รู้จัก 10 หลักการวอร์ซอ เพื่อรับมือ 7 ปีแห่ง ‘หลักนิติธรรมถดถอย’

ข่าวร้าย: จาก 142 ประเทศที่ World Justice Project (WJP) ได้สำรวจเพื่อจัดทำดัชนีหลักนิติธรรม (Rule of Law Index) ปี 2024 นั้น มีจำนวนประเทศที่เผชิญวิกฤตหลักนิติธรรมถดถอยมากกว่าจำนวนประเทศที่หลักนิติธรรมได้รับการพัฒนา (ร้อยละ 57 ต่อร้อยละ 43) ติดต่อกันเป็นปีที่เจ็ด

ข่าวดี: สัดส่วนประเทศที่หลักนิติธรรม ‘ถดถอย’ นั้นน้อยลงต่อเนื่องเป็นปีที่สาม โดยไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศที่หลักนิติธรรม ‘พัฒนา’ แม้จะไม่มากนัก แต่ก็เป็นพื้นฐานที่ดีในการก้าวต่อไปทั้งในระดับประเทศและระดับโลก

ทั้งนี้ ดัชนีหลักนิติธรรม คือเครื่องมือที่ WJP หรือองค์กรอิสระผู้ผสานหลากหลายความเชี่ยวชาญเพื่อผลิตองค์ความรู้และเสริมสร้างความตระหนักรู้ที่จำเป็นต่อการพัฒนาหลักนิติธรรมทั่วโลก ใช้สะท้อน ‘สุขภาพ’ หลักนิติธรรมประจำปี ผ่านปัจจัยชี้วัดแปดข้อ ได้แก่ การจำกัดอำนาจของรัฐบาล (Constraints on Government Powers), การปราศจากการทุจริต (Absence of Corruption), รัฐบาลที่โปร่งใส (Open Government), การธำรงสิทธิพื้นฐาน (Fundamental Rights), ระเบียบและความมั่นคง (Order and Security), การบังคับใช้กฎหมาย (Regulatory Enforcement), กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง (Civil Justice) และกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (Criminal Justice)

โดยบทวิเคราะห์ดัชนีหลักนิติธรรมปี 2024 ระบุว่าปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลักนิติธรรมโลกปี 2024 มากที่สุด คือความถดถอยในการจำกัดอำนาจรัฐบาล จากการตรวจสอบโดยองค์กรนอกภาครัฐที่ไม่เพียงพอ รวมถึงการจำกัดอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ

ทั้งนี้ สิทธิพื้นฐาน โดยเฉพาะสิทธิในการแสดงออก การชุมนุม การสมาคม และความเป็นส่วนตัวยังร่วงโรยในจำนวนกว่าสองในสามของประเทศที่ WJP สำรวจ อันนับเป็นความถดถอยที่ขยายวงกว้างที่สุด ไม่เพียงเท่านั้น สุขภาพหลักนิติธรรมโลกยังถูกซ้ำเติมด้วยกระบวนการยุติธรรมทางแพ่งที่ล่าช้า ขาดแคลนกลไกระงับข้อพิพาททางเลือกที่มีประสิทธิภาพ และยังอยู่ใต้อิทธิพลของรัฐบาลมากขึ้น

นอกจากความร่วงโรยต่อเนื่องในสุขภาพหลักนิติธรรมโลกที่ชวนกังวลแล้ว ยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็วของแนวคิดอำนาจนิยม (authoritarianism) เหนือประชาธิปไตยในหลายพื้นที่ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ลูอิส โรแบร์โต บาร์โรโซ (Luís Roberto Barroso) ประธานศาลสูงสุดแห่งบราซิล อภิปรายต้นสายปลายเหตุของการเติบโตดังกล่าวในศตวรรษที่ 21 ไว้อย่างน่าสนใจ สอดคล้องกับหลากหลายข้อเสนอของนักวิชาการทั่วโลกว่า ปัจจุบัน รัฐประหารไม่ใช่ภัยคุกคามหลักของประชาธิปไตยอีกต่อไป แต่เป็นการบ่อนเซาะหลักการประชาธิปไตยของนักการเมืองผู้ได้รับเลือกตั้งเอง และที่ประชาชนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ให้การสนับสนุนนั้น ก็เพราะความล้มเหลวเรื้อรังในการส่งมอบความผาสุก ตลอดจนโอกาสที่เท่าเทียมในระบอบประชาธิปไตยเดิม หลายกลุ่มรู้สึกราวกับตนไม่มีผู้แทนแท้จริงในระบบเลือกตั้ง และในที่สุดก็เริ่มสูญเสียศรัทธาในการเลือกตั้ง รวมถึงระบบการเมืองบนพื้นฐานประชาธิปไตย ทั้งหมดนี้ยังถูกซ้ำเติมด้วยความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความยากจนที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรง กลุ่มที่เดิมมีสถานะทางวัฒนธรรมสูงกว่าก็รู้สึกว่าตนถูกโจมตีใต้ชุดคุณค่าของระบอบประชาธิปไตยที่มอบโอกาสและพื้นที่ให้กลุ่มชายขอบเดิม อย่างชนพื้นเมือง ผู้มีความหลากหลายทางเพศ สตรี และผู้พิการอีกด้วย

เพื่อทวนกระแสที่กระหน่ำหลักนิติธรรมโลกอย่างหนักหน่วงนี้ WJP ร่วมกับกระทรวงยุติธรรมแห่งโปแลนด์ จึงได้รวบรวมและระดมสมองนักกฎหมาย นักวิชาการ ภาคประชาสังคม นักสิทธิมนุษยชน องค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงสื่อมวลชน ในการประชุม World Justice Forum ณ กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อประกาศหลักการสิบข้อของวอร์ซอที่จะฟื้นฟูสุขภาพหลักนิติธรรมโลกต่อไป ดังนี้ 

หลักการที่ 1: เสริมสร้างกลไกถ่วงดุลอำนาจ ระหว่างองค์กรภาครัฐ เพื่อธำรงหลักการแบ่งแยกอำนาจ สรรค์สร้างระบบกำกับดูแลที่เหมาะสม และให้ผู้มีอำนาจรับผิดชอบต่อการกระทำของตน 

จากดัชนีหลักนิติธรรมข้างต้น ศักยภาพในการจำกัดอำนาจรัฐอ่อนกำลังลงในประเทศที่สำรวจเกินกว่าครึ่ง (ร้อยละ 59) โดยการสร้างเสริมกลไกเชิงสถาบันที่จะยับยั้งการใช้อำนาจโดยมิชอบ และการส่งเสริมความมั่นคงในหลักการ ตลอดจนประสิทธิภาพของหน่วยงานกำกับดูแล ย่อมจะบรรเทาปัญหานี้ได้ ผ่านแนวปฏิบัติหลักคือการส่งเสริมความเป็นอิสระ ความเชี่ยวชาญ และการบำรุงทรัพยากรแก่หน่วยงานกำกับดูแล รวมถึงผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายอย่างเพียงพอ ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่เพื่อยับยั้งการทุจริตและระงับข้อพิพาทได้อย่างเสรี ไม่ถูกแทรกแซง ด้วยความความตระหนักว่าหากปราศจากอิสรภาพดังกล่าวแล้ว หลักการประชาธิปไตยและความพยายามเพื่อปกป้องสิทธิพื้นฐานใดๆ ของประชาชนย่อมร่วงโรยไป

หลักการที่ 2: คุ้มครองการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสันติและถูกต้องตามกฎหมาย ผ่านการเลือกตั้งที่โปร่งใส เสรี และเป็นธรรม 

การเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสันติและถูกต้องตามกฎหมายสำคัญต่อเสถียรภาพทางการเมือง ความชอบธรรมของสถาบันต่างๆ และความเชื่อมั่นของสาธารณชน ทั้งยังป้องกันการรวบรวมอำนาจ และเป็นหนึ่งในปัจจัยสร้างเสริมวัฒนธรรมรับผิดรับชอบ (accountability) ของผู้มีอำนาจ โดยบทวิเคราะห์ดัชนีหลักนิติธรรมปี 2024 (หน้า 33) ยังระบุด้วยว่าในพื้นที่ซึ่งมีหลักนิติธรรมเข้มแข็งนั้น แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านอำนาจผ่านการเลือกตั้งจะสูงกว่า อันมีพื้นฐานจากปัจจัยสำคัญสองประการ คือศักยภาพในการจำกัดอำนาจรัฐของพื้นที่นั้นๆ และความโปร่งใสของกระบวนการเปลี่ยนผ่านอำนาจ

ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องส่งเสริมการขจัดการปลอมแปลงและบิดเบือนข้อมูล หรือเผยแพร่ข้อมูลคลาดเคลื่อนซึ่งจะทำลายความไว้วางใจของสาธารณชนต่อองค์กรผู้กำกับดูแลกระบวนการเปลี่ยนผ่านอำนาจ กัดกร่อนความเชื่อมั่นในหลักนิติธรรม ตลอดจนทำลายความชอบธรรมของคู่แข่งทางการเมือง ทั้งนี้ ต้องสนับสนุนการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ความโปร่งใสของการเลือกตั้งและองค์กรผู้ดำเนินการ รวมถึงบ่มเพาะวัฒนธรรมการยอมรับผลการเลือกตั้ง เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปโดยสันติ ปลอดพ้นจากการแทรกแซงและคุกคาม  

หลักการที่ 3: ปกป้องพื้นที่ของประชาชน ในการมีส่วนร่วมทางสังคมและการเมือง ผ่านการรับประกันเสรีภาพของสื่อ การมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม และการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

การปกป้องพื้นที่ของประชาชนทั้งทางกายภาพและดิจิทัลคือหัวใจของการปกครองที่มีวัฒนธรรมรับผิดรับชอบและการปกป้องสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ เพราะภาคประชาสังคมมีบทบาทสำคัญต่อการสะท้อนความท้าทายที่หลักนิติธรรมในพื้นที่นั้นๆ เผชิญอยู่ รวมถึงเป็นกระบอกเสียงหลักของกลุ่มเปราะบางทางสังคม การปฏิรูป และการเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจแสดงความรับผิดชอบต่อสาธารณชน จึงจำเป็นต้องปกป้องความเป็นอิสระ ความปลอดภัย และความแตกต่างหลากหลายในสื่อต่างๆ ผ่านการขจัดความรุนแรงต่อสื่อมวลชนและผู้เคลื่อนไหวในภาคประชาสังคม พร้อมกับที่ส่งเสริมความโปร่งใส ต่อต้านการบิดเบือนข้อมูล และพัฒนาระบบให้ความช่วยเหลือเพื่อคุ้มครองกระบอกเสียงเหล่านี้ ด้วยความร่วมมือของทั้งองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน 

นอกจากนี้ ยังต้องขจัดกฎหมายหรือนโยบายที่มุ่งจำกัดพื้นที่การทำงานของภาคประชาสังคม และตรวจสอบให้มีการสนับสนุนงบประมาณแก่ภาคประชาสังคมอย่างเพียงพอ รวมถึงสร้างเสริมกลไกการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ผ่านการอาศัยข้อมูลที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางในการกำหนดหัวข้อถกเถียงเกี่ยวกับนโยบายอีกด้วย

หลักการที่ 4: คุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน โดยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล 

ระบบกฎหมายหนึ่งๆ ย่อมไม่อาจธำรงหลักนิติธรรมได้มั่นคง หากระบบกฎหมายนั้นๆ ไม่อาจปกป้องสิทธิและเสรีภาพของผู้อยู่ใต้ปกครอง กระนั้นจากดัชนีหลักนิติธรรมปี 2024 เสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุม การสมาคม และความเป็นส่วนตัว กลับถดถอยในกว่าสองในสามของประเทศที่สำรวจ ซึ่งเป็นความถดถอยในวงกว้างที่สุดนับแต่เริ่มสำรวจ ทั้งยังผสมโรงกับการเลือกปฏิบัติต่อผู้อพยพ และการโจมตีกลุ่มชายขอบอย่างเป็นระบบในหลายพื้นที่ จึงต้องเสริมสร้างความคุ้มครองทางกฎหมายต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพื้นฐาน และตรวจสอบว่าหากมีการจำกัดสิทธิและเสรีภาพเหล่านี้ในพื้นที่หนึ่งๆ การจำกัดนั้นสอดคล้องกับกฎหมาย ได้สัดส่วน ไม่เลือกปฏิบัติ มีระยะเวลาจำกัด และขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากลหรือไม่ โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน พร้อมกันนั้น ยังต้องคุ้มครองนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน สื่อมวลชน และผู้สังเกตการณ์ ให้ปฏิบัติงานได้อย่างเป็นอิสระ สอดคล้องกับมาตรฐานสากล อาทิ ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชน (United Nations Declaration on Human Rights Defenders)

หลักการที่ 5: ส่งเสริมความซื่อสัตย์และความรับผิดชอบ เพื่อต่อต้านการทุจริตทั้งในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน 

การทุจริตไม่เพียงทำให้ผู้ใช้อำนาจรัฐเฉออกนอกลู่ทาง แต่ยังบ่อนทำลายความยุติธรรม กัดเซาะความไว้วางใจในสถาบันและธุรกิจต่างๆ อย่างไรก็ตาม จากดัชนีหลักนิติธรรมปี 2024 ประเทศส่วนใหญ่ที่สำรวจมีความก้าวหน้าในการควบคุมการทุจริต โดยหากต้องการผลักดันความก้าวหน้านี้ ต้องส่งเสริมศักยภาพของหน่วยงานผู้กำกับดูแลในการตรวจจับ สืบสาว ขจัดการทุจริต และชดเชยความเสียหายจากการทุจริตนั้น ด้วยความตระหนักว่ากลไกเหล่านี้คือเครื่องมือป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ปกป้องผู้แจ้งเบาะแส ตลอดจนเป็นพื้นฐานของการจัดซื้อจ้างที่โปร่งใส อันจะขจัดการเลือกที่รักมักที่ชัง และส่งเสริมวัฒนธรรมรับผิดรับชอบในองค์กรต่างๆ ได้ 

นอกจากนี้ ยังต้องส่งเสริมการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของรัฐบาลโดยพลเมือง สื่อมวลชน และภาคประชาสังคม ผ่านการสนับสนุนการศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง (civic education) และการเข้าถึงข้อมูลอย่างโปร่งใส พร้อมกับที่สนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างภาคส่วนต่างๆ ทั้งในและระหว่างประเทศ เพื่อกำหนดมาตรการขจัดการทุจริตที่สอดคล้องกับความท้าทายหลากหลายในทุกระดับ ตลอดจนเป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงความรับผิดชอบและชดเชยความเสียหาย แม้ในระดับข้ามพรมแดนอีกด้วย

หลักการที่ 6: ผลักดันกระบวนการยุติธรรมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมระบบยุติธรรมที่เสรี โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของประชาชนและชุมชนได้อย่างแท้จริง 

กระบวนการยุติธรรมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางมีพื้นฐานจากความเข้าใจความต้องการ ประสบการณ์ รวมถึงสิทธิของปัจเจกบุคคลและชุมชน ตลอดจนเสนอแนวทางระงับข้อพิพาทที่ทุกภาคส่วนร่วมกันออกแบบ เป็นธรรม และทันการณ์ ผ่านบริการที่ประชาชนเข้าถึงได้จริง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทางสังคม 

องค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนจึงต้องขจัดอุปสรรคบนเส้นทางสู่ความยุติธรรมของประชาชน ผ่านการอำนวยความสะดวกเพื่อเข้าถึงความช่วยเหลือทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ และได้รับจัดสรรทรัพยากรอย่างเพียงพอ ตลอดจนส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมาย บริการให้คำปรึกษา และกระบวนการระงับข้อพิพาททางเลือก (Alternative Dispute Resolution – ADR) ทั้งที่ให้บริการโดยรัฐและองค์กรภาคเอกชน ทั้งนี้ ระบบช่วยเหลือดังกล่าวควรได้รับการประเมินคุณภาพและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายและความต้องการใหม่ๆ ของประชาชน ตลอดจนมีการกำกับดูแลให้ปลอดการแทรกแซงทางการเมือง และมีมาตรฐานการรับผิดรับชอบที่ชัดเจน ทั้งนี้ ยังต้องสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน ผ่านการให้เข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับการตัดสินและขั้นตอนการดำเนินคดี รวมถึงเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมออกแบบระบบยุติธรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของตน 

หลักการที่ 7: ปกป้องความเป็นอิสระ ความซื่อสัตย์ และความปลอดภัยของทนายความ ตลอดจนองค์กรวิชาชีพกฎหมาย ให้ปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มที่ โดยไม่ถูกคุกคาม กลั่นแกล้ง หรือแทรกแซง

ทนายความคือผู้คงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมและสิทธิพื้นฐาน ผ่านการเป็นหลักประกันการเข้าถึงคำปรึกษาทางกฎหมาย และการมีผู้แทนตนในศาลสถิตยุติธรรม โดยองค์กรวิชาชีพกฎหมายเป็นผู้ธำรงมาตรฐานวิชาชีพและรับประกันอิสรภาพของทนายความเหนือการแทรกแซงใด หากองค์กรวิชาชีพถูกข่มขู่ หรือทนายความถูกขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ไม่เพียงสิทธิพื้นฐานของคนเหล่านี้คลอนแคลนไป แต่หลักการอันค้ำจุนระบบยุติธรรมและสิทธิพื้นฐานของประชาชนในวงกว้างกว่า ย่อมจะคลอนแคลนไปด้วย 

ด้วยเหตุนี้ จึงต้องแสวงหาแนวทางประกันความปลอดภัยทั้งทางกายภาพและวิชาชีพ ตลอดจนความเป็นอิสระของทนายความ สนับสนุนเสรีภาพและโอกาสบริหารจัดการตนเองขององค์กรวิชาชีพ เพื่อปกป้องประโยชน์และสิทธิของสมาชิก รวมถึงธำรงจริยธรรมวิชาชีพ พร้อมกับที่พิทักษ์สิทธิของลูกความ รวมถึงสิทธิของทนายความในการเป็นผู้แทนของลูกความโดยปราศจากการคุกคาม นอกจากนี้ยังพึงอาศัยเครื่องมือทางกฎหมาย อาทิ อนุสัญญาสภายุโรปว่าด้วยการปกป้องวิชาชีพทนายความ (Council of Europe Convention on the Protection of the Profession of Lawyer) เพื่อปกป้องทนายความและองค์กรวิชาชีพ รวมถึงเสริมสร้างความร่วมมือระดับประเทศเพื่อตอบโต้และเอาผิดการคุกคามนั้น

หลักการที่ 8: พัฒนาหลักนิติธรรม ในฐานะรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน การปกป้องสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี

หลักนิติธรรมนั้นสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการสรรค์สร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ผ่านการเป็นกรอบปฏิบัติเพื่อสร้างสมดุลระหว่างความต้องการทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงต้องพัฒนากฎหมาย รวมถึงโครงสร้างเชิงสถาบันเพื่อการเข้าถึงทรัพยากรอย่างยุติธรรม และการดำเนินมาตรการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมเสริมสร้างความตระหนักต่อพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อระบบนิเวศ และคุ้มครองผู้เคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม หรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบ 

นอกจากนี้ ยังพึงรักษาความมุ่งมั่นในพันธกิจต่อกลไกนานาชาติเพื่อค้ำจุนระบบนิเวศ ไม่ว่าจะเป็นความตกลงปารีส (Paris Agreement) หรือการรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่สะอาด เป็นคุณต่อสุขภาพ และยั่งยืน ของสมัชชาสหประชาชาติ 

ที่จะขาดเสียไม่ได้ในยุคสมัยแห่งปัญญาประดิษฐ์ คือการกำหนดมาตรฐานทางกฎหมายเพื่อให้การใช้งานปัญญาประดิษฐ์สอดคล้องกับหลักสิทธิพื้นฐานและการปกป้องข้อมูล โดยอาจอาศัยกรอบปฏิบัติสากล เช่น กรอบอนุสัญญาสหภาพยุโรปว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Council of Europe Framework Convention on Artificial Intelligence) หลักการปัญญาประดิษฐ์โดยองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD AI Principles) ฯลฯ เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนตลอดวงจรชีวิตของปัญญาประดิษฐ์นั้นๆ 

หลักการที่ 9: ส่งเสริมระบบนิเวศธุรกิจที่มีพื้นฐานจากหลักนิติธรรม

ระบบนิเวศธุรกิจที่ยุติธรรม โปร่งใส และมั่นคงนั้น สำคัญทั้งต่อการเติบโตของนวัตกรรม การแข่งขัน และความก้าวหน้าของสังคม การคงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมในระบบนิเวศธุรกิจจะหล่อเลี้ยงความเชื่อมั่นในตลาด ดึงดูดการลงทุน มอบโอกาสให้ธุรกิจทุกขนาดอย่างเท่าเทียม สร้างเสริมผลิตภาพ ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว 

ด้วยเหตุนี้ จึงต้องสร้างสรรค์กรอบกฎหมายที่ชัดเจนเพื่อเป็นแนวทางดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม พร้อมบรรเทาภาระอันฉุดรั้งผู้ประกอบการระดับเล็กและกลาง สนับสนุนการปรับใช้หลักสิทธิมนุษยชน มาตรฐานเกี่ยวกับระบบนิเวศและความยั่งยืน รวมถึงการสอบทานธุรกิจ เพื่อการประกอบธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ สร้างคุณค่าต่อชุมชนและคนรุ่นหลังในระยะยาว นอกจากนี้ ต้องเสริมสร้างสายสัมพันธ์โปร่งใสระหว่างภาคธุรกิจกับรัฐบาล ขจัดทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และบ่มเพาะความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้เสียที่หลากหลายเพื่อยกระดับมาตรฐานความซื่อสัตย์ในอุตสาหกรรมหรือตลาดนั้นๆ ตลอดจนอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และเครื่องมือระงับข้อพิพาทอื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจอย่างแท้จริง

หลักการที่ 10: สนับสนุนความร่วมมือในการเรียนรู้ และพัฒนาหลักนิติธรรมร่วมกันระหว่างประเทศและภาคส่วนต่างๆ

การยกระดับหลักนิติธรรมย่อมเรียกร้องความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ ในสังคม เพราะไม่มีหน่วยหนึ่งหน่วยใดจะรับมือความท้าทายทางธรรมาภิบาลอันซับซ้อนในโลกปัจจุบันได้ลำพัง การพัฒนาหลักนิติธรรมอย่างมีประสิทธิภาพจึงยึดโยงกับการพึ่งพาความเชี่ยวชาญ ภูมิปัญญา สินทรัพย์ และศักยภาพ ทั้งของรัฐบาล ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน นักวิชาการ องค์กรวิชาชีพ และองค์การระหว่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ จึงต้องส่งเสริมความเป็นพันธมิตรระหว่างกัน รวมถึงการปฏิบัติงานร่วมกัน การมีบทสนทนาที่เปิดกว้าง และการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างภาคส่วนต่างๆ กับหน่วยงานด้านกฎหมาย เพื่อบ่มเพาะนวัตกรรมสร้างเสริมหลักนิติธรรม และพัฒนาหลักนิติธรรมด้วยมุมมองอันหลากหลาย ให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้นทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับโลก


ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) และ The101.world

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Law

19 Jun 2024

‘สมรสเท่าเทียม’ ก้าวสำคัญกฎหมายครอบครัวไทย: สาระสำคัญและเรื่องที่ยังไปไม่ถึง

ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์ ชวนมองหลักการสำคัญใน ‘พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม’ พร้อมตั้งข้อสังเกตต่อบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่และผลที่อาจตามมา

ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์

19 Jun 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save