การเจรจานี้ถือเป็นการฉีกแนวทางนโยบายของสหรัฐฯ ตลอดสามปีที่ผ่านมา และสร้างความกังวลอย่างยิ่งให้กับยุโรป เพราะนอกจากจะเป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นโดยไม่มีพันธมิตรตะวันตกอยู่ในวงสนทนาแล้ว ยังไม่มีหลักประกันว่าสหรัฐฯ จะรักษาผลประโยชน์ของยูเครนไว้ในการเจรจาด้วย ล่าสุด สหรัฐฯ ยังลงคะแนนคัดค้านมติประณามการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียในที่ประชุมสหประชาชาติ ซึ่งเป็นการขยับที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือโดยสิ้นเชิง
ท่าทีเหล่าสะท้อนว่า สหรัฐฯ อาจกำลังปรับแนวทางนโยบายต่อรัสเซียและให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตนมากกว่าความเป็นเอกภาพของพันธมิตรทรานส์แอตแลนติกในการยุติสงคราม นี่ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างสหรัฐฯ กับยุโรปเท่านั้น แต่ยังทำให้หลายฝ่ายหวั่นวิตกว่ายุโรปอาจต้องเผชิญความท้าทายด้านความมั่นคงเพียงลำพัง
ท่ามกลางความปั่นป่วนทางการเมืองในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา วันโอวันชวนมองปรากฏการณ์ที่กำลังเปลี่ยนโฉมพันธมิตรโลกตะวันตก ผ่านแรงกระเพื่อมจากการประชุมระดับสูงหลายเวที และตั้งคำถามถึงก้าวต่อไปของยุโรปว่าพร้อมหรือไม่ หากต้องยืนหยัดด้วยตัวเองโดยไร้เงาสหรัฐฯ
จากวอชิงตัน สู่ริยาด ถึงปารีส: การเปลี่ยนแปลงทิศทางของสหรัฐฯ ต่อรัสเซียและพันธมิตรยุโรป
เมื่อย้อนกลับไปมองเหตุการณ์ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาที่เกิดขึ้นในวอชิงตัน บรัสเซลส์ มิวนิก และริยาด อาจกล่าวได้เต็มปากว่าสหรัฐฯ กำลังส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทิศทางนโยบายต่อรัสเซีย รวมถึงความสัมพันธ์กับพันธมิตรยุโรป สัญญาณแรกเริ่มปรากฏขึ้นในการประชุม Ukraine Defense Contact Group (UDCG) ซึ่งเป็นเวทีที่ 32 ประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) และพันธมิตรอื่นๆ มาหารือกันถึงการสนับสนุนความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน โดยที่ผ่านมา รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ จะทำหน้าที่ประธานในการประชุมทุกครั้ง แต่ในการประชุมล่าสุดซึ่งจัดขึ้นเมื่อ 12 กุมภาพันธุ์ที่ผ่านมา กลับเป็นสหราชอาณาจักรที่รับบทบาทนี้แทน นี่ถือเป็นสัญญาณแรกที่ทำให้พันธมิตรตะวันตกเริ่มตั้งคำถามถึงท่าทีของวอชิงตันต่อสงครามและความมุ่งมั่นในการยืนหยัดเคียงข้างยูเครน
แม้สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นประธานในการประชุม UDCG ครั้งล่าสุดที่จัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่นาโต้ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม แต่พีต เฮกเซ็ท รัฐมนตรีว่าการกลาโหมคนปัจจุบันของสหรัฐฯ ก็เดินทางไปเข้าร่วมประชุมด้วย เฮกเซ็ทกล่าวต่อที่ประชุมว่ากองกำลังยุโรปควรเป็นกำลังหลักในการรักษาความมั่นคงให้กับยูเครน เขายังเน้นย้ำว่า “ภายใต้หลักประกันความมั่นคงใดก็ตาม จะไม่มีกองกำลังสหรัฐฯ ถูกส่งไปประจำการในยูเครน” เขายังบอกว่าสหรัฐฯ ไม่คิดว่าการเข้าเป็นพันธมิตรนาโต้ของยูเครนจะเป็น ‘ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้จริง’ ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณเปลี่ยนจุดยืนของสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ และตอกย้ำความกังวลว่ารัฐบาลทรัมป์ 2.0 อาจลดบทบาทสหรัฐฯ ในการสนับสนุนยูเครนลง
ในวันเดียวกันนั้น ที่กรุงวอชิงตันทรัมป์ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับปูตินเป็นเวลาราว 90 นาที ซึ่งทรัมป์ได้เปิดเผยผ่าน Truth Social ว่า “เป็นการพูดคุยที่ยาวนานและเกิดประโยชน์สูงสุด” ต่อประเด็นยูเครนและเรื่องอื่นๆ ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่าทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันว่าให้ดำเนินการเจรจาเพื่อหาทางยุติสงครามในยูเครนทันที หลังจากนั้นทรัมป์ก็ต่อสายตรงหาเซเลนสกี ซึ่งได้รับการเปิดเผยจากเซเลนสกีว่าได้หารือถึงการทำงานร่วมกันในการบรรลุการเจรจาสันติภาพ
แต่แล้วความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ กับยูเครนก็ไม่เกิดขึ้น เมื่อผลพวงจากการพูดคุยครั้งนี้นำไปสู่การประชุมระหว่างผู้แทนระดับสูงของสหรัฐฯ และรัสเซียในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2025 ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ก่อนการประชุมนี้จะมาถึง เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้ตอบสนองต่อการขยับของสหรัฐฯ ที่ผลักยูเครนและยุโรปออกจากการเจรจาด้วยการจัดประชุมด่วนที่กรุงปารีส โดยมีผู้นำจากหลายประเทศ เช่น อังกฤษ เยอรมนี โปแลนด์ อิตาลี ฯลฯ รวมถึงผู้แทนอียูเข้าร่วม เพื่อหารือเกี่ยวกับการเตรียมกองกำลังและการสนับสนุนยูเครนต่อไปในขณะที่สหรัฐฯ ถอยห่างและดูเหมือนจะใกล้ชิดกับรัสเซียมากขึ้น
สหรัฐฯ ไม่เพียงแต่มีส่วนร่วมกับรัสเซียในการเจรจาสันติภาพในซาอุดีอาระเบียโดยไม่มียุโรปหรือยูเครนเข้าร่วมเท่านั้น แต่ยังเรียกร้องให้ยูเครนส่งมอบดินแดนให้รัสเซียและทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมากให้สหรัฐฯ อีกด้วย ทางการยูเครนแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อการประชุมระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียที่ไม่ให้ยูเครนเข้าร่วม และตามมาด้วยการตอบโต้จากประธานาธิบดีทรัมป์ที่กล่าวหาว่าประธานาธิบดีเซเลนสกีเป็นเผด็จการ พร้อมทั้งคำกล่าวอ้างเลื่อนลอยว่ายูเครนเป็นฝ่ายเริ่มสงคราม
ต้องกล่าวย้อนไปอีกนิดว่าก่อนจะมีการประชุมที่ริยาด อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สะท้อนรอยร้าวในสายสัมพันธ์สหรัฐฯ-ยุโรป เกิดขึ้นที่งานประชุมความมั่นคงมิวนิก (Munich Security Conference: MSC) ประเทศเยอรมนี เมื่อ 14 กุมภาพันธ์ ท่ามกลางการรวมตัวของผู้นำ เจ้าหน้าที่ทางการทูต และทหารระดับสูงจากหลายประเทศในเวทีนี้ หนึ่งในผู้เข้าร่วมที่ถูกจับจ้องมากที่สุดคือ เจ.ดี. แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งหลายคนคาดหวังจะได้เห็นวิสัยทัศน์ด้านการต่างประเทศสหรัฐฯ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับยุโรปจากเขา แต่เมื่อแวนซ์ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ ประเด็นงบประมาณด้านกลาโหมของยุโรปหรืออนาคตของยูเครนกลับถูกกล่าวถึงเพียงผิวเผินตลอดเวลา 20 นาทีบนเวที แวนซ์ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการวิพากษ์วิจารณ์การเซ็นเซอร์และการจำกัดเสรีภาพการแสดงออกในยุโรป ซึ่งเขามองว่าเป็น ‘การถอยห่างจากคุณค่าที่มีร่วมกันของโลกตะวันตก’
“สิ่งที่ผมกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับยุโรปไม่ใช่รัสเซีย ไม่ใช่จีน และไม่ได้มาจากภายนอก แต่คือ ‘ภัยคุกคามจากภายใน’ คือการถอยห่างจากค่านิยมที่สำคัญบางประการของยุโรป ค่านิยมที่มีร่วมกันกับสหรัฐอเมริกา” แวนซ์กล่าว
เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะทรัมป์ได้ส่งสัญญาณถึงการล่าถอยจากบทบาทผู้นำโลกเสรีมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหลายสัปดาห์นี้ตอกย้ำความจริงในโลกการเมืองที่ว่าไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร มีแต่ผลประโยชน์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
การที่สหรัฐฯ ปฏิบัติต่อพันธมิตรสำคัญราวกับเป็นศัตรู ขณะที่ปฏิบัติกับคู่แข่งผู้แข็งกร้าวเสมือนเป็นมิตร อาจเป็นการตอกฝาโลงระเบียบโลกที่สหรัฐฯ เป็นผู้วางรากฐานและค้ำจุนไว้มานานกว่า 80 ปีนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง แม้ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าระเบียบโลกใหม่หน้าตาเป็นแบบไหน แต่ที่แน่นอนคือทุกประเทศจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบที่คาดเดาไม่ได้จากนโยบายของทรัมป์ไปอีกสี่ปี
ยุโรปพร้อมไหม หากไร้สหรัฐฯ ให้พึ่งพิง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์แสดงท่าทีไม่เป็นมิตรต่อพันธมิตรยุโรปและนาโต้ เพราะตั้งแต่สมัยแรกที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์นาโต้อย่างต่อเนื่อง โดยกล่าวแทบทุกครั้งที่มีโอกาสว่าประเทศสมาชิกไม่ได้ให้ความสำคัญกับการ ‘จ่าย’ ด้านการทหารที่เพียงพอ ทรัมป์ยืนยันว่าสหรัฐฯ ไม่ควรต้องรับภาระปกป้องประเทศที่ไม่สามารถปฏิบัติตามเป้าหมายการใช้จ่ายด้านกลาโหมได้ ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ใช้จ่ายงบประมาณด้านกลาโหมราว 3.4% ของจีดีพี แม้ดูเหมือนเป็นสัดส่วนที่ไม่สูงมาก แต่ด้วยขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ งบกลาโหมของสหรัฐฯ กลับคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของจีดีพีชาติสมาชิกนาโต้รวมกัน
ปี 2024 มีสมาชิกนาโต้ 23 ประเทศจากทั้งหมด 32 ประเทศ ที่สามารถบรรลุเป้าหมายการใช้จ่ายด้านกลาโหมที่ 2% ของจีดีพี ตามที่กำหนดไว้ แต่ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์เรียกร้องให้สมาชิกนาโต้ต้องเพิ่มงบประมาณด้านการทหารเป็น 5% ของจีดีพี
“ยุโรปมีส่วนร่วมเพียงเศษเสี้ยวของเงินที่เราทุ่มไป เรามีมหาสมุทรคั่นกลางระหว่างกัน ใช่ไหม? แล้วทำไมเราต้องใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์มากกว่ายุโรป” ทรัมป์กล่าว นอกจากประเด็นงบประมาณ สหรัฐฯ ยังส่งเสียงเตือนจะถอนทหารอเมริกันที่ประจำการในภูมิภาคยุโรป ดังจะเห็นได้จากคำกล่าวขณะเยือนโปแลนด์ของพีต เฮกเซ็ท ที่ว่า “ยุโรปไม่ควรคาดหวังว่าทหารอเมริกันจะคงอยู่ตลอดไป”
จะเรียกคำเตือน (ปนขู่) และท่าทีของพี่ใหญ่อย่างสหรัฐฯ ในช่วงนี้ว่าเป็นวิกฤตด้านความมั่นคงของยุโรปก็อาจจะได้ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ยุโรปต้องเผชิญ เพราะผ่านมาแล้วสามปีนับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครน เกือบหนึ่งทศวรรษนับตั้งแต่ ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ ของทรัมป์เริ่มกลายเป็นพลังทางการเมืองที่สำคัญ 11 ปีนับตั้งแต่รัสเซียผนวกไครเมีย และกว่าครึ่งศตวรรษที่วอชิงตันพยายามกระตุ้นให้ยุโรปเพิ่มบทบาทในการป้องกันตัวเอง สัญญาณเตือนภัยที่ดังมานานขนาดนี้ทำให้เกิดคำถามที่ว่ายุโรปพร้อมหรือยังที่จะอยู่ด้วยตัวเองโดยไร้เงาสหรัฐฯ ท่ามกลางภัยคุกคามจากรัสเซีย
จิม ทาวน์เซนด์ ผู้เคยดำรงตำแหน่งรองผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ฝ่ายนโยบายยุโรปและนาโต้ระหว่างปี 2009-2018 ให้สัมภาษณ์กับ Foreign Policy ไว้ว่า “รัสเซียไม่ได้เป็นยักษ์ใหญ่สูง 10 ฟุต แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเขากลายเป็นผู้ช่ำชองในการรบและปรับตัวให้ทันสมัยมากขึ้น หากยุโรปได้รับสัญญาณเตือนตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว และทำในสิ่งที่ควรจะทำเพื่อเสริมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ พวกเขาจะสามารถรับมือกับรัสเซียได้” คำถามสำคัญก็โยนกลับมาที่ยุโรปอีกว่าได้ทำสิ่งที่ควรทำแล้วหรือยัง
นี่คือช่วงเวลาที่ความเป็นเอกภาพของยุโรปกำลังถูกท้าทายในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุคร่วมสมัย ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ประเด็นเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย และความเหนื่อยล้าของสังคมส่งแรงหนุนให้กระแสประชานิยมฝ่ายขวาพุ่งสูงขึ้น เห็นได้จากการเลือกตั้งในหลายประเทศของยุโรปที่ผ่านๆ มา หากมองจากมุมนี้ก็อาจส่งผลให้ทิศทางความร่วมมือไม่สดใสนัก แต่หากมองบนฐานคิดที่ว่าสันติภาพในยูเครนคือความมั่นคงในยุโรป แต่ละชาติก็ควรจะตระหนักว่าผลประโยชน์ร่วมของทั้งภูมิภาคต้องมาก่อน
ไม่มีใครบอกได้ว่ากระสุนนัดสุดท้ายของยูเครนจะหมดลงเมื่อใด แต่ยุโรปสามารถทำให้วันนั้นไม่มาถึงได้ หากเลือกที่จะเดินหน้าปกป้องระเบียบโลกที่ร่วมสร้างขึ้นมาตลอดหลายทศวรรษ ไม่ใช่เพียงด้วยคำพูดหรือการประชุมครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ด้วยการกระทำที่หนักแน่นและเป็นรูปธรรม
อ้างอิง
Can Europe withstand four years of Trumpian assault?
Putin Scores a Big Victory, and Not on the Battlefield
The Speech That Stunned Europe
Vance Leaves Europe Gobsmacked