1.
อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
“น้ำขุ่น ใช้ก็ไม่ได้ อาบก็ไม่ได้ ลงไปก็ไม่ได้ เด็กๆ ก็ไม่กล้าลงไปเล่นแล้ว เมื่อก่อนก็เป็นที่อาบที่เล่นแท้ๆ ใครๆ ก็มาเล่น แต่ตอนนี้ไม่มีใครลงไปแล้ว หาปูหาปลาก็ไม่มีใครมาทำแล้ว เขาก็กลัวกันเนอะ”
มวย ยาเหมย (63 ปี) ชาวบ้านหย่อมบ้านแก่งทรายมูล หมู่ 14 บ้านร่มไทย ในตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เล่าถึงสภาพของ ‘แม่น้ำกก’ ที่ไหลพาดผ่านชุมชนที่เธออาศัยอยู่ เธอเล่าว่าในตอนนี้สายน้ำที่อยู่เคียงคู่วิถีชีวิตชาวบ้านมาช้านาน กลับกลายเป็นผิดปกติธรรมชาติจนไม่สามารถใช้สอยประโยชน์ใดๆ ได้อีก
“ตั้งแต่น้ำท่วม น้ำก็เริ่มขุ่น จริงๆ ทุกปีมันใสนะ แต่ปีนี้มันขุ่นไปเลย ก็ลงไปเล่นไม่ได้กัน” เลียว มีสุข (58 ปี) ชาวบ้านหย่อมบ้านแก่งทรายมูลอีกคนหนึ่ง ก็ยืนยันถึงสภาพปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น โดยสถานการณ์น้ำท่วมที่เธอพูดถึงนั้นหมายถึงเหตุน้ำท่วมใหญ่จังหวัดเชียงใหม่-เชียงรายเมื่อช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2567 ซึ่งเลียวเล่าว่าเป็นน้ำท่วมใหญ่สุดที่เธอเคยเจอตั้งแต่เกิดมาในชุมชนแห่งนี้ และถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ไม่ได้เห็นสายน้ำกกกลับมาอยู่ในสภาพใสสะอาดและใช้งานได้ดังเดิมอีก
“ทางการมาตรวจสอบ เขาก็บอกว่ามีสารพิษ แต่แม่ก็ไม่รู้ว่าสารพิษอะไร” เลียวกล่าว

หากถามว่าสารพิษในแม่น้ำที่เลียวพูดถึงมาจากไหนนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าแม่น้ำกกสายนี้มีต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองกก จังหวัดเชียงตุง ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ก่อนจะไหลเข้าสู่พรมแดนไทยทางอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และไหลออกสู่แม่น้ำโขงโดยมีปลายน้ำที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย แม่น้ำกกจึงถือเป็นแม่น้ำนานาชาติที่ใช้ร่วมกันระหว่างเมียนมาและไทย ทว่าเมื่อไม่นานนี้มีการเปิดเผยภาพถ่ายดาวเทียมว่าบริเวณพื้นที่เมืองยอน ในเขตเมืองสาดของรัฐฉาน ห่างจากอำเภอแม่อายขึ้นไปทางตอนเหนือราวๆ 25 กิโลเมตร มีการขยายตัวของการทำเหมืองแร่ทองคำและเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ (แร่หายาก) ในเขตพื้นที่ควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า (USWA) อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งกระบวนการทำเหมืองแร่เหล่านี้ที่พบว่าไม่มีความรัดกุมมากพออาจเป็นต้นตอของสารพิษในแม่น้ำ
มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation) ที่ติดตามประเด็นนี้มาต่อเนื่อง ได้วิเคราะห์รูปแบบการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในเมืองยอน และพบว่ามีลักษณะคล้ายกับโครงการขุดแร่แรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่นโดยบริษัทจีน ซึ่งใช้ “วิธีการทำเหมืองละลายแร่ (in-situ leaching) ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างมาก โดยต้องเทสารเคมีผ่านท่อลงไปในเนินเขาเพื่อละลายแร่แรร์เอิร์ธ จากนั้นจะมีการสูบสารละลายเคมีดังกล่าวเพื่อส่งผ่านท่อไปยังบ่อน้ำ และมีการเติมสารเคมีเพิ่มเติมเพื่อสกัดแร่แรร์เอิร์ธ” โดยมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ระบุต่อมาว่าการทำเหมืองรูปแบบนี้ก่อให้เกิดปัญหามากมายต่อรัฐคะฉิ่น ทั้งปัญหาดินถล่ม รวมถึงการเกิดมลพิษต่อน้ำใต้ดินและผิวดิน ซึ่งทำให้พืชผลมีสารปนเปื้อน ทำให้ปลาและสัตว์ป่าตาย และกระทบต่อสุขภาพของคนในชุมชน มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่จึงกังวลว่าเหมืองแรร์เอิร์ธที่เกิดขึ้นในรัฐฉานน่าจะกำลังสร้างปัญหาต่อผู้คนและระบบนิเวศลุ่มน้ำกกคล้ายกัน


พื้นที่คาดว่าเป็นที่ตั้งของเหมืองแรร์เอิร์ธในเมืองยอน (ซ้าย; ภาพจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่) และภาพถ่ายดาวเทียมของหนึ่งในเหมืองแรร์เอิร์ธในพื้นที่ดังกล่าว (ขวา; ภาพจาก Google Map)
นอกจากเหมืองแรร์เอิร์ธ เหมืองทองคำก็สร้างผลกระทบไม่น้อยเช่นกัน โดยมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ระบุว่า “มีบริษัทจีนหลัก 4 แห่งที่ดําเนินการขุดเหมือง โดยมีพนักงานมากกว่า 300 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน บริษัทเหล่านี้ทําเหมืองบนเนินเขาและริมฝั่งแม่น้ำกก รวมถึงการใช้เรือขุดทองและสกัดบนแม่น้ำกกโดยตรง สารตกค้างจากการทําเหมือง ซึ่งรวมถึงสารเคมีสกัดทองคําที่มีพิษ เช่น ไซยาไนด์ ไหลลงสู่แม่น้ำกกโดยตรง ทําให้เกิดความขุ่นและมลพิษในน้ำ…”
เมื่อแม่น้ำกกไหลข้ามพรมแดน สารเคมีก็ไหลข้ามพรมแดนมาด้วยเช่นกัน โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) กรมควบคุมมลพิษ ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างและตรวจสอบคุณภาพน้ำผิวดินและตะกอนดินในแม่น้ำกก ตลอดจนลำน้ำสาขาต่างๆ ที่ไหลลงแม่น้ำกก ไปจนถึงแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาย และนับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมาก็พบว่าในหลายจุดมีโลหะหนัก โดยเฉพาะตะกั่วและสารหนู เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งถือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้ทางการแจ้งเตือนต่อประชาชนให้หลีกเลี่ยงการใช้น้ำหรือสัมผัสน้ำในแม่น้ำโดยตรง
นอกจากปัญหาสารพิษแล้ว เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2567 ในเชียงใหม่-เชียงรายที่เลียวพูดถึงนี้ก็มีข้อสันนิษฐานว่าเป็นเหตุจากเหมืองต้นน้ำเช่นกัน เนื่องจากการทำเหมืองได้เกิดการทำลายหน้าดินจนลดประสิทธิภาพในการดูดซับน้ำ ทั้งยังทำให้ตะกอนโคลนเลนไหลลงมาพร้อมกับน้ำ จนส่งผลให้บ้านหลายหลังมีดินโคลนตกค้างจำนวนมากหลังน้ำท่วม โดยอำเภอแม่อาย รวมถึงหย่อมบ้านแก่งทรายมูล ที่เรามาเยือนนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่ได้รับความเสียหาย และซากปรักหักพังของบ้านเรือนจากเหตุน้ำท่วมนั้นก็ยังคงมีให้เห็นอยู่ แต่ยังไม่ทันที่ชุมชนจะฟื้นฟูดี พวกเขาก็ต้องมาเจอปัญหาสารพิษเพิ่มเข้ามาเหมือนเป็นพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก
แม้ชาวบ้านริมน้ำกกเท่าที่เราได้พบ รวมถึงที่อำเภอแม่อายนี้ จะยังไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสารพิษแม่น้ำกกต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก เนื่องจากทุกวันนี้ชาวบ้านมักใช้แหล่งน้ำประปาโดยเฉพาะที่มาจากน้ำบนภูเขากันเป็นปกติ แต่ผลกระทบที่เห็นได้ชัดกว่าคือผลกระทบในแง่การทำมาหาเลี้ยงชีพ ซึ่งชาวอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ที่ถือเป็นด่านรับน้ำกกแรกสุดของประเทศไทย ก็แน่นอนว่าได้รับผลกระทบแง่นี้ชัดเจน
“ถึงแม้จะไม่ได้นำน้ำมาอุปโภคบริโภค แต่วิถีชีวิตคนแม่อายเกี่ยวข้องกับแม่น้ำกก ทั้งเรื่องการหาปลา การลงเล่นน้ำ หรือการท่องเที่ยวและค้าขายริมน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่พอเกิดเรื่องแบบนี้สงกรานต์ที่ผ่านมาเงียบกริ๊บ นักท่องเที่ยวหายไปหมด” นายอำเภอแม่อาย สลีลญา คำภาแก้ว กล่าวกับเรา



แม่น้ำกกในพื้นที่หย่อมบ้านแก่งทรายมูล อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
เช่นเดียวกับชุมชนเล็กๆ ในอำเภอแม่อายอย่างหย่อมบ้านแก่งทรายมูล ที่ปกติแล้วทำรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ก็ต้องพลาดโอกาสไปเช่นกัน
“มันกระทบด้านเศรษฐกิจที่สุด ปกติที่นี่ทำแพกัน มีหาดทราย ชาวบ้านมักจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวโดยเฉพาะในเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน แต่ปีนี้ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะน้ำขุ่นอย่างนี้” จิรภัทร์ กันธิยาใจ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 14 บ้านร่มไทย ที่รับผิดชอบดูแลหย่อมบ้านแก่งทรายมูล พูดกับเรา
แม้ผลกระทบจะไปอยู่ที่เรื่องเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่ในแง่การใช้น้ำอุปโภคบริโภคนั้น ชาวบ้านหย่อมบ้านแก่งทรายมูลก็ยังไม่ได้คลายความกังวลไปเสียทีเดียว เพราะปกติแล้วแม่น้ำกกสามารถใช้เป็นแหล่งน้ำสำรองได้ในยามน้ำประปาภูเขาหรือจากแหล่งอื่นไม่เพียงพอ แต่ในเมื่อน้ำกกใช้ไม่ได้เช่นนี้ จึงเป็นที่วิตกกันว่าวันหนึ่งน้ำที่ชุมชนนี้อาจขาดแคลนได้เหมือนกัน
“ถ้ามันแล้งจริงๆ เมื่อก่อนนี้ก็ใช้ (น้ำกก) ได้อยู่ เพราะน้ำใส คนก็ลงไปอาบน้ำบ้าง ใช้น้ำซักผ้าบ้าง เล่นน้ำบ้าง แต่ปีนี้ยังไม่ได้เอาตีนลงไปจุ่มเลย [หัวเราะ]” ชาวบ้านหย่อมบ้านแก่งทรายมูลอย่างเลียว มีสุข กล่าว
“(เหมือง)ไม่ได้อยู่แถวนี้ มันอยู่ไกล อยู่เมืองนอกโน่น ตรงนี้ (หย่อมบ้านแก่งทรายมูล) ยังไม่ใช่หัวน้ำจริงๆ ทำยังไง (น้ำกก) ก็ไม่กลับมาเหมือนเดิมแล้วมั้ง ก็คงจะอยู่กันอย่างนี้แหละ ต้องแก้ทางหัว (น้ำกก) นู่นถึงจะอยู่ได้” เลียวพูดทิ้งท้ายกับเรา

2.
อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
จากอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ลัดเลาะตามสายน้ำกกลงมาถึงอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ที่นี่ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจนจากปัญหาสารพิษในแม่น้ำกก ดังเช่นที่ปางช้างบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ในตำบลแม่ยาว อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวชวนผู้คนมาสัมผัสประสบการณ์ขี่ช้างพาลงแม่น้ำกก ซึ่งในวันนี้ผู้จัดการปางช้างอย่าง ศรีทน คำแปง บอกกับเราว่านับตั้งแต่ที่แม่น้ำกกมีสารพิษจนนักท่องเที่ยวไม่กล้าเดินทางมาเยือนนั้น ทำให้ปางช้างต้องเสียรายได้ถึงประมาณ 70% ทั้งยังทำให้การดูแลช้างเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการกินน้ำของช้าง เพราะช้างไม่สามารถกินน้ำจากแม่น้ำกกได้ดังเดิม
“ถ้าแก้ไขไม่ได้การท่องเที่ยวก็คงทรุดอย่างนี้ เพราะเราทำ(กิจการ)ไม่ได้ แล้วช้างก็ต้องกินน้ำ ตอนนี้เราต้องต่อน้ำบาดาลเข้ามา มี(สายยาง)เส้นเดียว ทำให้ช้างต้องเรียงคิวกินน้ำ กินพร้อมกันไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน แล้วน้ำนี้ก็ต้องใช้ทั้งช้างและใช้ทั้งหมู่บ้านเลย มันก็เลยได้(น้ำ)น้อย” ศรีทนเล่า



ปางช้างบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
ห่างไปประมาณ 6 กิโลเมตรจากปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตร ที่ชุมชนบ้านแคววัวดำ ก็ได้รับผลกระทบในแง่การท่องเที่ยวเช่นกัน
“ตอนนี้ชาวบ้านก็ลำบากเพราะทำกิจกรรมอะไรไม่ได้ เมื่อก่อนที่นี่มีแพเปียก มีเกสต์เฮาส์ พอนักท่องเที่ยวไปเล่นน้ำก็จะเข้ามาพักในหมู่บ้านเรา แต่ว่าตอนนี้เขาไม่มากันแล้ว” สมพงค์ พนาสง่าวงศ์ ผู้ใหญ่บ้านหรือพ่อหลวงของหมู่บ้านแคววัวดำเล่าให้ฟัง
นอกจากแง่การท่องเที่ยวแล้ว การใช้ชีวิตทั่วไปของชาวบ้านก็ติดขัดเช่นกัน พ่อหลวงสมพงค์เล่าว่า “ที่เราสัมผัสแม่น้ำไม่ได้ ทำให้ลำบาก เพราะปกติเราหาปลาเป็นอาหาร แต่ตอนนี้เราไม่สามารถลงไปหาได้ ทานไม่ได้ ชาวบ้านก็กลัวกัน ส่วนผักที่ริมแม่น้ำนี่ชาวบ้านก็กลัว ไม่อยากเก็บไปทาน เพราะปกติผักพวกนี้ก็ใช้น้ำจากแม่น้ำนี้”



ชุมชนบ้านแคววัวดำ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านแคววัวดำกังวลเรื่องการสัมผัสน้ำในแม่น้ำกก เพราะมีกรณีที่เด็กคนหนึ่งในหมู่บ้านลงเล่นน้ำระหว่างออกไปตกปลากับพ่อและเพื่อนๆ ในช่วงต้นเดือนเมษายน ก่อนที่จะมีการประกาศพบโลหะหนักในแม่น้ำกกจากทางการเพียง 1-2 วัน และในเวลาไล่เลี่ยกับที่ทางการประกาศนั้น ก็พบว่าเด็กมีตุ่มแดงขึ้นตามร่างกาย ก่อนจะลามใหญ่โตขึ้น
นี่ไม่ใช่เพียงกรณีเดียว เพราะนับตั้งแต่ปัญหาน้ำในแม่น้ำกกเริ่มเด่นชัดในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ก็มีการรายงานว่าชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่ลงสัมผัสน้ำกกมีตุ่ม ผื่นคัน และแผลเป็นขึ้นตามร่างกาย อย่างเช่นที่ปางช้างบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตรที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เราพบว่ามีควาญช้างคนหนึ่งที่มีรอยแผลและตุ่มให้เห็นที่บริเวณขา โดยควาญช้างคนดังกล่าวเล่าว่าเกิดขึ้นหลังจากลงแม่น้ำกกเพียงไม่กี่วัน ก่อนจะรู้ภายหลังจากการประกาศของทางการว่าพบโลหะหนักในแม่น้ำ
และหากย้อนไปที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ก็มีรายงานชาวบ้านที่เกิดอาการคล้ายกันหลังสัมผัสน้ำเช่นกัน โดยผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในหย่อมบ้านแก่งทรายมูลอย่างจิรภัทร์เล่าว่า “เด็กเคยอยู่กับแม่น้ำ เขาไม่รู้ว่ามีสารก็มาเล่นกัน ก็มีเด็กที่เป็นผื่นอะไรต่างๆ คนที่แพ้หนักคือเณร ตอนนี้หายแล้ว แต่ก็ยังมีแผลเป็นเป็นตุ่มดำๆ อยู่”



รอยแผลตามร่างกายเด็กในบ้านแคววัวดำ (ซ้าย) และควาญช้าง (สองภาพด้านขวา) หลังสัมผัสน้ำในแม่น้ำกก
อย่างไรก็ตาม ทางการและแพทย์ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าอาการทางผิวหนังที่เกิดขึ้นเหล่านี้มาจากการถูกสารหนูหรือตะกั่วในแม่น้ำกกจริง อย่างในกรณีเด็กที่หมู่บ้านแคววัวดำ ในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงรายนั้น ก็ถูกหมอวินิจฉัยว่ามาจากอาการเส้นเลือดฝอยอักเสบ ขณะที่ในกรณีควาญช้างที่บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตรนั้น ก็ได้รับการวินิจฉัยว่า “ลักษณะของผื่นและรอยโรคที่ตรวจพบ ไม่สอดคล้องกับอาการของพิษสารหนู ทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง” โดยควาญช้างคนนั้นได้บอกกับเราภายหลังด้วยว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แผลลุกลามขึ้น มาจากการเสียดสีกับหูช้างขณะกำลังพยายามขึ้นขี่ช้าง
ส่วนที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่นั้น นายอำเภอสลีลญาบอกว่ามีบางรายที่เป็นผื่นแพ้หลังลงสัมผัสน้ำกกจริง แต่ “นี่เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะเดิมแม้จะไม่ใช่ตอนที่น้ำขุ่นก็ตาม คนที่มีอาการภูมิต่ำเมื่อลงเล่นน้ำก็จะมีอาการผื่นแพ้ ซึ่งไม่น่ากังวลเรื่องความรุนแรง ณ เวลานี้”
“นี่เราพูดถึงปัจจุบัน แต่ในอนาคตเราก็ไม่ทราบ เพราะถ้ามันสะสมไปนานๆ เข้า มันก็อาจจะมีผล ซึ่งต้องรอดู โดยเราจะติดตามสถานการณ์และสอบถามชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง” สลีลญากล่าว
อย่างไรก็ตาม นอกจากคนแล้ว ยังพบว่าปลาในแม่น้ำก็มีความผิดปกติเช่นกัน โดยพบตุ่มแดงขึ้นตามผิวหนัง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่ามีสาเหตุจากสารพิษในแม่น้ำ โดยจากการที่สำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายสุ่มตรวจปลาในแม่น้ำล่าสุดยังไม่พบว่ามีสารอันตรายในระดับที่เกินค่ามาตรฐาน และยังถือว่าปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค
ถึงแม้ผลกระทบในแง่สุขภาพต่อคนและสัตว์จากปัญหาสารพิษในแม่น้ำกกยังคงคลุมเครือและยังต้องรอการพิสูจน์เพิ่มเติมต่อไป แต่ผลกระทบต่อวิถีชีวิตและการทำมาหากินของผู้คนริมน้ำก็เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้ว เพราะอย่างไรก็แล้วแต่ การสัมผัสหรือใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรงโดยไม่ผ่านกระบวนการประปานั้นย่อมมีความเสี่ยง และไม่อาจทำให้ชาวบ้านคลายกังวลไปได้

3.
จากแม่น้ำกก สู่แม่น้ำโขง
ถัดจากอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่อันเป็นต้นน้ำกกในฝั่งไทย ไล่มาถึงช่วงกลางของแม่น้ำที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เราเดินทางต่อไปจนสุดทางของแม่น้ำที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย จนไปพบบ้านสบกก ในตำบลบ้านแซว อันเป็นจุดใกล้บริเวณที่ปลายน้ำกกไหลรวมกับแม่น้ำโขง แม้ว่าน้ำกกในแถบนี้จะผสมเจือจางไปกับน้ำโขงแล้ว แต่จากการตรวจวัดของสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ก็พบว่าตรงนี้ยังคงมีสารหนูเกินค่ามาตรฐาน สะท้อนว่าปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแม่น้ำกกเท่านั้น แต่ยังลุกลามถึงสายน้ำอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกัน และทำให้บ้านสบกกที่เป็นบริเวณจุดเชื่อมของสองแม่น้ำก็ไม่สามารถใช้แหล่งน้ำได้ตามปกติเช่นกัน
“ปกติใช้น้ำใต้ดิน แต่น้ำใต้ดินส่วนมากจะไม่พอใช้ในหมู่บ้าน น้ำน้อย เพราะฉะนั้นเราต้องเปิดเป็นเวลา ใช้ทั้งวันไม่ได้ เลยต้องบอกให้ชาวบ้านช่วยกันประหยัดน้ำ และเวลาสูบน้ำขึ้นมาก็ต้องช่วยกันเก็บกักน้ำไว้ใช้” มนัสชัย ใจแดง ผู้ใหญ่บ้านสบกกกล่าว
ในบริเวณบ้านสบกก เรายังได้พบกับกลุ่มนักเรียนที่กำลังทำกิจกรรมตรวจสอบคุณภาพน้ำ รวมถึงตรวจหาสารหนูในแม่น้ำกันอยู่ กิจกรรมนี้มีชื่อว่า ‘นักสืบสารหนูในสายน้ำโขง’ ที่จัดโดยโครงการเยาวชนลุ่มน้ำโขง (Mekong Youth Program) ภายใต้สถาบันองค์ความรู้ท้องถิ่นโฮงเฮียนแม่น้ำของ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568
มาลี พัฒนประสิทธิ์พร ผู้ประสานงานโครงการเยาวชนลุ่มน้ำโขงและผู้จัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้นมา เล่าว่าโดยปกติโครงการมีการจัดกิจกรรมชวนเยาวชนใช้เครื่องมือตรวจวัดคุณภาพน้ำในแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาอยู่ต่อเนื่องหลายปี เพื่อสร้างทักษะด้านวิทยาศาสตร์พลเมืองให้เยาวชนและสร้างความตระหนักรู้ถึงสถานการณ์ปัญหาต่างๆ ของแม่น้ำโขง จนเมื่อมีสถานการณ์สารหนูในแม่น้ำกกเกิดขึ้น โครงการจึงตัดสินใจจัดกิจกรรมตรวจสารหนูขึ้นเพิ่มเติม
“พี่ก็เป็นผู้บริโภคคนหนึ่ง พอเห็นข่าวก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะเราก็รู้ว่าแม่น้ำกกเป็นสาขาของแม่น้ำโขง เดี๋ยวมัน (สารพิษ) ก็ต้องมาถึงแม่น้ำโขง” มาลีกล่าว และพูดต่อว่า “เมื่อเกิดสถานการณ์ขึ้น เราจะปล่อยมันไปก็ไม่ใช่ มันก็เป็นหน้าที่ที่เราทำมาตลอดคือสร้างความตระหนักรู้ให้เด็ก ในเมื่อโอกาสมาแบบนี้ –ซึ่งไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องดี– มันก็เป็นโอกาสที่เราจะไม่ทำ (กิจกรรมนี้) ไม่ได้”



กิจกรรม ‘นักสืบสารหนูในสายน้ำโขง’ โดยโครงการเยาวชนลุ่มน้ำโขง
ในการทำกิจกรรมนี้ โครงการได้สั่งชุดทดสอบอย่างง่ายหรือเทสต์คิต (test kit) ที่สามารถตรวจวัดสารหนูมาใช้ อย่างไรก็ตาม มาลีย้ำว่าผลการตรวจจากเทสต์คิตยังไม่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจนว่าแม่น้ำมีสารหนูจริงไหม และมีที่ระดับเท่าใด เนื่องจากผลจากเทสต์คิตย่อมไม่แม่นยำเท่าการใช้เครื่องมือตรวจจากห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ที่จริงจัง รวมถึงว่าการตรวจในกิจกรรมเพียงครั้งเดียวในวันเดียวนี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปผลได้ เพราะตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ผลที่น่าเชื่อถือได้มากกว่าคือผลที่มาจากการตรวจซ้ำหลายครั้งต่อเนื่อง แต่การจัดกิจกรรมนี้เป็นการชวนให้เยาวชนเกิดความตระหนักรู้และความตื่นตัวต่อสถานการณ์มากกว่า
“แม้มันจะเป็นแค่เทสต์คิต แต่ถ้ามองในมุมภาคประชาชน มันก็ยากต่อการเข้าถึง เพราะชุดหนึ่งราคาหลายพันบาท และเรามองว่าอย่างน้อยชุดเทสต์คิตเป็นสื่อการเรียนรู้สำหรับเด็ก เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของเราที่อยากให้เด็กเกิดความ ‘เอ๊ะ!’ มีลักษณะของความเป็นพลเมืองตื่นรู้ว่านี่เป็นเรื่องใกล้ตัวที่เขาต้องดูแล และเป็นเรื่องที่เขาสามารถเข้าใจได้ รู้ได้ และกระตือรือร้นที่จะศึกษาหาความรู้ต่อ” มาลีกล่าว

ในกิจกรรมตรวจหาสารหนูของเยาวชนลุ่มน้ำโขงนี้ ได้กำหนดจุดตรวจวัด 5 จุดในจังหวัดเชียงรายโดยคำนึงถึงเส้นทางความเชื่อมโยงของแหล่งน้ำ ไล่ตั้งแต่ที่ปลายแม่น้ำกกบริเวณใต้สะพานข้ามแม่น้ำกก, จุดที่น้ำกกจรดน้ำโขงที่บ้านสบกก, แม่น้ำโขงที่บ้านปงของ ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน, แม่น้ำโขงในจุดคอนผีหลง ซึ่งอยู่เชื่อมกับปากแม่น้ำยอนของ สปป. ลาว อันเป็นบริเวณที่เริ่มมีการทำเหมืองริมฝั่งน้ำ และท้ายสุดคือการตรวจน้ำที่ผ่านกระบวนการประปาในอำเภอเชียงของ
ท้ายกิจกรรม มาลีเล่าถึงผลการตรวจให้ฟังว่า “สิ่งที่เราโฟกัสคือสารหนู ซึ่งเราก็เจอ แต่ต้องบอกก่อนว่าเทสต์คิตที่เราใช้มีความเบี่ยงเบน เพราะต้องใช้วิธีอ่านจากค่าแถบสี สายตาคนแต่ละคนก็มอง (ระดับสี) ไม่เหมือนกัน แต่จุด (ตรวจวัด) ที่ปรากฏแถบสีขึ้นมาก็มีเกือบทุกจุด … แต่ตามค่าตัวเลขที่หารออกมาแล้ว ก็ไม่ได้เกินระดับค่ามาตรฐาน”
ผลการตรวจที่ออกมานี้ยังทำให้ผู้ร่วมกิจกรรมเกิดความสงสัยอยู่บ้าง เช่น จุดแรกที่ปลายน้ำกกที่ควรจะมีโอกาสเจอสารหนูมากกว่าจุดอื่น กลับตรวจไม่พบสารหนูเลย แม้จะตรวจซ้ำสองครั้ง ขณะที่จุดอื่นที่เหลือที่อยู่นอกแม่น้ำกกแล้ว กลับพบสารหนูเกือบทั้งหมด แต่ก็อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้วว่าผลการตรวจจากกิจกรรมนี้ไม่สามารถใช้เป็นข้อสรุปได้ ขณะเดียวกันเมื่อย้อนไปดูผลการตรวจของทางการ ก็พบว่าหลายจุดในบริเวณเดียวกันกับที่กิจกรรมนี้พบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน



การวัดค่าสารหนูเบื้องต้น
อย่างไรก็ตาม มาลีบอกว่าจากที่ตนศึกษามา สารหนูเป็นสิ่งที่พบได้อยู่แล้วในธรรมชาติ และมีอีกส่วนหนึ่งที่เกิดจากการทำอุตสาหกรรมของมนุษย์ จึงเป็นไปได้ว่าสารหนูในแม่น้ำอาจมีอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้าที่จะปัญหานี้จะเด่นชัดขึ้นมานั้นไม่เคยมีการตรวจอย่างจริงจังว่ามีสารหนูในปริมาณเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่ง ที่กำลังเกิดขึ้นกับแม่น้ำก็พอบ่งบอกได้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติ และประเด็นการทำเหมืองริมน้ำนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจเมินเฉยได้
“เราจะไปแก้เองก็คงแก้ไม่ได้ ด้วยว่าเราเป็นประชาชนธรรมดา แต่เราต้องตื่นรู้ ตื่นตัว และร่วมกันส่งเสียงอย่างมีสติว่าคุณ (รัฐ/ผู้มีอำนาจ) จะต้องดูแลสิทธิขั้นพื้นฐานของเราทุกคน เราอยู่ในประเทศประชาธิปไตยที่ยึดถือสิทธิมนุษยชน ยึดถืออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และเรามีสิทธิพื้นฐานในการดำรงอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย” มาลีให้ความเห็น
“ตอนนี้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ไม่ใช่แค่ระดับจังหวัด แต่มันต้องการการแก้ไขระดับประเทศ เพราะมันเป็นปัญหาข้ามพรมแดน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่จัดการยากเหมือนกัน เพราะกฎหมายไม่ข้ามพรมแดน แต่ผลกระทบข้ามพรมแดน” มาลีกล่าว

4.
ปัญหาข้ามชาติที่แก้ไม่ง่าย
“แม่น้ำกกและแม่น้ำสายไม่ใช่แค่แม่น้ำในจังหวัดของเรา (เชียงราย) หรือประเทศของเรา แต่เราเป็นปลายน้ำที่ได้รับผลกระทบจากต้นน้ำ เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนและถูกต้องที่สุดคือแก้ที่ต้นเหตุ แต่วันนี้ที่เรามาประชุมกัน เป็นเพียงการหาทางออกระยะสั้นและกลางในประเทศเท่านั้น ว่าพอมีแนวทางจะบรรเทาปัญหาเบื้องต้นอย่างไรได้บ้าง แต่การแก้ไขต้นตอจริงๆ ก็ต้องขยับต่อไป” จุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม สส.เชียงราย เขต 6 กล่าวกับเรา ภายหลังเสร็จสิ้นจากการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ที่นำโดยคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ร่วมกับหลายภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568
เมื่อถามว่าการแก้ปัญหาที่ต้นตอควรมีแนวทางอย่างไร จุฬาลักษณ์ตอบว่า “ต้นเหตุเกิดในพื้นที่ที่อยู่ในอำนาจอธิปไตยของเมียนมา แต่เมียนมาก็ปฏิเสธว่าในพื้นที่ที่มีการเหมืองแร่ไม่ได้เป็นพื้นที่ที่เขาสามารถปกครอง ดูแล หรือสั่งการได้ แต่เราซึ่งเป็นคนไทย อยู่ในอำนาจอธิปไตยของไทยได้รับผลกระทบเต็มๆ จากการกระทำของเขาตรงนั้น … (ที่ประชุม) จึงมีข้อเสนอให้เกิดการเจรจาซึ่งอาจใช้กลไกของกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC) หรือคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) ที่มีส่วนในการประสานงานกับเมียนมาโดยตรง คือเราต้องคุยกับเขาว่ามันมีปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้น”
“นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอจากนักวิชาการให้เรานำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาล เพราะชาวเชียงรายได้รับผลกระทบเต็มๆ เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้กระทำความผิดที่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของเมียนมา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มว้าหรือกลุ่มทุนไหนก็ตามที่ทำเหมืองอยู่ตรงนั้น” จุฬาลักษณ์กล่าวต่อ

อย่างไรก็ตาม ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการเจรจาระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย อันเนื่องมาจากปัญหาความซับซ้อนในความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ต่างๆ รวมถึงกลุ่มว้าที่เป็นมายาวนาน และยิ่งซับซ้อนขึ้นหลังเหตุการณ์รัฐประหารเมียนมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ทำให้รัฐเมียนมาเกิดสุญญากาศทางอำนาจ และมีประสิทธิภาพควบคุมดูแลพื้นที่ใต้อำนาจอธิปไตยอ่อนแอลงไปมาก โจทย์การเจรจาของไทยจึงยากตั้งแต่จุดเริ่มต้น ซึ่งนั่นก็คือคำถามที่ว่า “ต้องเจรจากับใครกันแน่”
ที่ซับซ้อนกว่านั้น คือประเด็นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวแสดงภายในเมียนมา แต่ยังเกี่ยวพันถึงกลุ่มทุนข้ามชาติ โดยเฉพาะจากประเทศจีน ในภาวะที่แรร์เอิร์ธกำลังเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งในห่วงโซ่การผลิตเทคโนโลยีมูลค่าสูง และถือเป็นหมากสำคัญของสงครามเทคโนโลยีระหว่างชาติมหาอำนาจของโลกที่กำลังดุเดือด ขณะเดียวกัน การที่กลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์เริ่มทยอยเปิดรับการลงทุนทำเหมืองแรร์เอิร์ธหรือแร่อื่นๆ จากต่างชาติมากขึ้นเรื่อยๆ ก็นับว่าสมประโยชน์แต่ละกลุ่มที่กำลังต้องการขยับขยายรายได้ ทั้งเพื่อความอยู่รอดและเพื่อเป็นเงินทุนสงครามท่ามกลางภาวะระส่ำระสายของการเมืองในประเทศ
ปัญหาการทำเหมืองริมน้ำกกซึ่งเชื่อว่าสืบเนื่องมาสู่ปัญหาสารพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำรายรอบนี้จึงอาจเป็นเหมือนเขาวงกตที่หาทางออกไม่ง่าย และยังตอกย้ำว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะไกลตัวจากไทย ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศเพื่อนบ้านและการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก ก็ส่งผลร้ายแรงมาถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านตัวเล็กตัวน้อยในประเทศไทยได้อย่างถึงรากถึงโคน
