Thai Dream: ‘ชีวิตที่ดี’ ของเราไม่เท่ากัน

ในยุคสมัยหนึ่ง ‘อเมริกันดรีม’ เป็นภาพสะท้อนสังคมที่เปิดโอกาสให้ทุกคนมีความเท่าเทียมในโอกาสและเสรีภาพที่จะบรรลุเป้าหมายชีวิตของตัวเอง แนวคิดนี้ส่งอิทธิพลไปถึงคนทั่วโลกที่จดจำภาพอเมริกันดรีมผ่านภาพยนตร์ฮอลลีวูดและวาดฝันถึงการเป็นชนชั้นกลางที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีชีวิตประจำวันอันสะดวกสบาย และมีครอบครัวอันอบอุ่น

แม้ปัจจุบันอเมริกันดรีมกลายเป็นฝันสลายของคนอเมริกันด้วยสภาพสังคมและโลกที่เปลี่ยนแปลงจนแนวคิดดังกล่าวเป็นเพียงอดีตและอุดมคติที่เอื้อมไม่ถึง แต่เมื่อมองย้อนกลับมาที่สังคมไทยก็น่าคิดว่าแก่นคิดของ ‘ชีวิตแบบไทย’ คืออะไร เป้าหมายชีวิตของผู้คนมีหน้าตาแบบไหน และสังคมไทยมีที่ทางให้ผู้คนไปถึงฝั่งฝันหรือไม่

การวาดภาพฝันถึง ‘ชีวิตที่ดี’ ของคนแต่ละยุคย่อมแตกต่างกัน เมื่อ ‘ความเป็นไปได้’ ของยุคสมัยมีส่วนต่อเติมจินตนาการของผู้คนถึงเป้าหมายสูงสุดบนเส้นทางชีวิต

วันโอวันชวนมองความฝันถึงชีวิตที่ดีของชนชั้นกลางไทยสามรุ่นที่เติบโตมาต่างยุคสมัย ถูกหล่อหลอมด้วยคุณค่าที่แตกต่าง และคิดฝันถึงความเป็นไปได้คนละแง่มุม เพื่อเป็นจิ๊กซอว์หนึ่งที่จะชวนมองภาพความฝันร่วมของสังคมไทย

แน่นอนว่าความคิดและชีวิตของผู้คนในบทความนี้ไม่อาจเป็นภาพแทนที่ถูกต้องแม่นยำของคนทั้งสังคมได้ โดยเฉพาะสำหรับคนหาเช้ากินค่ำที่ยังต้องกระเสือกกระสนในชีวิตประจำวันจนเหมือนไม่ได้รับอนุญาตให้ฝัน แต่อย่างน้อยการสะท้อนความคิดฝันของคนสามรุ่นก็อาจเผยบางแง่มุมความฝันของชนชั้นกลางไทยที่มองเห็นหน้าตาของ ‘ชีวิตที่ดี’ อันเปลี่ยนไปผ่านช่วงเวลา

จิตร’ อายุ 59: ชีวิตในฝันอันมั่นคง เรียบง่าย และไม่ยากที่จะไปถึง

จิตร เป็นข้าราชการในต่างจังหวัด ปัจจุบันเธออายุ 59 ปี อาศัยอยู่กับสามีวัยเกษียณและมีลูกทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ

ภาพชีวิตในฝันของจิตรนั้นช่างเรียบง่าย เธอมองว่าคือชีวิตที่มีงานมั่นคงและมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์

“ชีวิตในฝันคือการมีความพร้อมเรื่องที่อยู่อาศัย อาชีพ และสุขภาพ สามารถทำมาหากินได้แบบไม่มีความกังวล ไม่ต้องรวยก็ได้ แค่มีรายได้ที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ทำให้อยู่ได้อย่างมีความสุข มีครอบครัวที่สมบูรณ์”

จิตรเกิดปี 2509 เติบโตในชนบทอีสาน พ่อเร่ขายยา แม่ทำนา วัยเด็กของเธอผ่านความยากลำบากหลายรูปแบบ จิตรเกิดในยุคที่หมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้าและจดจำได้เมื่อเห็นโทรทัศน์เครื่องแรกในชีวิต อันเป็นหมุดหมายความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมชนชนบท

จิตรเรียนเก่งจนได้ทุนการศึกษาและเรียนสูงขึ้นเรื่อยๆ ต่างจากพี่น้องของเธอส่วนมากที่เรียนไม่สูงนัก เธอเป็นเด็กไม่กี่คนในหมู่บ้านที่ถูกส่งไปเรียนในตัวอำเภอ และเป็นเด็กเพียงหยิบมือที่ได้ไปเรียนต่อในตัวจังหวัด ขณะที่คนแถวบ้านจำนวนมากอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้

“คนรุ่นอื่นอาจมองว่าต้องรวย ชีวิตจึงสมบูรณ์ แต่สมัยเราเป็นเด็ก ยังไม่มีไฟฟ้า ผู้คนทำนาทำไร่ให้มีอยู่มีกิน ไม่ได้ทำเพื่อให้มีเงินเยอะ ส่วนคนเก่งจะสามารถทำอาชีพอื่นได้ เช่น เปิดร้านขายของชำ เปิดโรงสี ให้เช่ารถไถ แต่สิ่งที่หลายคนใฝ่ฝันคือรับราชการ

“เพื่อนเราแทบทุกคนอยากเป็นข้าราชการ เพราะเงินเดือนมั่นคง โอกาสต้องออกจากงานมีน้อย ตอนเรียนจบมัธยมเพื่อนในชั้นไปสอบราชการกัน 80-90% คนเรียนดีเป็นแพทย์และพยาบาล คนเรียนกลางๆ เป็นครู ส่วนเด็กท้ายห้องที่สอบไม่ได้จะไปทำธุรกิจ ซึ่งสุดท้ายกลายเป็นกลุ่มที่รวยที่สุด”

สำหรับคนเจนเอกซ์ช่วงต้นแบบจิตร การศึกษาคือใบเบิกทางสำคัญที่สุดในยุคที่คนยังเข้าไม่ถึงการศึกษาระดับสูง จิตรรับราชการและเรียนต่อถึงปริญญาโท เธอยกระดับชีวิตเป็นชนชั้นกลางและมีคุณภาพชีวิตต่างจากคนในหมู่บ้านที่มีการศึกษาน้อย

“ตอนเราเรียนจบประกาศนียบัตรปี 2530 ประเทศกำลังพัฒนา ทุกคนคิดแค่ว่าอยากมีงานทำเท่านั้นเอง แต่ในยุคหลังสังคมอาจมองอีกมุมว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตคือคนมีเงิน โดยเฉพาะคนที่รวยขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ถือเป็นคนมีความสามารถ

“เราไม่ได้มองความสำเร็จอยู่ที่ความรวย ความสำเร็จของเราคือคนที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข สุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นหนี้ มีทรัพย์สมบัติพอใช้จ่ายก็ถือว่าสำเร็จแล้ว ชีวิตที่ประสบความสำเร็จต้องมีความสุขด้วย ไม่ใช่แค่รวย”

มุมมองเรื่องครอบครัวของจิตรเป็นไปตามขนบ “ครอบครัวที่สมบูรณ์คือมีสามีภรรยาและลูก 1-3 คน อยู่กันอย่างมีความสุข ไม่นอกใจ ลูกได้เรียนหนังสือ เป็นคนดีของสังคม” อย่างไรก็ดี คนรุ่นเธอไม่มองว่าคนที่ไม่แต่งงานเป็นเรื่องผิดปกติ “คนรุ่นก่อนเรามีความคิดว่าทุกคนต้องแต่งงาน ให้พ่อแม่สบายใจ แต่ผู้หญิงรุ่นเราเริ่มเข้าถึงการศึกษา ได้ทำงาน พึ่งพิงตัวเองได้ ผู้หญิงบางคนจึงไม่แต่งงาน บางคนแต่งแล้วหย่า ส่วนใหญ่จะเป็นคนสวย รวย เก่ง ขณะที่ผู้ชายมีค่านิยมแบบ ‘ช้างเท้าหน้า’ จึงไม่กล้าเลือกผู้หญิงเก่งมาเป็นแฟน ผู้หญิงเหล่านี้เป็นคนโสดและอิสระ บางคนมีชีวิตดีกว่าคนที่มีครอบครัวเสียอีก”

จิตรโตมากับการถูกปลูกฝังให้รู้จักบุญคุณของพ่อแม่ แต่เมื่อมีลูก เธอเลือกที่จะไม่ส่งต่อความคิดนั้น

“ตอนเป็นเด็ก เราถูกสอนให้รู้จักบุญคุณผู้ใหญ่ ให้รู้จักบุญคุณคนที่เลี้ยงมา เขาส่งเสียให้เราเรียนหนังสือ เพราะพ่อแม่ไม่ได้เรียน เขาหวังว่าลูกๆ จะกลับมาดูแลพ่อแม่ สอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน ได้ดีแล้วอย่าลืมกำพืด และบอกว่าการจะได้ดีนั้นต้องตั้งใจขยันทำงาน

“สิ่งที่คนรุ่นเราสอนลูกคือ ให้เป็นคนดีของสังคม ไม่ได้หวังให้ลูกกลับมาเลี้ยงตัวเอง แต่หวังให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เพราะสังคมน่ากลัว คนไม่ดีเยอะ เราสอนลูกแค่ว่าทำดีจะได้ดี” จิตรบอก

เธอมองว่าการจะทำให้ชีวิตในฝันเกิดได้จริงนั้นต้องมาจาก ‘ความพยายามส่วนตัว’ ของแต่ละคน โดยเฉพาะความขยัน

“‘ขยันแล้วจะเจริญ’ เป็นเรื่องที่คนรุ่นเราคิด เราเห็นตัวอย่างเพื่อนที่ขยันก็รวยเป็นสิบล้านร้อยล้าน คนไม่ขยันก็จะไม่มีอะไร คนจะสำเร็จอยู่ที่นิสัยส่วนตัว แต่ก็มีเรื่องฐานะทางบ้านมาเกื้อหนุนส่วนหนึ่ง เราไม่คิดว่าการประสบความสำเร็จในชีวิตจะเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจสังคมของประเทศชาติอะไร ถ้าทำไม่ได้ก็เพราะเราทำไม่ดีพอ”

จิตรมองว่าชีวิตเธอมีความมั่นคงและการเข้าถึงความมั่นคงในชีวิตไม่ใช่เรื่องยากอะไร “การจะมีความมั่นคงไม่ยากนัก ดำเนินชีวิตเรื่อยๆ ก็มีความมั่นคงเอง ทำงาน มีรายได้ มีครอบครัว มีลูก ไม่ห่วงอะไรแล้ว แต่เราสังเกตว่าคนรุ่นหลังดูร้อนรน ดูไม่มีความสุข”

ส่วนตัวจิตรพึงพอใจกับชีวิตและเห็นว่าคนรุ่นเดียวกับเธอมีความพึงพอใจในชีวิตได้ไม่ยาก อาจเพราะช่วงอายุที่ทำให้เธอไม่คิดฝันถึงเรื่องไกลตัว ต่างจากเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งจิตรสังเกตว่าคนรุ่นใหม่ดูจะมีความต้องการมากกว่าคนรุ่นเธอและดูจะไม่พึงพอใจในชีวิตได้ง่ายๆ

“คนรุ่นเรามีความพอใจในชีวิตได้ไม่ยาก เพราะคนรุ่นเรามีสิ่งต่างๆ ที่เราคิดว่าเป็นชีวิตที่ดีแล้ว แต่สำหรับคนรุ่นใหม่อาจจะยาก เรามีเพื่อนร่วมงานเป็นคนรุ่นใหม่เยอะ เขาไม่พอใจการทำงานราชการที่ได้เงินน้อย ตั้งคำถามตลอดว่างานนี้คุ้มไหม อยากได้เงินเยอะกว่านี้ อยากย้ายไปทำงานเอกชน ต่างจากคนรุ่นเราที่พอใจกับเงินเดือนตามที่ได้ ทำตามหน้าที่ หนักแค่ไหนก็สู้”

ทุกวันนี้จิตรอยู่ในตำแหน่งราชการระดับสูงตามอายุงาน เธอทำงานหนักในหน่วยงานที่ต้องให้บริการประชาชนจำนวนมากทุกวัน แม้ชีวิตจะไม่หรูหราอย่างโดดเด่น แต่เธอมีบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ หมดห่วงเรื่องลูก และเตรียมตัวเกษียณอย่างเรียบง่าย ทั้งหมดนี้คือ ‘ชีวิตในฝัน’ อย่างที่เธอนิยาม

พุทธะอายุ 34: เสื่อผืนหมอนใบเป็นแค่นิทาน

“คนรุ่นผมเป็นรุ่นผสม เหมือนอยู่ระหว่างยุคเทปคาสเซ็ตและดิจิทัล”

นี่คือประโยคที่ พุทธะ นิยามความเป็นคนเจนวายของเขา แม้ภาพชีวิตในฝันของเขาจะไม่แตกต่างจากจิตรนัก แต่สิ่งที่คนรุ่นเขาไขว่คว้าได้ยากกว่าคือ ‘ความสุข’

พุทธะอายุ 34 ปี เป็นลูกข้าราชการในต่างจังหวัด เขาย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย เมื่อเรียนจบก็ทำงานเป็นพนักงานบริษัทถึงปัจจุบัน

ภาพชีวิตในฝันของเขาคือ มีการศึกษาที่ดี มีปัจจัยพื้นฐานครบถ้วน มีบ้าน มีรถ ไม่เป็นหนี้ มีครอบครัว มีลูก เขาย้ำเรื่องครอบครัวว่าเป็นแพตเทิร์นเส้นทางชีวิตของมนุษย์ การแต่งงานและมีลูกเป็นเหมือน ‘เส้นชัยชีวิต’ ในมุมมองคนส่วนใหญ่ของสังคม

“เวลากลับบ้านที่ต่างจังหวัดผมมักเจอคำถามจากคนรู้จัก ตอน ม.ปลายก็ถูกตั้งคำถามว่าจะเรียนอะไร สอบที่ไหน พอทำงานแล้วก็เจอคำถามว่าทำงานอะไร มีแฟนหรือยัง เมื่อไหร่จะแต่งงาน เมื่อไหร่จะมีลูก มันเป็นสเต็ปชีวิตที่คนเจนวายยังได้รับอิทธิพลอยู่

“ส่วนตัวผมมองว่านั่นเป็นภาพความสมบูรณ์ไหม…ก็คงใช่ เราเป็นมนุษย์ในสังคม ถ้าเราไม่มีชีวิตเหมือนคนอื่น เราก็คงเกิดคำถามว่าการเป็นแบบนี้ถูกต้องไหม ในยุคนี้คนรุ่นผมอาจไม่อยากมีลูกเพราะเรื่องสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง แต่ตัวผมเองถ้าไม่มีเงื่อนไขอะไรก็อยากรู้ว่าการเป็นพ่อคนจะเปลี่ยนเราแค่ไหน” เขาบอก

ภาพชีวิตในฝันที่พุทธะเล่ามาเป็น ‘โมเดลพื้นฐาน’ ที่เขานึกออกในแวบแรก แต่เมื่อคุยลงลึกแล้วเขาเห็นว่าเป้าหมายสูงสุดในชีวิตคนรุ่นเขาคือการเป็นอิสระทางการเงินและเวลา

“ชีวิตที่คนรุ่นผมอยากเป็นคือคนที่มีอิสระทางการเงินและเวลา ทุกวันนี้เราทำงานเพื่อหนีจากการเป็นหนูถีบจักร ขณะที่บางคนมีอิสรภาพทางการเงิน เกษียณตั้งแต่อายุน้อย หรือทำงานตอนไหนก็ได้”

เงินกลายเป็นสิ่งสำคัญสุดของยุคสมัย พุทธะมองว่าความสำเร็จของคนมีได้หลายรูปแบบ แต่เรื่องที่สังคมให้คุณค่าที่สุดคือ ‘ความร่ำรวย’

“คนรวยคือคนที่ประสบความสำเร็จ เพราะเราไม่เห็นคนจนที่เสียงดังในสังคมเลย คนรวยในสังคมไทยพูดอะไรก็มีแต่คนยกหาง คนมองว่าคนนี้ประสบความสำเร็จ แล้วก็ถูกตรวจสอบน้อยด้วย”

แม้คนรุ่นเขาโตมาในยุคที่พูดถึงการทำตามความฝันและแพสชัน แต่เมื่อถูกโยนเข้าโลกการทำงานจริง พุทธะเริ่มตั้งคำถามกับการทำตามความฝันและการนิยามความสำเร็จของชีวิต

“ตอนอายุน้อยคุณมีความฝันอยากทำอาชีพหนึ่ง แต่พอทำงานจริงแล้วเจอรายได้น้อย ผมก็เห็นคนเลิกล้มความตั้งใจไปทำอาชีพอื่นที่รายได้เยอะกว่า ถ้าคุณฝันอยากเป็นนักร้อง แล้วทำเพลงล้านวิวได้ มันสำเร็จแค่ปีเดียว หลังจากนั้นคุณพยายามต่อแต่มันไม่เกิดขึ้นอีก แล้วคนก็ลืมคุณ อย่างนี้คุณจะตอบตัวเองได้ไหมว่านี่คือความสำเร็จ มันอาจสำเร็จแค่วันเดียว แต่สังคมมองว่าไม่ประสบความสำเร็จในเกมยาว”

คนรุ่นพุทธะโตมากับการถูกปลูกฝังเรื่องความขยันและให้ตั้งใจเรียนหนังสือ เขาเองก็เชื่อว่าทั้งสองเรื่องนี้จะนำไปสู่เรื่องดีๆ แต่มันไม่นำไปสู่ความสำเร็จเสมอไป

“ที่บอกกันว่า ‘ขยันแล้วจะเจริญ’ ผมว่ายังจริงอยู่ มันไม่พาเราตกต่ำ แต่อาจไม่ให้ดอกผลเต็มที่ การขยันไม่ใช่ว่าต้องใช้แรงงานวันละหลายชั่วโมง แต่ต้องขยันให้ถูกจุด ส่วนจะประสบความสำเร็จไหม ไม่รู้ แต่น่าจะนำไปสู่สิ่งที่ดี

“ตอนเป็นเด็ก ผู้ใหญ่มักบอกให้ตั้งใจเรียน ต้องเรียนได้เกรดสี่ เพราะสมัยนั้นไม่มีทางเลือกว่าคุณดูยูทูบเพื่อหาความรู้แทนการเรียนในระบบหรือลงเรียนเป็นคอร์สแทนก็ได้ ทุกวันนี้การศึกษาในระบบไม่ได้ส่งผลต่อความสำเร็จ แค่ทำให้เราต้องผ่านขั้นตอนเยอะและใช้เวลาเรียนหลายปี คนรุ่นใหม่ทำคอนเทนต์แล้วมีคนดูล้านวิวจะได้รับการยอมรับมากกว่าคนเรียนเก่ง เรื่องแบบนี้คนรุ่นพ่อแม่ไม่เข้าใจหรอก พ่อแม่ขอแค่ให้เราเรียนจบ เพื่อหวังว่าเราจะมีชีวิตที่ดีขึ้น”

มุมมองดังกล่าวของพุทธะมาพร้อมยุคสมัยแห่งโซเชียลมีเดีย ทำให้อินฟลูเอนเซอร์หรือคนทำคอนเทนต์กลายเป็นอาชีพในฝัน ด้วยเม็ดเงินมหาศาลและภาพชีวิตหรูหราของอินฟลูฯ ชื่อดัง

“ตอนเด็กคนรุ่นเราโดนปลูกฝังว่าข้าราชการเป็นอาชีพมีเกียรติ ถ้าสอบติดราชการจะมีชีวิตที่ดี แต่พอโลกเปลี่ยน มีแพลตฟอร์มออนไลน์ คนรุ่นใหม่ก็อยากเป็นติ๊กต็อกเกอร์ ยูทูบเบอร์ คนคงไม่ได้มองเรื่องความมั่นคง แต่ทุกคนอยากรวย” พุทธะกล่าว

ที่สุดแล้วเขามองว่าอาชีพข้าราชการที่เคยเป็นอาชีพในฝันของคนยุคก่อนยังตอบโจทย์คนเจนวายในต่างจังหวัดที่ไม่ค่อยมีการจ้างงาน ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากกลับไปอยู่บ้านเกิด

“โซเชียลมีเดียส่งผลต่อภาพชีวิตที่ดี เราเห็นภาพคนอื่นไปเที่ยวต่างประเทศในวันที่เราทำงานอยู่ มันเป็นเครื่องหมายว่าคุณมีอำนาจตัดสินใจในชีวิตตัวเอง อัลกอริทึมบนโซเชียลมีเดียจัดแต่ภาพคนรวยชีวิตดีมาให้เราเห็น ทุกคนอยากเป็นคนทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ”

การเติบโตในยุคเปลี่ยนผ่านและเต็มไปด้วยความไม่มั่นคงทำให้พุทธะมองว่าคนรุ่นเขามีความสุขได้ยาก

“การจะมีชีวิตที่มีความสุขของคนรุ่นผมเป็นเรื่องยาก มีความต้องการมากมาย เราโตขึ้นก็มีความต้องการเพิ่มขึ้น คนรุ่นผมดูไม่ค่อยมีความสุข เหมือนต้องวิ่งอยู่ตลอด เพราะทุกคนไม่หยุดนิ่ง ไม่ได้บอกว่าทำงานแล้วเป็นทุกข์ แต่มันหยุดไม่ได้ ต่อให้เป็นข้าราชการก็มีความกังวลอยู่ดี มีเรื่องที่ควบคุมไม่ได้อยู่ตลอด”

การไขว่คว้าชีวิตในฝันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับพุทธะ เขาเห็นว่าโครงสร้างสังคมที่เป็นอยู่ไม่เอื้อให้คนมีชีวิตที่ดีได้

“โครงสร้างสังคมปัจจุบันทำให้มนุษย์แต่ละคนออกจากลู่วิ่งไม่พร้อมกัน เราไม่ได้ต้องการความเท่าเทียมชนิดที่ว่าทุกคนอยู่บนเส้นเดียวกัน แต่บางคนเขาต้องการโครงสร้างสังคมที่สนับสนุนให้เขาเดินง่ายหน่อย อย่างคนที่บ้านไม่รวย ต้องดูแลพ่อแม่ บางคนกู้ กยศ. เรียนจบแล้วก็มีหนี้เลย

“ถ้าเทียบกับประเทศอื่น ทำไมเราทำแบบเขาไม่ได้ ทำไมบางประเทศน้ำมันถูก ค่าครองชีพสอดคล้องกับรายได้ มีสวัสดิการรัฐ ประเทศเราไม่สามารถทำแบบนั้นได้เหรอ” เขาชวนคิด

เรื่องเล่าที่ว่าเคยมีคนจีนหอบเสื่อผืนหมอนใบแล้วกลายมาเป็นเจ้าสัวในไทยกลายเป็นเพียงนิทานสำหรับคนรุ่นพุทธะ เขานึกไม่ออกว่าวันนี้จะมีผู้เล่นหน้าใหม่ขึ้นมาเป็นเจ้าของเบียร์ยักษ์ใหญ่หรือซูเปอร์มาร์เก็ตเจ้าใหม่แข่งกับเจ้าสัวเหล่านั้นได้อย่างไร

“การจะเริ่มต้นจากเสื่อผืนหมอนใบมาเป็นเจ้าสัวมันยากมากในยุคนี้ เจ้าสัวคนต่อไปก็คงเป็นลูกหลานของเจ้าสัวต่างๆ นั่นแหละ ที่มีโอกาสต่อยอดธุรกิจจากรุ่นปู่”

‘เจน’ อายุ 24: รอ ‘ถูกหวยอัลกอริทึม’ ให้ได้เป็น ‘อินฟลูฯ’

“ถ้าไม่มองข้อจำกัด เป้าหมายชีวิตเราอยากไปทำงานต่างประเทศ อยากทำงานเก็บประสบการณ์จนสามารถเลื่อนตำแหน่งเป็นระดับผู้จัดการในต่างประเทศได้”

เจน เล่าถึงภาพชีวิตตัวเองที่อยากเห็น ในวัย 24 เธอเปลี่ยนที่ทำงานมาแล้วสามแห่ง หลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำเธอก็ยึดอาชีพพนักงานบริษัทมาตลอดและพยายามมองหางานที่มั่นคง

“ภาพชีวิตในฝันคือมีงานที่มั่นคง ทุกวันนี้เรากังวลว่าองค์กรที่ทำงานอยู่จะมั่นคงไหม เราจะทำงานได้ถึงอายุเท่าไหร่ ตอนนี้แค่หาเลี้ยงตัวเองก็ยากแล้ว แต่ก็มีความคาดหวังจากครอบครัวว่าเราจะต้องดูแลเขาด้วย”

เธอเล่าว่าเพื่อนรอบตัวจะมีคนสองกลุ่ม กลุ่มแรกคนต่างจังหวัดฝันอยากกลับไปมีชีวิตที่ดีในบ้านเกิดตัวเอง แต่ที่บ้านเกิดก็ไม่มีงานเงินเดือนสูงแบบในกรุงเทพฯ กลุ่มที่สองคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ฝันอยากมีธุรกิจของตัวเอง ไม่ต้องเป็นมนุษย์เงินเดือน

“คนรุ่นเราเสพคอนเทนต์อินฟลูฯ กันเยอะ เห็นชีวิตอินฟลูฯ ที่มีบ้านในเมือง มีรถจอดหลายคัน ใช้ชีวิตติดคอนเทนต์ มันก็เป็นภาพความฝันของคนรุ่นเรา รวมถึงเราเองด้วยที่อยากจะทำงานแบบนั้น ไม่ใช่มนุษย์เงินเดือนตอกบัตรเข้าทำงานทุกวัน” และ “คนรุ่นนี้ตั้งระดับความพอใจในชีวิตไว้สูง เพราะเห็นจากคนอื่นในโซเชียลฯ แล้วก็อยากเป็นแบบเขา เลยอาจจะยากสำหรับคนรุ่นใหม่ที่จะมีความพอใจในชีวิต”

คนรุ่นเจนเติบโตมากับโซเชียลมีเดียตั้งแต่อายุน้อย เธอมองว่าภาพลักษณ์บนโซเชียลมีเดียกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนรุ่นเธอ

“ชาวเจนซีให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ ต้องกินร้านอาหารแพงๆ มีกระเป๋าที่คนฮิต เราเสพคอนเทนต์เยอะก็ทำให้คิดเรื่องนี้พอสมควร ทำไมเราไม่มีแบบเขา ทำไมเพื่อนร่วมคณะไปได้ไกลกว่าเรา พอคิดแบบนี้ทำให้คนไม่อยากเป็นข้าราชการ แต่ทำอย่างไรก็ได้ให้มีเงินมาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบนี้”

เจนเล่าว่า เพื่อนหลายคนไปสอบราชการเพียงเพื่อให้ครอบครัวเลิกจู้จี้เรื่องนี้ แต่ไม่ได้อยากเป็นข้าราชการจริงๆ

“สถานการณ์การเมืองที่ผ่านมาทำให้คนรุ่นเรามองงานราชการแง่ลบ ใครพูดอะไรก็โดนสั่งห้าม เด็กเจนซีใช้ชีวิตในกรอบแบบนั้นไม่ได้ แล้วเรื่องเงินเดือนด้วย เรามีเพื่อนที่อยากกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดและคิดว่าเงินเดือนข้าราชการอยู่ต่างจังหวัดได้สบาย แต่ไลฟ์สไตล์เขา ‘ติดแกลม’ ชอบใช้ของมียี่ห้อ ถ้าเป็นข้าราชการคงมีไลฟ์สไตล์ติดแกลมไม่ได้”

การเริ่มต้นทำงานในโลกยุคปัจจุบันที่มีความผันผวนและเศรษฐกิจตกต่ำไม่ใช่เรื่องง่าย ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อวิธีคิดเรื่องชีวิตที่มั่นคงและการเลือกงานของเจน

“ตอนนี้ไม่ว่างานประเภทไหนก็ไม่สามารถพูดได้ว่ามีความมั่นคง เงินเก็บต่างหากที่ทำให้เรามีแต้มต่อในชีวิต ขนาดคนทำงานในธุรกิจนำเข้าส่งออกที่ก่อนหน้านี้เคยดูดีมาก ตอนนี้ก็สั่นคลอน ต้องกังวลว่าองค์กรจะปรับโครงสร้างไหม เด็กรุ่นใหม่ก็เลยไม่สนใจประเภทงาน แต่สนใจเงินที่ได้มากกว่า ทำงานไหนแล้วเก็บเงินได้มากกว่ากัน เม็ดเงินที่มากกว่าก็คือความมั่นคงที่มากกว่า

“คนรุ่นเราไม่ได้สนใจความมั่นคงในรูปแบบบำเหน็จบำนาญ แต่สนใจความมั่นคงในรูปแบบการมีเงินเก็บเยอะๆ และมีชื่อเสียงที่จะต่อยอดในอนาคตได้ บางคนอาจจะทำงานประจำ แต่มีอาชีพเสริมเป็นอินฟลูฯ รีวิวของ ทำคอนเทนต์ลงติ๊กต็อก ไปเดินสยามแล้วมีคนจำได้ เพื่อนเราค่อนข้างสนใจงานเสริมที่ให้ชื่อเสียงแบบนี้ การเป็นอินฟลูฯ ถือเป็นพริวิเลจอย่างหนึ่ง คนก็จะปฏิบัติกับเราอีกแบบหนึ่ง อินฟลูฯ หลายคนเริ่มจากศูนย์ พอเห็นเขาทำได้ เราก็คิดว่าเราก็น่าจะทำได้”

เจนยอมรับว่าการเลื่อนชนชั้นแบบเปลี่ยนชีวิตในรุ่นเธอเป็นไปได้ยาก แต่ผู้คนก็คาดหวังว่าอยากเป็นอินฟลูฯ ที่ประสบความสำเร็จ “อินฟลูฯ ที่ประสบความสำเร็จนี่นับหัวได้เลย มันเป็นไปได้ยาก แต่ก็ลุ้นเหมือนถูกหวย เราไม่รู้ว่าคลิปเราจะถูกอัลกอริทึมพาไปให้คนอื่นเห็นไหม บางทีอยู่ดีๆ คลิปก็ปังแบบไม่มีเหตุผล ไม่มีใครมาสอนให้เป็นอินฟลูฯ ได้ ต้องลุ้นเอา”

นอกจากความมีชื่อเสียงของการเป็นอินฟลูฯ สิ่งสำคัญที่สร้างแรงปรารถนาให้คนรุ่นใหม่คือ ‘ความรวย’

“รวยเท่ากับสำเร็จ” เจนบอกก่อนอธิบายว่า “ในยุคที่งานและเงินไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่าย เงินจึงเป็นเครื่องหมายการันตีความสำเร็จของคน เรามีเพื่อนที่เงินเดือนหนึ่งหมื่นปลายๆ เขาไม่กล้าบอกให้คนอื่นรู้ อาจเพราะรู้สึกอาย เราอยู่ในสังคมที่คนเงินเดือนน้อยรู้สึกด้อยค่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น”

แม้การให้คุณค่าในสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปในรุ่นของเจน แต่เธอยอมรับว่าตัวเองก็ถูกปลูกฝังมาไม่ต่างกับคนรุ่นก่อนๆ นัก แต่เมื่อโตขึ้นเธอก็เห็นความจริงที่เปลี่ยนแปลงไป

“เราถูกปลูกฝังด้วยค่านิยมของคนรุ่นก่อนหน้า ถูกกดดันเรื่องการเรียนตั้งแต่เด็ก ตอนสอบติดจุฬาฯ คนที่บ้านดีใจมาก เขาคิดว่าถ้าติดจุฬาฯ จะดีกับครอบครัว แต่ทุกวันนี้เราไม่คิดว่าการเรียนสูงแบบที่จบปริญญาโทหรือเอกจะเท่ากับประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะคนประสบความสำเร็จในการเรียนก็อาจไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน

“คนรุ่นก่อนมักบอกว่าขยันแล้วจะเจริญ…มันจริงแค่ส่วนหนึ่ง แต่มันต้องมีคอนเนกชัน โอกาส และต้นทุนชีวิตด้วย บางคนไม่ขยันยังรวยเลย เพราะมีแต้มต่อมากกว่าคนอื่น ฐานะและการสนับสนุนจากครอบครัวทำให้บางคนก้าวกระโดดไวกว่าคนอื่น น่าเศร้าที่การบอกว่า ‘ขยันแล้วชีวิตจะดี’ เป็นแค่คำพูดให้กำลังใจ” เจนบอก

อีกเรื่องที่แตกต่างชัดเจนคือแนวคิดเรื่องการมีครอบครัว เจนยืนยันว่าเธออยากแต่งงาน แต่จะไม่มีลูกแน่นอน และคนรุ่นเธออยากมีลูกน้อยลงกว่าคนรุ่นก่อนมาก

“เราอยากแต่งงาน แต่ไม่อยากมีลูก แบกรับไม่ไหว ไม่ใช่แค่ภาระเรื่องเงิน แต่เป็นภาระทางจิตใจ เรื่องความรับผิดชอบ ทุกวันนี้คนคาดหวังมากขึ้นว่าเด็กที่โตมาจะต้องพร้อมทุกด้าน ลูกต้องเก่ง ต้องเรียนอินเตอร์ ต้องส่งไปต่างประเทศ คนรุ่นใหม่รู้สึกว่าถ้ามีลูกแล้วทำได้ไม่ดีก็ไม่มีดีกว่า สมัยพ่อแม่เราอาจไม่ได้มีค่านิยมแบบนี้”

ลักษณะร่วมของคนรุ่นใหม่ที่เจนเห็นคือความเป็นตัวของตัวเองและรักความเป็นส่วนตัว อันส่งผลต่อจินตนาการถึงชีวิตที่ดีของคนรุ่นนี้

“เด็กเจนซีไม่มีใครคิดว่าการแต่งงานมีครอบครัวคือชีวิตที่สมบูรณ์ แต่ชีวิตที่สมบูรณ์คือชีวิตที่มั่นคงทางการเงิน เรามักพูดกันว่า ‘แค่รวยก็มีความสุขแล้ว’ ถ้าให้เลือกระหว่างมีเงินกับมีครอบครัว…ก็เลือกมีเงิน ไม่มีครอบครัวก็ได้ แต่ขอมีความสุขให้ตัวเอง” และย้ำ “วิธีคิดคนรุ่นใหม่คือการเติมเต็มให้ตัวเองมากกว่าจะไปหาการเติมเต็มจากคนรอบตัว”

ไม่มีใครอยากหนีไปจากที่นี่

ภาพชีวิตในฝันของแต่ละคนจะเป็นจริงได้นั้น ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมาจากสภาพสังคมและการเข้าถึงโอกาสในการพัฒนาชีวิต นั่นคือเนื้อดินที่จะทำให้เมล็ดพันธุ์เจริญเติบโต การไขว่คว้าชีวิตในฝันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องกลับมาคิดว่า เนื้อดินของสังคมนี้จะทำให้เรา ‘โต’ หรือ ‘ตาย’

จากการใช้ชีวิตในประเทศไทยมา 59 ปี จิตรบอกว่าเธอไม่เคยคิดเรื่องการไปอยู่ในดินแดนอื่นเลย แต่คนรุ่นเธอจำนวนหนึ่งก็มีความคิดเรื่องนี้ โดยเฉพาะช่วงการเมืองตกต่ำและมีกระแสย้ายประเทศ

“คนรุ่นเราบางคนก็ไปมีแฟนฝรั่ง อยากเป็นเมียฝรั่งจะได้ย้ายประเทศ เพราะประเทศไทยหาเงินยาก บางคนได้ย้ายไปแล้วก็รวย แต่อาจเพราะเขาไม่ประสบความสำเร็จจึงต้องย้าย ส่วนคนที่มีงานทำดีอยู่แล้วไม่อยากย้ายหรอก เราคุ้นเคยสภาพแวดล้อมและสังคมแบบนี้

“คนรุ่นเราโตยุคคอมมิวนิสต์ทำให้รู้สึกรักชาติมาก ตอนนั้นลาว เวียดนาม และกัมพูชาไม่สงบ ทำให้เรารู้สึกว่าประเทศไทยปลอดภัยสุด แต่เราไม่ได้คิดเอาประเทศไทยไปเทียบกับยุโรปหรืออเมริกาหรอก เพราะรู้สึกไกลตัว” จิตรบอก

ส่วนพุทธะไม่ได้มีความคิดต่อต้านเรื่องการย้ายประเทศ แต่หากต้องเลือก เขาก็ยังเลือกประเทศไทย

“​ถ้าย้ายประเทศถาวรอาจไม่ใช่เรื่องน่าสนใจนัก ผมกลัวเหงา ยังยึดติดบ้านเกิด เราเกิดที่นี่ พูดภาษานี้ ไม่อยากไปลำบากที่อื่น ตอนเด็กผมภูมิใจในความเป็นคนไทยมากนะ แต่พอโตขึ้นความรู้สึกก็ไม่เข้มข้นแบบแต่ก่อน ผมมองเห็นเรื่องไม่ดีและอยากให้เปลี่ยนแปลง นี่ก็อาจเป็นความภูมิใจรูปแบบหนึ่งนะ ถ้าไม่ภูมิใจคงอยากปล่อยให้มันล่มสลายไป ผมรักในสิ่งที่แวดล้อมเราและอยากให้มันดีขึ้น

“ผมมีความรักประเทศ อยากให้ประเทศพัฒนาโดยที่เรามีส่วนร่วม ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย สักวันไทยจะทัดเทียมประเทศอื่นได้ แต่รัฐต้องสนับสนุนหลายด้าน ทำให้ประชากรในประเทศรู้สึกว่า ไม่ใช่แค่ภูมิใจที่บรรพบุรุษเสียเลือดเนื้อปกป้องแผ่นดิน นั่นเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ที่เราสัมผัสไม่ได้ เป็นหน้าที่รัฐหรือเปล่าที่ต้องทำอะไรให้คนยุคนี้เห็นบ้าง” พุทธะทิ้งท้ายด้วยคำถามชวนคิด

ส่วนเจน คนรุ่นใหม่ที่ฝันอยากย้ายไปทำงานในต่างประเทศ เมื่อถามถึงความภูมิใจในการเป็นคนไทย เธอตอบทันที “ไม่เลย”

“เพื่อนชอบพูดกันว่า อย่างน้อยเป็นคนไทยก็ดีกว่าเป็นคนเกาหลีเหนือ เราพยายามมองแง่ดีว่าที่เป็นอยู่ก็ดีกว่าประเทศอื่นแล้ว แต่เราและเพื่อนรอบตัวไม่มีใครมีความภูมิใจอะไรเรื่องความเป็นไทย

“เราไม่ได้อยากหนีไปจากที่นี่ แต่อยากไปทำงานต่างประเทศเพื่อเก็บเงิน ไม่ย้ายประเทศถาวร เพื่อนเราคุยกันว่าถ้าไปอยู่อเมริกาก็อาจเป็นแค่ชนชั้นกลางค่อนล่าง แต่ถ้ามีเงินเยอะแล้วอยู่ไทยจะสบายมาก ความฝันของคนรุ่นเราหลายคนคือการเก็บเงินให้ได้เยอะๆ และมีชีวิตที่ดีด้วยเงินตัวเอง อยากอยู่ไทยแบบสบายๆ ไม่ต้องเบียดกับคนบนรถไฟฟ้าทุกเย็น มีรถขับหรือนั่งแกร็บได้โดยไม่ต้องเสียดายเงิน” เจนอธิบาย

ชีวิตในฝันของจิตร พุทธะ และเจนเป็นภาพความคิดฝันส่วนหนึ่งของชนชั้นกลางที่เข้าถึงความต้องการพื้นฐานในชีวิตแล้ว แต่อาจมีเพียงจิตรในวัยใกล้เกษียณที่พึงพอใจสิ่งที่มีและเห็นว่าตัวเองบรรลุชีวิตที่ต้องการ ชีวิตของจิตรเผชิญความลำบากในหลายช่วงชีวิตและมีความคิดฝันที่แตกต่างไปในแต่ละช่วงวัย ส่วนพุทธะและเจนนั้นชัดเจนว่าพวกเขาไม่เห็นภาพว่าตัวเองจะไปถึงเส้นชัยได้ง่ายในเนื้อดินแบบนี้ เรื่องราวหลังจากนี้คงมีเพียง ‘โชคชะตา’ ที่จะเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตดีขึ้นพลิกผัน

ในวันเวลาเดียวกันนี้ก็ยังมีคนอีกมากในสังคมที่ไม่แม้แต่จะ ‘ฝัน’ ด้วยชีวิตเบื้องหน้าอันยากลำบากที่เรียกร้องให้คนต้องต่อสู้กับความพ่ายแพ้อย่างไม่ลดละ

ในความหมดหวังและความต้องการจะฝันต่อ อาจถึงเวลาที่เราต้องร่วมกันพิจารณา ‘ภาชนะ’ ที่คนในสังคมไทยร่วมกันใช้บรรจุความฝัน เพื่อให้ความฝันร่วมกันของยุคสมัยเป็นเป้าหมายที่ไขว่คว้าได้ ไม่ใช่เพียงฝันลมๆ แล้งๆ

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save