‘MAGA – สงครามภาษี’ ถึง ‘วิกฤตรัฐธรรมนูญ’: ประชาธิปไตยที่กินได้และมีความหมาย

หัวเรื่องอาทิตย์นี้ดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไรนัก จากคำขวัญใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ว่า ‘สร้างความยิ่งใหญ่ให้อเมริกาอีกครั้ง (Make America Great Again)’ ไปถึงสงครามภาษีศุลกากรที่ทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน เป็นวันที่เขาเรียกว่า ‘วันปลดปล่อย (liberation day)’ ทำไมถึงนำไปสู่ ‘วิกฤตทางรัฐธรรมนูญ’ ได้ ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้บอกอะไรแก่เรา และจะนำไปสู่อนาคตอะไรของอเมริกาและของโลก

การประกาศใช้มาตรการทางภาษีศุลกากรแบบไม่เลือกหน้าและสัมพันธภาพที่มีมาของทรัมป์ โดยมุ่งเรื่องการขาดดุลการค้าอย่างมหาศาลของอเมริกาที่มีกับประเทศคู่ค้าทั่วโลก ทั้งใหญ่และเล็ก ทั้งใกล้และไกล ด้วยการกำหนดอัตราภาษีขาเข้าใหม่อย่างสูงลิ่วชนิดที่ปฏิบัติไม่ได้ เพราะมันหมายถึงการตัดขาดการค้าระหว่างประเทศลงไปนั้น ในความรู้สึกและเข้าใจของคนทั่วไปคือความพิศวงและเชื่อว่านี่เป็น ‘การแก้แค้น’ มากกว่าการเดินนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ มันเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของคนธรรมดามากกว่าความเป็นเหตุเป็นผลของรัฐ

ในทฤษฎีการเมืองระหว่างประเทศที่ใช้กันมามีความพยายามอธิบายและใช้ปฏิบัติจริงว่า นโยบายระหว่างประเทศควรเป็นเรื่องของเหตุผลที่ทุกคนเข้าใจและยอมรับได้ นี่คือทฤษฎีที่เรียกว่า ‘สัจนิยม’ หรือ realism ซึ่งในทางปฏิบัติมักไม่ค่อยเป็นจริงตามหลักคิด เพราะเมื่อใช้อำนาจเข้ามาตัดสินหรือจัดการความขัดแย้งระหว่างประเทศ เหตุผลก็หลุดหายไป เพราะฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมรับและทำตาม จนกว่าจะถูกบังคับหรือทำลายด้วยกำลังที่เหนือกว่าของอีกฝ่าย

ยุคสมัยที่โด่งดังด้วยความพยายามประสานเหตุผลให้เข้ากับความจริงทางปฏิบัติ คือยุคของเฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีนิกสัน นักการทูตที่สร้างความสำเร็จในการผลักดันนโยบายของตัวเองและหลีกเลี่ยงการใช้กำลังแต่ถ่ายเดียว ด้วยการประกาศหลักที่เรียกว่า ‘realpolitik’ เป็นการประสานกันของหลักเหตุผลแบบเสรีนิยมกับความจริงของการเมืองแห่งอำนาจ

สมัยดังกล่าวสามารถทำแบบคิสซิงเจอร์ได้ เพราะอเมริกามีกำลังอำนาจทุกอย่างในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ภายใต้สถานการณ์ของสงครามเย็นระหว่างมหาอำนาจค่ายโลกเสรีที่อเมริกาเป็นหัวหน้า กับค่ายคอมมิวนิสต์ที่มีสหภาพโซเวียตเป็นหัวหน้า ประเทศระดับกลาง เช่น ยุโรป อินเดีย และจีน พากันเลือกข้างเพื่อรักษาฐานะของตนเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ที่เหลือไม่มีทางให้เลือก ต้องอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ในพัฒนาการระยะยาว โครงสร้างอำนาจในระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทำให้อเมริกากลายเป็นเจ้าโลกผู้กำหนดระเบียบทางการเมืองและเศรษฐกิจ รวมถึงการสร้างระบบการค้าที่ทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นศูนย์กลางการเงินและการแลกเปลี่ยนของประเทศทั่วโลก ระยะแรกสร้างความมั่งคั่งทางการเงินและการผลิตอุตสาหกรรมให้แก่อเมริกาอย่างที่ไม่มีประเทศอื่นสามารถทำได้ ความฝันของคนอเมริกาที่เรีกว่า ‘ความฝันแบบอเมริกัน (American Dream)’ กลายเป็นความฝันและความหวังของคนทั้งโลก ใครๆ ก็อยากไปอเมริกาทั้งนั้น นั่นเป็นบรรยากาศที่คนรุ่นผมที่มีฉายาว่า baby boomers คือคนรุ่นที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

บัดนี้ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว จากยุคสงครามเย็นมาสู่สงครามตัวแทนหรือสงครามจำกัดที่ส่งผลกระเทือนไปอย่างไม่จำกัด ซึ่งมีผลถึงโครงสร้างของประเทศ เกิดความเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ขยายตัวจากทุนจักรวรรดินิยมที่ผูกขาดทั้งโลก มาสู่ทุนโลกาภิวัตน์ แล้วยกระดับเข้าสู่ทุนเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยระบบดิจิทัลซึ่งสร้างกำไรมหาศาล

ด้วยอานุภาพของดิจิทัลทำให้ทุนเทคโนโลยี อย่างแอปเปิล ซัมซุง กูเกิล เมตา และอื่นๆ สามารถสร้างลูกค้าทั่วโลกอย่างไร้ขอบเขต มันไม่ได้ผลิตสินค้าเหมือนอย่างก่อนนี้ หากแต่ประดิษฐ์แพลตฟอร์มหรือเวทีให้แก่ผู้ใช้ ซึ่งกลายมาเป็นผู้ผลิตเนื้อหาและเรื่องราวให้แก่โซเชียลมีเดียจนขยายตัวไปกว้างขวางและซึมลึกมากยิ่งขึ้น ผู้ใช้เหล่านี้ไม่กลายเป็นแรงงานในการผลิตเหมือนกรรมกรในโรงงาน หากแต่กลายเป็น ‘ไพร่ (serf)’ คือผู้ใช้และบริโภคที่ตกอยู่ใต้อำนาจเทคโนฯ ของบรรษัทผู้สร้าง มีอิสระเสรีในการใช้ชีวิตอย่างที่ตัวต้องการและสามารถสนองด้วยเงินและตัวแทนของเงินในรูปแบบต่างๆ ได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาในการสร้างและเสพเนื้อหาของโซเชียลมีเดียอย่างไม่ขาด เรียกว่ากลายเป็นความจงรักภักดีต่อเทคโนฯ ใหม่ เหมือนไพร่ขึ้นต่อนายและจ่ายค่าใช้บริการนั้นให้แก่นายตามที่ถูกเรียก

สภาพการณ์ใหม่นี้ทำให้ความเป็นเจ้าโลกและศูนย์กลางการเงินของอเมริกาแปรเปลี่ยนไปสู่การเป็นลูกหนี้ประเทศทั่วโลก ยิ่งนวัตกรรมทางการเงินและการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบดิจิทัลขยายใหญ่เท่าไรก็ยิ่งสร้างพลังของเงินให้มากเท่านั้น แม้ตัวเงินจริงๆ ไม่ได้มีอยู่ในโลกก็ตาม แต่มันอยู่ในจินตนาการและในบัญชีเสมือนจริง ทำให้ทุกคนต่างกำลังใช้จ่ายเงินในจินตนากรรมและเป็นเงินในอนาคต

ทั้งหมดนี้เป็นสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจการเมืองที่ล้อมรอบโดนัลด์ ทรัมป์และนำไปสู่ ‘การปฏิวัติแบบนอกตำรา’ อันเป็นงานถนัดของเขาในการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์และบันเทิง วิธีการของเขาคือต้องรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แล้วจึงค่อยออกไปหาเหยื่อที่จะมาตอบสนองความต้องการของเขา ด้วยกลยุทธ์ที่เขาปลื้มมากคือ ‘การต่อรอง (deals)’

สังเกตว่าโลกธุรกิจมาถึงโลกการเมืองของทรัมป์ไม่ได้วางอยู่บนแนวคิดและหลักการเสรีนิยมหรือกระทั่งอนุรักษนิยมใดๆ ทั้งสิ้น เพราะทั้งหมดวางอยู่บน ‘หลักกู’ ของทรัมป์แต่ผู้เดียว จึงไม่ประหลาดใจที่การผลักดันนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ ทั้งการเนรเทศผู้อพยพ ยาเสพติด การตัดและยุติองค์การต่างๆ ของรัฐบาลกลาง กระทั่งล่าสุดคือการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกว่า ‘ภาษีต่างตอบแทน’ หรือ ‘สงครามภาษี’ (tariffs war) ทั้งหมดนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลมลรัฐหลายแห่งว่าเป็นการใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้องไม่ชอบธรรม รวมๆ คือเป็นการลุแก่อำนาจและใช้กฎหมายอย่างล้นเกินมากกว่าที่เขียนไว้ บางเรื่องฝ่ายทรัมป์ชนะ ศาลยกฟ้อง หลายเรื่องศาลรับฟ้องและให้ระงับการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่ชอบ ให้นำหลักฐานมาให้ศาลพิจารณาเพื่อวินิจฉัยต่อไป เรื่องทำนองนี้เกิดในระบบการเมืองอเมริกามากกว่าที่อื่น แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์และต่อเนื่องของระบบนิติรัฐและรัฐธรรมนูญอเมริกาที่ท้าทายการปฏิบัติของพรรคและนักการเมืองสองพรรคมานับศตวรรษ กระทั่งมาถึงยุคพิสดารของทรัมป์

ข่าวล่าสุดที่สร้างแรงกระเทือนไปทั่วโลกคือคำวินิจฉัยของศาลการค้าระหว่างประเทศซึ่งเป็นศาลชั้นต้น ต่อการประกาศภาษีตอบโต้ที่ทรัมป์ใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยอำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act, 1977) ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีในการตอบโต้ประเทศที่กระทำการอันเป็นอันตรายหรือคุกคามความมั่นคงและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ด้วยมาตรการต่างๆ ที่เห็นสมควร แต่ในอดีตที่ผ่านมาก็แทบไม่ได้ใช้มากนัก เพราะไม่มีประเทศไหนสามารถข่มขู่คุกคามเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้ นอกจากนั้นกฎหมายอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินนี้ยังระบุมาตรการเพียงแค่การคว่ำบาตร (boycott) หรือการปิดกั้นห้ามค้าขาย (embargo) ไม่มีการพูดถึงการใช้ภาษีศุลกากรมาเป็นเครื่องมือ เพราะสภาพการณ์ตอนโน้นยังไม่เห็นความดุเดือดของการใช้ภาษีขาเข้ามาเล่นงานกัน

ดังนั้น การประกาศใช้ภาษีศุลกากรจึงเปิดช่องให้ผู้พิพากษาถามว่า ปัญหานี้มันฉุกเฉินและกระเทือนความมั่นคงทางเศรษฐกิจของอเมริกาตรงไหน อันนำไปสู่การวินิจฉัยของศาลว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้อำนาจที่ล้ำเส้นความชอบธรรม (unbounded authority) เพราะอ้างเกินกว่าที่กฎหมายให้อำนาจไว้ ด้วยการประกาศขึ้นอัตราภาษีขาเข้าอย่างสูงลิ่ว และขึ้นภาษีในสินค้าบางอย่างจากแคนาดาและเม็กซิโกในข้อหาว่าสองประเทศนี้ส่งยาเฟนทานิลเข้ามาในสหรัฐฯ ทำร้ายคนอเมริกันให้เสพติดยา ทำให้การประกาศขึ้นภาษีของทรัมป์กลายเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอเมริกันไป นอกจากนั้นศาลชั้นต้นว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศให้เวลารัฐบาล 10 วันในการคืนเงินภาษีที่เก็บจากประเทศต่างๆ รัฐบาลทรัมป์จึงทำการอุทธรณ์ในทันที

นั่นเองจึงเป็นที่มาของปฏิกิริยาจากต่างประเทศและกลุ่มธุรกิจในอเมริกาที่แตกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกดีใจโห่ร้องว่านี่คือชัยชนะของฝ่ายต่อต้านและคัดค้านนโยบายสงครามภาษีของทรัมป์ กับอีกฝ่ายที่ยังยืนหยัดออกมาตอบโต้อย่างทันควันว่า ช้าก่อน รัฐบาลยังมีกฎหมายการค้าอีกหลายฉบับที่ใช้ในการจัดการกับประเทศคู่ค้าที่เอาเปรียบอเมริกาอีกหลายฉบับ ข้อนี้ก็เป็นความจริง แต่ที่โฆษกทำเนียบขาวไม่ได้แถลงให้ละเอียดก็คือกฎหมายอื่นๆ นั้นใช้ได้และอาจถูกต้องตามกฎหมายมากกว่าฉบับฉุกเฉินนี้ แต่มันไม่ได้ให้อำนาจที่ครอบคลุมจักรวาลแบบที่ทรัมป์กำลังวางแผนในการมัดมือแล้วเจรจาอย่างที่อเมริกาเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกประตู

กฎหมายว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศอื่นๆ นั้นวางอยู่บนการรับรองของรัฐสภาคองเกรส จึงมีมาตรการที่ถ้อยทีถ้อยอาศัย มีการเจรจา หาทางตกลงกันอย่างที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ อันเป็นแนวทางที่ทรัมป์ไม่ต้องการเดินไป มันเสียเวลาและอาจไม่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ดังนั้นทรัมป์จึงหาทางเอาชนะในศาลให้ได้ วันต่อมาเขาอุทธรณ์ไปยังศาลสหพันธ์ ซึ่งคราวนี้รัฐบาลได้สมใจ คือศาลบอกว่าให้ระงับคำตัดสินของศาลชั้นต้นที่ให้รัฐบาลยุติการกระทำที่ละเมิดกฎหมายนี้ทันทีและให้คืนเงินภาษีที่ได้เก็บไปจากประเทศอื่นให้หมดภายในต้นเดือนมิถุนายนนี้ ศาลสหพันธ์ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินนี้ของศาลชั้นต้น แต่บอกว่าให้ระงับไม่ต้องดำเนินการอะไร จนกว่าศาลจะพิจารณาคำร้องและการปฏิบัติกฎหมายอำนาจฉุกเฉินนี้จากรัฐบาลเสียก่อนในเดือนมิถุนายนนี้ แล้วจึงจะให้คำวินิจฉัย พอถึงตอนนี้ทั้งสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันต่างไม่แน่ใจว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ

ความขัดแย้งในทางการเมืองและนโยบายภาษีอันดุเดือดของทรัมป์ที่มุ่งไปยังประเทศคู่ค้า ทั้งที่เคยเป็นมิตรสนิทและอาศัยกันมายาวนานอย่างแคนาดาและเม็กซิโก ไปถึงมิตรใหม่ที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกันอย่างก่อน เช่น จีนและสหภาพยุโรป ทำให้คนพากันตระหนักและวิตกกังวลต่ออนาคตของระบบเศรษฐกิจโลกภายใต้มือนายโดนัลด์ ทรัมป์ว่า จะมีอนาคตและความสงบอีกต่อไปหรือไม่ หรือว่าโลกจะย่างเข้าสู่ยุคหลังโลกาภิวัตน์ที่มีแต่ความขัดแย้งและไม่สงบอีกต่อไป ดังนั้นการเข้ามาแทรกแซงของฝ่ายตุลาการสหรัฐฯ ด้วยการให้คำวินิจฉัยในเชิงคานอำนาจและยับยั้งการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตของกฎหมายลงได้ นับว่าเป็นเสมือนแสงสว่างแห่งความหวังให้แก่คนจำนวนมากที่ไร้ซึ่งอำนาจและพลังในการหยุดยั้งหรือต่อรองกับอำนาจของประธานาธิบดีได้

นี่คือที่มาของปรากฏการณ์ที่นักรัฐศาสตร์เรียกว่า ‘ความขัดแย้งทางรัฐธรรมนูญ (constitutional crisis)’ เมื่ออำนาจบริหารหรือนิติบัญญัติถูกตรวจสอบและถ่วงดุลโดยอำนาจตุลาการ แล้วฝ่ายอำนาจไม่ยอมให้ตรวจสอบและคานหรือยับยั้งอำนาจของตน ดังที่รัฐบาลนายทรัมป์กำลังหาทางต่อกรและต่อรอง แต่จริงๆ ไม่ได้ต่อรองมากเท่าไร โฆษกทำเนียบขาวออกมาวิจารณ์ผู้พิพากษาว่า ‘พวกผู้พิพากษาที่ไม่ได้มาจากการเลือกต้ัง (unelected judges)’ ไม่ใช่เรื่องหรือหน้าที่ของพวกนั้นที่จะมาตัดสินว่าความฉุกเฉินของประเทศคืออะไร ข้อนี้ก็ประหลาดเพราะคนก็รู้อยู่แล้วว่าตำแหน่งผู้พิพากษานั้นมาจากการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีและรับรองโดยวุฒิสภา ไม่เคยมีการเลือกตั้งโดยประชาชนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

แต่ที่ดุเดือดถึงใจต้องไปอ่านที่ทรัมป์เขียนถึงผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่ออกมายับยั้งการใช้อำนาจเขา ทรัมป์เขียนวิจารณ์ในโซเชียลมีเดียของเขา (Truth Social) โดยเฉพาะผู้พิพากษาสามคน ซึ่งทรัมป์แต่งตั้งในสมัยแรกที่เป็นประธานาธิบดี ตามคำแนะนำของ นายเลียวนาร์ด ลีโอ (Leonard Leo) จากสมาคมเฟเดอรัลลิสต์ (Federalist Society) ทรัมป์บริภาษลีโอว่าเป็น ‘พวกไร้ค่าที่โสมม (sleaze bag)’ และเป็นคนเลวที่อาจเกลียดอเมริกาก็ได้ นายลีโอเป็นผู้ช่วยทรัมป์ในสมัยแรกด้วยการเสนอชื่อนักกฎหมายและผู้พิพากษาอนุรักษนิยมให้กับรัฐบาล มิน่าเล่า พอได้ยินคำวินิจฉัยเรื่องการใช้กฎหมายอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินว่าผิดกฎหมาย ทำให้ทรัมป์หูชาและเลือดขึ้นหน้าทันที จนออกมาประณามผู้พิพากษาที่อกตัญญูอย่างทันควัน

เรื่องที่ผมคิดไม่ถึงคือการออกมาค่อนขอดสมาคมเฟเดอรัลลิสต์ ซึ่งเป็นที่รวมคณะนักกฎหมายอนุรักษนิยมและอาชีพกฎหมายทั้งหมดเอาไว้ เป็นสมาคมอาชีพที่ล็อบบี้ทางการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพดียิ่ง สมาคมนี้ช่วยเสนอชื่อผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่เป็นฝ่ายอนุรักษนิยมให้ทรัมป์สมัยที่เป็นประธานาธิบดีสมัยแรกถึงสามคน ทำให้น้ำหนักของผู้พิพากษาศาลสูงสุดบัดนี้อยู่ในมือของฝ่ายอนุรักษนิยมไปเรียบร้อย ผมเองเคยเชื่อว่าสมาคมเฟเดอรัลลิสต์พวกอนุรักษนิยมที่ไม่มีทางวินิจฉัยข้อพิพาททางกฎหมายและรัฐธรรมนูญที่รองรับคติเสรีนิยมอีกต่อไป คิดว่าไม่น่าเชื่อที่สถาบันนักกฎหมายมีชื่อในอเมริกาจะทำตัวเหมือนสมาคมกระจอกที่ไร้หลักการที่ร่ำเรียนมา แต่เมื่อเกิดวิกฤตรัฐธรรมนูญคราวนี้ ปรากฏว่าสมาชิกแกนนำสำคัญของสมาคมหลายคนกลายเป็นคนต่อต้านนโยบายของทรัมป์ไป

พวกสมาคมเฟเดอรัลลิสต์อ้างว่าไม่ได้ค้านหรือต่อต้านนายทรัมป์ แต่พวกเขาต้องปกป้องรักษาตัวกฎหมายไว้ แสดงว่าพวกนักกฎหมายอนุรักษนิยมอเมริกันนั้น แม้ทัศนคติทางการเมืองเป็นแบบขวาแต่ทางกฎหมายยังต้องรักษาหลักการของนิติรัฐไว้ คือต้องให้เป็นการปกครองโดยกฎหมาย ไม่ใช่โดยตัวบุคคล ความสามารถที่จะยืนหยัดในหลักการกฎหมายที่ชอบธรรมของนักกฎหมายฝ่ายขวาก็คงเป็นสิ่งหายากในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกอีกเหมือนกัน

ดังนั้น ศาลในสมัยรัฐบาลทรัมป์สอง ผู้พิพากษาส่วนมากแต่งตั้งโดยทรัมป์หรือมาจากพรรครีพับลิกัน คำตัดสินของศาลระยะหลังนี้มีสถิติน่าสนใจมากว่า ร้อยละ 72 ตัดสินตรงข้ามกับความต้องการของรัฐบาล ไม่ว่าในกรณีคดีเนรเทศภายใต้กฎหมายเก่าก็ถูกศาลระงับ แม้แต่ศาลสูงสุดเองก็ตาม แนวโน้มในการยับยั้งการใช้อำนาจล้นเกินของทรัมป์ก็ถูกคานไว้ด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าทรัมป์จะหาทางล็อบบี้หรือหว่านล้อมและให้ซองขาวอย่างไรก็ตาม หลายคำวินิจฉัยก็ออกมาอย่างที่นักกฎหมายได้ปฏิบัติกันมาก่อนแล้ว คือยึดตัวบทกฎหมายเป็นเกณฑ์ ไม่ใช่ตัวประธานาธิบดี

เมื่อพิจารณาความเป็นมาทางกฎหมายและการใช้กฎหมายในอเมริกาแล้ว ทำให้ผมสรุปได้ว่า ประวัติศาสตร์อเมริกามีอำนาจและความหมาย เพราะสถาบันทางการเมือง คือฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ต่างยอมรับในฐานะและบทบาทของสถาบันตุลาการที่สามารถทำหน้าที่ในการวินิจฉัยปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้อย่างเป็นอิสระ เสรี และเป็นธรรมตามกฎหมาย การปฏิบัติที่เรียกว่า judicial review ที่ศาลสูงสุดลงมือปฏิบัติในปี 1803 ได้สร้างฐานและความมั่นคงให้แก่ประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกา และนี่คือระบบประชาธิปไตยที่มีชีวิตในอเมริกาและกินได้

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

18 Oct 2022

รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นได้อย่างไร?: จากสงเคราะห์คนยากไร้ สู่สิทธิสวัสดิการที่ขาดไม่ได้

โกษม โกยทอง เขียนถึง เส้นทางการกำเนิดรัฐสวัสดิการในโลกตะวันตกและข้อถกเถียงในการสร้างรัฐสวัสดิการในแต่ละรูปแบบ

โกษม โกยทอง

18 Oct 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save