ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูพิจารณาร่างงบประมาณฯ อีกครั้ง
หลายคนอาจรู้สึกว่างบประมาณแผ่นดินคือเรื่องไกลตัว แต่ความจริงเงินงบประมาณอาจใกล้ตัวมากกว่าที่คิด หากใครนึกไม่ออกว่าใกล้ตัวอย่างไร ให้ลองจินตนาการถึงอาคารราชการใกล้บ้าน เสาไฟฟ้าริมถนน หรือแม้กระทั่งสิทธิและสวัสดิการต่างๆ รอบตัว – หากไม่มีร่างงบประมาณฯ สาธารณูปโภคและสิทธิเหล่านี้ก็อาจไม่เกิดขึ้น
ฉะนั้น การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระที่สองและสาม อันจะเกิดขึ้นในวันที่ 13-15 สิงหาคม 2568 จึงเป็นเรื่องควรจับตามองเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเงินงบประมาณส่วนหนึ่งมาจากเงินของประชาชนไทย และร่างงบประมาณฉบับนี้มีวงเงินราว 3.78 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระบวนการงบประมาณไทยอาจยังบกพร่องในบางมิติ เช่น ขาดการตรวจสอบ ขาดความโปร่งใส ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ตลอดจนไม่สามารถอธิบายวิธีคิดหรือเหตุผลของการจัดสรรงบประมาณในบางโครงการ
อะไรคือปัญหาใหญ่ของระบบงบประมาณไทย โดยเฉพาะในมิติความโปร่งใสและการทุจริตคอร์รัปชัน ขณะเดียวกัน ไทยควรทำอย่างไรเพื่อปฏิรูปและปรับปรุงระบบงบประมาณให้ก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิม
วันโอวันสนทนากับ รศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ในฐานะกรรมาธิการงบประมาณ 2569 ผู้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค เพื่อหาคำตอบถึงประเด็นดังกล่าว
หมายเหตุ: เรียบเรียงเนื้อหาส่วนหนึ่งจากรายการ งบประมาณไทยในแดนเงา: ความโปร่งใสแบบไหนที่เราอยากเห็น | ต่อภัสสร์ ยมนาค | 101 One-on-One EP.378 เผยแพร่เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2568 ดำเนินรายการโดย วงศ์พันธ์ อมรินทร์เทวา
จากประสบการณ์ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ซึ่งเป็นการทำงานบทบาทนี้เป็นครั้งแรก ต่อภัสสร์เรียนรู้ว่าประเทศไทยพอมีเงินงบประมาณอยู่พอสมควร ซึ่งเม็ดเงินสามารถนำไปพัฒนาสิ่งต่างๆ ได้อีกเยอะ นำมาสู่การตั้งคำถามว่าที่ผ่านมาเงินงบประมาณถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพหรือเปล่า ซ้ำซ้อนหรือไม่ วัดผลอย่างไร และมีช่องว่างให้เกิดการรั่วไหลมากน้อยแค่ไหน
ต่อภัสสร์เล่าถึงกระบวนการในฐานะกรรมาธิการว่า วันแรกที่เริ่มทำงานก็ได้เอกสารจำนวนมาก รวมถึงได้รับเว็บไซต์ที่สามารถดาวน์โหลดเอกสารที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ ทว่าเอกสารเหล่านี้ไม่ได้มาทีเดียวตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงาน เนื่องจากแต่ละหน่วยงานจะค่อยๆ อัปโหลดเอกสารงบประมาณเข้ามา
แต่ละหน่วยงานจะมีเอกสารขนาดหนาปึกที่ชี้แจงว่าของบประมาณเพื่อทำอะไร โครงการมีรายละเอียดอย่างไร เปรียบเทียบกับปีที่แล้วเป็นอย่างไร เป็นต้น ในฐานะที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นครั้งแรก เขาค้นพบว่าคณะกรรมาธิการฯ มีเวลาเพียงไม่กี่คืนเพื่ออ่านเอกสารและวิเคราะห์ว่าการของบประมาณเหมาะสมหรือไม่อย่างไร
จากการผ่านตาเอกสารจำนวนมาก ต่อภัสสร์ตั้งข้อสังเกตว่าร่างงบประมาณ 2569 สะท้อนให้เห็นการทำงานที่แยกส่วนกันของหน่วยงานราชการไทย โดยพบว่ามีหลายโครงการที่มีชื่อคล้ายคลึงกัน ซึ่งมักเป็นโครงการที่สอดคล้องกับเทรนด์ของช่วงนี้ เช่น ซอฟต์พาวเวอร์ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ public cloud เป็นต้น เขาจึงตั้งคำถามต่อหน่วยงานรัฐในชั้นกรรมาธิการว่า โครงการนี้แตกต่างจากโครงการอื่นที่ชื่อคล้ายคลึงกันอย่างไร
“หน่วยงานก็จะอธิบายว่ามีเพิ่มนู่นนั่นนี่ แต่ผมฟังแล้วก็มองว่ามันทำงานคล้ายกัน โครงการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นการทำงานที่แยกส่วนกัน […] ทั้งที่ในความจริง หลายภารกิจและยุทธศาสตร์ทำงานแยกส่วนกันไม่ได้ แต่ละหน่วยงานต้องทำงานร่วมกัน”
“นำมาสู่การตั้งคำถามว่าโครงการที่ต่างคนต่างทำจะนำมาสู่การทำงานซ้ำซ้อนกันหรือไม่ หรือเป็นการใช้เงินงบประมาณทับกันในเรื่องเดียวกันหรือไม่” ต่อภัสสร์กล่าว พร้อมแสดงความคิดเห็นว่าเงินงบประมาณในโครงการที่ทับซ้อนอาจนำไปใช้ประโยชน์อื่นได้อีกมาก
ต่อภัสสร์ขยายความว่าเมื่อเจอโครงการที่ดูจะเกี่ยวข้องกับเทรนด์ของยุคสมัย ภารกิจที่เขาทำในฐานะกรรมาธิการ คือการสอบถามถึง ‘ไส้ใน’ หรือรายละเอียดของโครงการต่อผู้บริหารของหน่วยงานนั้นๆ จากนั้นจึงตั้งข้อสังเกตเพื่อส่งให้อนุกรรมาธิการของประเด็นนั้นๆ พิจารณารายละเอียดและเสนอตัดทอนโครงการอีกที
“ถามว่ารายละเอียดโครงการที่สอดคล้องกับเทรนด์นำไปสู่การตั้งข้อสงสัยได้หรือไม่ คำตอบคือใช่” ต่อภัสสร์กล่าว ก่อนยกตัวอย่างถึงโครงการที่มีชื่อเกี่ยวข้องกับ big data หรือ dashboard เพื่อเปิดเผยข้อมูล ซึ่งพบว่าหลายกระทรวงดูจะขับเคลื่อนทางนี้ แต่กลับต้องการมีแพลตฟอร์มที่แยกจากกัน
“อีกประเด็นคือแอปพลิเคชัน ทุกหน่วยงานต้องมีเพื่อทำภารกิจของตัวเอง แต่มันเยอะมาก ถ้าประชาชนอยากใช้บริการภาครัฐอย่างครบถ้วนอาจต้องดาวน์โหลดเป็นสิบแอปพลิเคชัน […] เรากำลังเอาเงินมาทุ่มกับอะไรแบบนี้ ทั้งที่มีพื้นที่อื่นที่เงินกระเบียดกระเสียรมาก เงินมีแทบไม่พอช่วยเหลือด้านสวัสดิการประชาชน หรือด้านพัฒนาและปฏิรูปการศึกษา”
“ก็วนกลับมาเรื่องประสิทธิภาพของงบประมาณ” ต่อภัสสร์กล่าว
แนวโน้มทุจริตในงบประมาณ 2569
ในฐานะที่ทำงานเกี่ยวกับคอร์รัปชัน ต่อภัสสร์ตั้งข้อสังเกตว่าเราอาจยังไม่เห็นแนวโน้ม ‘ความไม่โปร่งใส’ ที่ชัดเจนจากร่างงบประมาณ 2569 เนื่องจากการคอร์รัปชันมักเกิดขึ้นหลังจากการใช้จ่ายเงินงบประมาณแล้ว ดังนั้น หากจะบอกว่าโครงการไหนทุจริตแน่เพียงเพราะตั้งงบประมาณ ก็คงจะเป็นเรื่องไม่ยุติธรรม
แต่ก็มีโครงการที่น่าตั้งข้อสังเกตอยู่บ้าง ต่อภัสสร์เล่าถึงโครงการของบประมาณซื้อเสาไฟฟ้าประติมากรรม -เช่น เสาไฟกินรี- ที่ยังปรากฏอยู่ในร่างงบประมาณ 2569 เขาตั้งคำถามต่อหน่วยงานที่ขอว่าทำไมถึงตั้งงบประมาณเช่นนี้ คำตอบคือเสาไฟฟ้าประติมากรรมนั้นอยู่ในลิสต์นวัตกรรม ซึ่งเมื่ออยู่ในลิสต์นี้ หน่วยงานสามารถซื้อได้เลยโดยไม่ต้องเปิดประมูลตามปกติ
“เราเคยได้ยินเรื่องเสาไฟฟ้ากินรี ซึ่งเป็นเรื่องที่เก่ามาก แต่ปรากฏว่าในร่างงบประมาณปี 2569 ยังมีการของบประมาณในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อซื้อเสาไฟฟ้าประติมากรรม”
“เสาไฟฟ้าโซลาเซลล์เฉยๆ ที่ไม่ถือเป็นนวัตกรรมมีราคาประมาณหมื่นต้นๆ แต่พอเป็นเสาไฟฟ้าประติมากรรม ราคาขึ้นเป็น 50,000-60,000 บาทเลย ผมไม่ได้บอกว่าจะมีการทุจริตเกิดขึ้น แต่มันมีความสุ่มเสี่ยง ซึ่งคณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณก็ตั้งข้อสังเกตนี้มานาน”
อีกประเด็นคืองบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านคอร์รัปชัน ต่อภัสสร์เล่าว่างบประมาณในส่วนนี้เยอะมาก โดยยกตัวอย่างถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่ามีงบแต่ละปีราว 4,500 บาท ขณะที่งบบูรณาการด้านการต่อต้านทุจริตที่หน่วยงานต่างๆ ขอไปทำเรื่องป้องกันการทุจริตรวมอีกประมาณ 961 ล้านบาท
“เรามีเงินต้านโกงเยอะมาก แต่ทำไมยังไปไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็น คอขวดอาจไม่ใช่งบประมาณแล้วละ มันต้องมีปัญหาอะไรสักอย่าง” ต่อภัสสร์ระบุ
เมื่อถามว่าคอขวดนั้นคืออะไร ต่อภัสสร์อธิบายว่าตามหลักการแล้ว หากอยากสร้างระบบที่ต่อต้านการทุจริตได้ดี ก็ต้องเริ่มต้นจากการมีระบบเสียก่อน ประชาชนจึงสามารถมีส่วนร่วมและเดินหน้าแก้ไขปัญหาได้ จากนั้นจึงค่อยประกาศว่าประเทศไทยโปร่งใสขึ้นแล้ว
แต่การจัดสรรงบประมาณเกี่ยวกับการต่อต้านคอร์รัปชันนั้นเป็นอีกด้าน ต่อภัสสร์เล่าว่าแม้มีเงินงบประมาณจำนวนมาก แต่เนื้อหาและรายละเอียดของงบประมาณมักจะกระจุกอยู่ที่การประชาสัมพันธ์และการปลูกจิตสำนึกต่อต้านการทุจริต ทั้งที่ไทยยังขาดระบบต่อต้านคอร์รัปชันพื้นฐานที่ดี
“เรายังไม่ทันสร้างระบบที่ดี แต่เราไล่ตะโกนแล้วว่าคนไทยต้องต้านโกง พอคนไทยอยากลุกขึ้นร่วมต้านโกง คำถามคือเขาจะเข้าร่วมได้ที่ไหน มันยังไม่มีช่องทางที่ประชาชนเข้าร่วมได้อย่างเป็นระบบ และไม่มีระบบที่เปิดเผยข้อมูลได้อย่างชัดเจนโปร่งใส”
“เอาแค่ข้อมูลงบประมาณ ประชาชนได้เห็นข้อมูลนี้อย่างโปร่งใสมากน้อยแค่ไหน คำตอบคือยังไม่มากเลย” ต่อภัสสร์กล่าว จากนั้นเสริมว่ารัฐควรสร้างระบบต่อต้านการทุจริตให้ดีก่อน แล้วจึงประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม ทั้งนี้ เขาเน้นย้ำว่าการสร้างจิตสำนึกไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากคนเปลี่ยนทัศนคติแล้วแต่ยังต้องอยู่ในระบบที่ไม่เอื้อ การปลูกฝังก็จะไม่มีประสิทธิภาพ
ต่อภัสสร์เผยด้วยว่าหัวใจหลักในการแก้ไขปัญหาทุจริตและความโปร่งใส คือการเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณะเข้าถึง เพราะหากขาดข้อมูลที่มีมาตรฐาน จะทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงได้ยาก ทำนองว่าต่อให้อยากต้านโกง แต่คำถามคือจะเอาข้อมูลจากไหนไปช่วยตรวจสอบเพื่อต้านโกงได้
“หรือแค่จะดูการทำงานของคณะกรรมาธิการงบฯ ยังไม่ได้เลย ตอนแรกมีความพยายามให้มีการไลฟ์สตรีม ซึ่งผมยกมือเห็นด้วยและมองว่าไม่มีอะไรต้องปิดบังเพราะงบประมาณมาจากภาษีประชาชน แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายจบด้วยการโหวตว่าไม่ให้ไลฟ์สตรีม”
งบประมาณไทยในแดนสนธยา
ที่ผ่านมา หลายหน่วยงานมักโดนจับจ้องในเรื่องงบประมาณอยู่เสมอ เช่น กองทัพ องค์กรอิสระ ฯลฯ
เมื่อถามว่าเห็นข้อสังเกตอะไรจากงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับองค์กรลักษณะนี้ ต่อภัสสร์เผยว่าข้อสังเกตคือหลายโครงการดูซ้ำซ้อน ไม่มีรายละเอียดมากพอ ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน และชวนให้สงสัยว่าทำไมถึงเสนอโครงการเหล่านี้ขึ้นมา
เขายกตัวอย่างถึงโครงการของบประมาณ 375 ล้านบาท เพื่อสร้างอาคารสำนักงานศึกษาธิการใน 15 จังหวัดทั่วประเทศ เสนอของบโดยสำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เหตุผลคืออาคารนี้ใน 15 จังหวัดชำรุดทรุดโทรมมาก บางแห่งไม่ปลอดภัยและเป็นอันตราย
ตอนแรกก็ฟังดูสมเหตุสมผลและอาจรู้สึกว่าควรจะให้ผ่าน แต่เนื่องจาก พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฯ ที่กำลังถกเถียงพูดคุยกันอยู่ อาจปรับแก้และมีแนวโน้มว่าจะไม่มีศึกษาธิการจังหวัดอีกแล้ว ซึ่งหากมีแนวโน้มที่จะถูกยุบ คำถามคือควรจะเริ่มสร้างอาคารนี้จริงหรือไม่ หรือทำไมไม่เช่าอาคารแทนชั่วคราวไปก่อน
“ผมไม่ได้บอกว่ามีการทุจริตนะ แต่เป็นเรื่องชวนตั้งคำถามว่าทำไมทำแบบนี้” ต่อภัสสร์กล่าว
อีกประเด็นที่เกี่ยวข้องคืองบศึกษาดูงานต่างประเทศของหลายหน่วยงาน ต่อภัสสร์เล่าย้อนถึงประสบการณ์เมื่อประมาณ 3-4 ปีก่อน ที่เคยเจอผู้บริหารองค์กรระหว่างประเทศมาทักทายว่าเคยร่วมงานกับหน่วยงานรัฐไทยแห่งหนึ่งหรือไม่ ก่อนจะเล่าว่าหน่วยงานนั้นๆ ส่งอีเมลมาขอดูงาน 100 คนที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่ในฐานะที่องค์กรของผู้บริหารท่านนั้นทำงานด้านธรรมาภิบาล จึงไม่สามารถตอบรับได้เนื่องจากเห็นว่าไม่มีประโยชน์เพียงพอ
ต่อภัสสร์ตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ในชั้นกรรมาธิการด้วย และสื่อสารว่าหากของบดูงานต่างประเทศในลักษณะนี้อีก อาจไม่ช่วยแก้ปัญหาทุจริต แต่กลับสร้างภาพลักษณ์เชิงตรงกันข้ามได้
“งานของคณะกรรมาธิการฯ คือการพยายามสะท้อนภาพว่าใช้งบประมาณกันอย่างไร มีรูปแบบอย่างไร และสามารถทำให้มีประสิทธิภาพหรือคุ้มค่าอย่างไร ส่วนไหนสุ่มเสี่ยงมากก็ควรต้องตั้งคำถามเยอะๆ และพยายามจูงใจกรรมาธิการด้วยกันว่าอะไรควรตัดออกหรือไม่จำเป็น เพื่อให้งบประมาณถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”
ร่างงบประมาณ 2569 ปรับลดงบจากร่างแรกประมาณ 8,920 ล้านบาท เมื่อถามว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือเหมาะสมอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ ต่อภัสสร์ตอบว่าในร่างงบประมาณฉบับนี้ ยังมีอีกหลายโครงการที่อาจไม่จำเป็นเร่งด่วน ข้อมูลไม่เพียงพอ มีความทับซ้อน และขาดประสิทธิภาพ แต่ยังไม่ถูกตัดออกไป แม้เขามองว่ามีอีกหลายโครงการที่ควรถูกตัดทิ้งก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เขาอธิบายว่าตนไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะตัดเท่านั้นหรือต้องตัดให้ได้เท่าไหร่ เพราะท้ายที่สุดงบประมาณที่ถูกตัดออกก็จะถูกนำไปแปรงบประมาณสำหรับหน่วยงานต่างๆ ตามความจำเป็นเร่งด่วนอยู่ดี
“เราไม่ได้จ้องจะตัดงบประมาณ ถ้าทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีการบูรณาการกันดีจริง อันที่จริงอาจตัดงบน้อยกว่านี้ก็ได้ เพราะเป้าหมายคืออยากให้งบถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์กับประชาชนที่สุด”
“สิ่งที่จะเป็นประโยชน์คือการเรียนรู้และถอดบทเรียนเพื่อปฏิรูปกระบวนการการทำงบประมาณ อย่างเช่นรายงานผลการศึกษาเรื่องระบบงบประมาณไทย: สภาพปัญหาและข้อเสนอเพื่อการปฏิรูป ที่เสนอว่าทำอย่างไรให้งบประมาณโปร่งใสมากขึ้น โดยตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ของผู้บริหารประเทศแท้จริง และประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น โดยเกิดการบูรณาการจริงๆ”
หนทางสู่การปฏิรูประบบงบประมาณไทย
สิ่งสำคัญที่สุดที่ต่อภัสสร์เห็นว่าต้องปฏิรูปในระบบงบประมาณไทย คือการสร้างความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูล
เขาเล่าประสบการณ์ว่าขณะที่ทำงานในฐานะกรรมาธิการ ได้มีการชักชวนเพื่อนๆ ที่สนใจเรื่องงบประมาณและการต่อต้านคอร์รัปชันมาช่วยกันดูและตั้งคำถามเกี่ยวกับงบประมาณ ซึ่งก็ได้ข้อสังเกตที่ดีและน่าสนใจ อันเป็นอะไรที่หากอ่านคนเดียวภายในระยะเวลาจำกัดก็อาจเผลอมองข้ามไปได้
ต่อภัสสร์จึงมองว่าหากประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ระบบงบประมาณอาจถูกตรวจสอบอย่างครบถ้วน และเป็นผลดีต่อระบบงบประมาณของประเทศได้
“สมมติผมชอบปั่นจักรยาน ผมอาจสนใจโครงการที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางจักรยาน ถ้าประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลงบประมาณได้อย่างครบถ้วน ประชาชนก็มีสิทธิเป็นกรรมาธิการงบประมาณได้เช่นกัน โดยอาจฝากถามหน่วยงานผ่านกรรมาธิการ หรือตั้งคำถามโดยตรงเลยก็ได้ ซึ่งประชาชนอาจมีความรู้ในประเด็นที่ตัวเองสนใจมากกว่ากรรมาธิการในห้องงบประมาณเสียอีก”
ทั้งนี้ ต่อภัสสร์ย้ำว่าหน่วยงานต้องไม่มองประชาชนเป็นศัตรูที่คอยจ้องจับผิดว่าหน่วยงานรัฐทำงานแย่ เนื่องจากประชาชนอาจช่วยให้โครงการต่างๆ มาตรฐานดีขึ้น ขณะที่การมีส่วนร่วมของประชาชนอาจทำให้เกิดความไว้วางใจในองค์กรภาครัฐ (public trust) อีกด้วย
“คำพูดหนึ่งที่ได้ยินบ่อยคือ ‘เชื่อใจผม เชื่อใจหน่วยงาน เราทำเต็มที่เพื่อประชาชน’ คือผมไม่ได้ไม่เชื่อใจ แต่เชื่อใจไม่เท่ากับการปล่อยให้เก็บข้อมูลให้หน่วยงานนั้นๆ ดูเพียงลำพัง”
เมื่อถามถึงความคาดหวังต่อการพิจารณาร่างงบประมาณ 2569 วาระสองและสามในชั้นสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่จะเข้าสู่การลงมติของวุฒิสภาต่อไป ต่อภัสสร์บอกว่าความหวังคงไม่ใช่การเปลี่ยนหรือพลิกงบประมาณที่ดูไม่เหมาะสม แต่ความหวังคือการสะท้อนภาพให้ประชาชนเห็นว่านี่คือสิ่งที่ควรตระหนัก ตลอดจนสะท้อนภาพถึงการปฏิรูปและปรับปรุงระบบงบประมาณในอนาคต
“เสียดายที่กระบวนการงบประมาณอาจยังไม่มีประสิทธิภาพ ยังซ้ำซ้อน หรือเสี่ยงต่อการรั่วไหล ทำให้ต้องกระมิดกระเมี้ยนในบางงบ แต่บางงบกลับทำได้เต็มที่เลย”
“สิ่งที่อยากผลักดันมากคือการเปิดเผยข้อมูล ผมเชื่อว่าประชาชนมีวิจารณญาณที่ดี มีความรู้ความสามารถที่จะเห็นข้อมูล และสามารถส่งเสียงกลับมาได้ว่าต้องพัฒนาชุดข้อมูลให้ดีขึ้นอย่างไร”
“ปีหน้าผมหวังว่าจะได้เห็นไฟล์งบประมาณแบบ excel ปีต่อไปหวังจะได้เห็นแพลตฟอร์ม big data และปีต่อๆ ไปก็หวังจะได้เห็น data visualization และอยากเห็นกรรมาธิการได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก ตลอดจนเกิดการตั้งคำถามจากความสนใจที่หลากหลาย”