‘ล็อบบี้-ฟอกเขียว’ เจาะประเด็น ‘COP29’ กับ ธารา บัวคำศรี

กลับมาอีกครั้งกับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties) หรือที่รู้จักกันในชื่อการประชุม ‘COP’ ในปีนี้ ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 29 ณ เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน ระหว่างวันที่ 11 – 22 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา

การประชุมครั้งนี้ มีรัฐบาลและผู้แทนกว่า 200 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม เพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดทำเป้าหมายทางการเงินใหม่ (New Collective Quantified Goal on Climate Finance: NCQG) ที่เพิ่มขึ้นให้กับประเทศกำลังพัฒนา โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างความสามารถในการปรับตัวจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น

แม้การประชุม COP จะดำเนินอย่างต่อเนื่องมาเป็นครั้งที่ 29 เป็นสัญญาณว่าประเด็นสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเป็นที่กล่าวถึงในเวทีโลกมาเกือบสามทศวรรษ แต่จนถึงตอนนี้กลับกลายเป็นว่าความปรวนแปรของสภาพภูมิอากาศกลับทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี และยิ่งสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนผ่านปัญหาภัยธรรมชาติ และฤดูกาลที่ผิดเพี้ยนไปในหลายประเทศทั่วโลก นำมาสู่การตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพในการเจรจา ไปจนถึงจุดตั้งต้นว่าประเทศต่างๆ ยังมีความมุ่งมั่นที่ร่วมรับผิดชอบการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน

101 สนทนากับ ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการกรีนพีซ (Greenpeace) ประเทศไทย ว่าด้วยสถานการณ์โลกรวนที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และการประชุม COP29 ซึ่งมีเป้าหมายใหญ่ว่าด้วยการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจัยที่ทำให้ความร่วมมือของประชาคมโลกในการหยุดยั้งวิกฤติทางสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ของมวลมนุษยชาติยังไม่อาจบรรลุเป้าหมายได้เสียที และพูดคุยถึงหนทางรอดที่อาจยังมีหากประชาคมโลกร่วมแรงกัน

หมายเหตุ: เก็บความบางส่วนจากรายการ 101 One-on-One Ep.347: COP29 และโลกการเงินจะช่วยโลกร้อนได้ไหม คุยกับ ธารา บัวคำศรี ออกอากาศวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567

YouTube video

ความแปรปรวนและความสุดขั้วของภาวะโลกร้อน

จากสถานการณ์ความแปรปรวนอย่างรุนแรงของสภาพภูมิอากาศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ประเทศฟิลิปปินส์โดนพายุ 5 ลูกในระยะเพียง 3 สัปดาห์ หรือภาคเหนือของประเทศไทยที่ประสบปัญหาความแปรปรวนของสภาพอากาศ ประกอบกับมีการประชุม COP 29 ระหว่างวันที่ 11-22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานี้ ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการกรีนพีซ (Greenpeace) ประเทศไทย เริ่มต้นด้วยการให้คำนิยามว่าปัจจุบัน โลกกำลังอยู่ในสภาพอากาศที่แปลกประหลาดจนเดาไม่ถูก เป็นสภาวะที่เราไม่คุ้นเคยมาก่อน ซึ่งเป็นเสียงสะท้อนให้ทุกคนต้องปรับตัวเข้ากับความแปรปรวนและความสุดขั้วของสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น

ธารายกกรณีศึกษาให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่า ที่ผ่านมาวิทยาการเทคโนโลยีออกแบบจำลองสภาพภูมิอากาศขึ้นมา เพื่อพยายามสร้างเทคโนโลยีที่จะสามารถนำมาใช้ในการจำลองสภาพจริงของโลกในทุกๆ ด้าน ซึ่งแม้แต่เทคโนโลยีหลายอย่างก็แสดงให้เห็นถึงขอบเขตของความไม่แน่นอนของสภาพภูมิอากาศโลก ทว่าความคาดเดาไม่ได้ของภาวะโลกรวนกลับพลิกทุกสมการที่เคยสร้างมา ทำให้หลายคนตื่นตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงนี้มากขึ้นกว่าเดิม

ตัวอย่างเช่น กรณีน้ำท่วมแม่สาย ที่พัดพาโคลนมาในพื้นที่ของประชาชน ธาราเสริมว่าหากย้อนไปในอดีต ความรุนแรงของปัญหาดินโคลนในแม่สายนั้นเคยมี แต่ไม่ได้มีความรุนแรงถึงขนาดนี้ เนื่องจากพื้นที่ตั้งของอำเภอแม่สายเป็นช่องเขาและเป็นที่ราบที่มีลำน้ำ ซึ่งในอดีตอาจเคยมีการตกตะกอนของดินที่สะสมตามธรรมชาติ เป็นตะกอนรูปพัด และเมื่อมนุษย์ไปสร้างเมืองที่นั่น ทำให้นอกจากจะมีปัญหาเรื่องน้ำ ก็ยังมีโคลนในพื้นที่นั้นได้ด้วย ประเด็นนี้ยังมองได้อีกว่าเป็นความท้าทายในการตั้งถิ่นฐานของประชาชน อีกทั้งยังเป็นภาพสะท้อนที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมของวิกฤติความสุดขั้วของสภาพภูมิอากาศ

“จากความปั่นป่วนของสภาพภูมิอากาศที่คาดเดาไม่ได้เลย อย่างฟิลิปปินส์เจอพายุเรียงกัน 5 ลูกแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนในประวัติศาสตร์ แถมเป็นขบวนรถไฟเพื่อถล่มประเทศเดียว โลกเรากำลังเข้าสู่ช่วงที่เรียกว่าขอบเขตรอยต่อระหว่างความโกลาหลและความเป็นระเบียบของสภาพภูมิอากาศ”

“เป็นช่วงเวลาที่เราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้อย่างแน่นอน แม้เราจะมีเครื่องมือวัด มีข้อมูล มีเทคโนโลยีอะไรก็แล้วแต่ แต่ขณะเดียวกันเวลาเราพยากรณ์ คาดการณ์สภาพภูมิอากาศ ก็มีความท้าทายสูงกว่าแต่ก่อนมาก ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันจะกลับไปเหมือนเดิมไหม”

“สิ่งที่น่ากังวลคือ เหมือนกับว่าบางอย่างอาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว เช่น ระบบลมมรสุมในทวีปเอเชีย ถึงแม้เราจะมีเทคโนโลยีไว้ดูทิศทาง และจังหวะเวลา สามารถคาดเดาหรือสังเกตการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลได้ แต่ตอนนี้เหมือนองค์ความรู้เหล่านั้นมีความท้าทายมากขึ้น ที่เราเคยรู้ลมแต่ละชนิด รู้ฤดูกาล ตอนนี้มันแทบจะล่มไปหมดเลย” ธาราขยายความ

ปัญหาโลกรวน การเมือง และการ ‘ฟอกเขียว’

เพราะปัญหาโลกรวนไม่ใช่ปัญหาเฉพาะของประเทศใดประเทศหนึ่งในโลก ในการแก้ปัญหาระดับนานาชาติ หลายคนยังติดตามพัฒนาการของคณะกรรมการรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change หรือ IPCC) ซึ่งตั้งขึ้นหลังจากมีข้อตกลงที่เห็นชอบว่าจะต้องมีกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ กรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ในปี 2535 ธาราอธิบายว่า คณะกรรมการชุดนี้เป็นเหมือนคณะของนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานอยู่ทั่วโลก ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐบาล และทำหน้าที่สังเคราะห์ นำงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศทั่วโลกมารวบรวมและจัดเรียงองค์ความรู้ และจัดทำออกมาเป็นข้อค้นพบมากขึ้นเรื่อยๆ นำมาสู่การจัดทำออกมาเป็นรายการประเมินผล

ธาราระบุว่าในแบบประเมินครั้งล่าสุด หรือรายงานรอบที่ 6 มีเนื้อหาประกอบด้วยเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และความอ่อนไหวจากสภาพภูมิอากาศเพิ่มมากขึ้น โดยมีโจทย์คือ จะทำอย่างไรให้บรรลุเป้าหมายข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่มุ่งเน้นให้ประเทศภาคีตอบสนองต่อภัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในศตวรรษนี้ให้ต่ำกว่า 2 องศาฯ เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม และพยายามรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาฯ

IPCC จึงมีหน้าที่ทำข้อสรุปให้รัฐบาล รวมถึงจัดทำข้อเสนอและมาตรการต่างๆ เพื่อนำไปปรับใช้ในประเทศนั้นๆ ต่อไป ประเด็นที่ธาราชี้ให้เห็นคือ ผลข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จาก IPCC เริ่มเห็นชัดเจน และไปในมีทิศทางเดียวกันมากขึ้นทุกๆ ปีว่าโลกร้อนขึ้นเพราะฝีมือมนุษย์ ข้อมูลและหลักฐานในเชิงวิทยาศาสตร์ข้อมูลบ่งบอกได้อย่างแน่ชัดว่าสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนขนาดนี้เกิดจากการกระทำของมนุษย์เป็นองค์ประกอบหลัก

“ถ้าเราดูประวัติศาสตร์การเมืองว่าด้วยวิกฤติสภาพภูมิอากาศ เราจะเห็นตั้งแต่ต้นว่าในบริษัทที่ผลิตน้ำมันฟอสซิล จริงๆ นักวิทยาศาสตร์ของบริษัทก็รู้ว่าโลกร้อนเพราะเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่ก็มีการปกปิดข้อมูล ใช้วิธีการระดมกำลังทางการเงินและคนที่มีอำนาจมาต้านกระแสความตระหนักเรื่องโลกร้อนมาจนถึงปัจจุบัน เงินที่เป็นผลกำไรของบริษัทก็นำมาล็อบบี้การรณรงค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ธารากล่าว

ธาราเสริมว่า สถานการณ์โลกรวนในขณะนี้ กระแสที่คนไม่เชื่อเรื่องโลกร้อนยังคงมีอิทธิพล หลายคนบนโลกอาจยังรู้สึกว่าประเด็นโลกร้อนเป็นเรื่องไกลตัว ทว่าเมื่อเจอเหตุการณ์ความรุนแรงทางสภาพภูมิอากาศที่ชัดขึ้นและถี่ขึ้น ประเด็นนี้เลยเป็นหัวข้อสนทนาทั่วไปกันมากขึ้น กระทั่งบริษัทอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลรายใหญ่ก็ไม่สามารถต้านทานการรับรู้นี้ได้ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และคนจำนวนมหาศาลเริ่มตื่นตระหนก หลายบริษัทจึงเปลี่ยนมาใช้อีกวิธี คือการโฆษณาประชาสัมพันธ์ว่าโลกยังต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลต่อไป คือทางบริษัทยอมรับว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลก่อให้เกิดโลกร้อน แต่พยายามสร้างวาทกรรมว่าโลกยังมีความจำเป็นต้องใช้ เป็นเทคนิคการบอกความจริงครึ่งหนึ่ง แต่ก็โฆษณาอีกครึ่งหนึ่ง ทำให้เกิดกระแส ‘ฟอกเขียว’ ขึ้นมา

“กระแสฟอกเขียวส่วนใหญ่จะทำผ่านกลไกการโฆษณาชวนเชื่อ เช่น โฆษณาว่าผลิตภัณฑ์นี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือบางบริษัทอ้างว่าใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนกับพลังงานหมุนเวียน เป็นการสร้างภาพให้บริษัท แต่ไม่ได้บอกจำนวนที่ลงทุนในเชื้อเพลิงฟอสซิลเช่นกัน เป็นกระแสฟอกเขียวที่มาต้านกระแสเดิม เนื่องจากความจริงที่เกิดขึ้นไม่สามารถกลบหายไปได้แบบแต่ก่อนแล้ว”

“การฟอกเขียวมีหลายรูปแบบมาก ตั้งแต่การพูดความจริงแค่เสี้ยวเดียว ไปจนถึงการใช้ภาพที่สื่อความหมายไม่ชัดเจน หรือทำให้สื่อความหมายได้หลายทาง เช่น โฆษณาของบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะมีเป็นรูปชายหาด รูปต้นไม้ที่ดูรักษ์โลก เป็นวิถีชีวิตของคนกับธรรมชาติที่สวยงาม และมีการโฆษณาขึ้นมาว่าเรายังจำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล หรือผลิตภัณฑ์ของเราช่วยรักษ์โลกได้”

‘คาร์บอนเครดิต’ อีกหนึ่งเครื่องมือในการฟอกเขียวฟอสซิล

ต่อประเด็นการฟอกเขียวของอุตสาหกรรมฟอสซิล ธาราชี้ให้เราเห็นว่า ยังอีกวิธีการหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ คือการอ้างว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีความเป็นกลางทางคาร์บอน หมายความถึงการโฆษณาว่าเมื่อผลิตภัณฑ์นี้ขายออกไป ทางบริษัทจะนำเงินไปดูแลป่า ปลูกป่าให้เท่ากับจำนวนพลังงานที่สร้างคาร์บอนในสภาพภูมิอากาศ ซึ่งในความเป็นจริงคาร์บอนเครดิตนี้ต้องดูว่า ข้อมูลที่ประชาสัมพันธ์ออกมาบอกรายละเอียดอะไรบ้าง และต้องบอกจำนวนได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่การกล่าวอ้างลอยๆ เพียงเท่านั้น

ธาราเสริมว่าความแตกต่างระหว่างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) กับ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยความเป็นกลางทางคาร์บอนคือการที่ปริมาณการปล่อยคาร์บอน (CO2) เข้าสู่ชั้นบรรยากาศเท่ากับปริมาณคาร์บอนที่ถูกดูดซับกลับคืนมาวิธีการต่างๆ เช่น การปลูกป่า ขณะที่ Net Zero หมายถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยนับรวมก๊าซทุกชนิดที่ทำให้เกิดโลกร้อน

“หลายบริษัทใช้วิธีซื้อคาร์บอนมาจากตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ คือไม่ได้ปลูกป่าเอง แต่ไปซื้อคาร์บอนเครดิตมาอีกทีหนึ่ง ประเด็นคืออย่าลืมว่าคาร์บอนเครดิต โดยเฉพาะจากตลาดภาคสมัครใจหรือจากการปลูกป่า มันมีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือเยอะมาก ทั้งการนับซ้อน นับซ้ำ ที่สำคัญคือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าป่าที่ปลูกจะอยู่ตรงไหน หรือจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง”

“คาร์บอนเครดิตที่ซื้อเพื่อหักลบกลบหนี้กับพลังงานที่ใช้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ มักจะถูกตั้งคำถามว่าข้อมูลสอดคล้องกันไหม ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับผู้บริโภคในการตรวจสอบ และคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้ผู้บริโภคตรวจสอบข้อมูลแบบนี้จากสินค้าทุกชิ้น และตลอดเวลา” ธาราให้ความเห็น

มากไปกว่านั้น เรื่องการหักลบกลบหนี้คาร์บอนเครดิตเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความเป็นกลางทางคาร์บอน หากย้อนไปในประวัติศาสตร์การเจรจาเรื่องสภาพภูมิอากาศ นับตั้งแต่มีกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจนถึงพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ระบุว่า ให้ประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 5% ทว่าเนื่องจากพิธีสารเกียวโตนั้นมีข้อจำกัด ไม่สามารถแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างเต็มที่ ทำให้มีคำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องตลาดคาร์บอนและคาร์บอนเครดิตตามมา

“พิธีสารเกียวโตในหลายแง่ถือว่าเกิดความสำเร็จ เพราะพูดถึงข้อตกลงในการให้ประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเยอะๆ ลดก๊าซลง แต่ก็ช่วยได้น้อยมาก ถึงกระนั้นก็มองได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกลไกทางในการสร้างแรงจูงใจในการลดก๊าซเรือนกระจก”

“กระทั่งเมื่อมันล้มเหลว ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าวิธีการเจรจาโลกร้อนที่จัดกันทุกปี การเจรจาจากบนลงล่าง หมายถึงกำหนดว่าโลกจะต้องลดการปล่อยคาร์บอนกี่เปอร์เซ็นต์ และจากนั้นก็บังคับให้ประเทศต่างๆ ช่วยกันลด การเจรจาแบบนี้อาจจะยังไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งอาจต้องนำไปสู่วิธีการเจรจาแบบใหม่ต่อไป”

ความเป็นไปได้ในการเจรจาหาทางออกของ COP29

นอกเหนือจากประเด็นการฟอกเขียว ธารายังชี้ให้เราเห็นอีกหนึ่งประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ คือปัญหาการไล่คนท้องถิ่นออกจากพื้นที่ โดยเฉพาะชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ป่า ซึ่งบางทีไม่ได้เป็นพื้นที่เก็บคาร์บอนความเข้มข้นสูง ทั้งยังมีชุมชนท้องถิ่นดูแลอยู่ ทว่าหลายครั้งวิธีจัดการของนโยบายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่าในประเทศกำลังพัฒนา (Reducing Emissions from Deforestation and Degradation: REDD) คือการไล่เอาคนออก แล้วเอาป่าไว้ คล้ายกับหลายกรณีในประเทศไทยที่มีการไล่คนออกจากป่าชุมชน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดูแลคาร์บอน แต่กลับละเมิดสิทธิมนุษยชนเสียแทน ประเด็นนี้หากมองจากมุมคนเมือง หลายคนจะมองว่าเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่าในการกักเก็บคาร์บอน ในขณะที่แท้จริงแล้วนี่เป็นการสร้างปัญหาต่อเนื่องและซ้ำซ้อนมากขึ้นไปอีก

“ทั่วโลกมีข้อมูลยืนยันแล้วว่า พื้นที่ป่าที่มีชุมชนท้องถิ่นหรือกลุ่มชาติพันธุ์ดูแล ป่าจะได้รับการดูแลรักษาได้ดีกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายครั้งคนเมืองหรือนายทุนนึกไม่ออก เขาควรจะได้รับการรับรองสิทธิ์ให้ได้ใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน อยู่กับผืนป่าได้ เพราะเขาดูแลผืนป่าของเขาได้ดีกว่าการไล่เขาออกไป” ธารากล่าว

เมื่อกล่าวถึงความเป็นไปได้ในการเจรจาของ COP29 ที่อาจหาทางออกให้ปัญหาโลกรวนได้ ธาราชวนเราวิเคราะห์จากสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้น และยังคงเกิดมาตลอด นั่นคือการที่ตัวแปลอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลจะมีสมาคมคอยทำหน้าที่ล็อบบี้รัฐบาลต่างๆ ในการเจรจาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะแน่นอนว่าหลายนโยบายในการแก้ปัญหาโลกรวน หากนำมาปรับใช้จริงในประเทศ ฝ่ายที่เสียประโยชน์คือกลุ่มคนในอุตสาหกรรมฟอสซิล เมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่คนกลุ่มนี้ทำคือการล็อบบี้การเจรจาให้ไม่ต้องเปลี่ยนแบบแผนการผลิต ไม่ต้องหยุดการขุดเจาะนำมันและถ่านหิน และสามารถขยายอุตสาหกรรมของตัวเองไปได้

นอกจากนี้ หากการล็อบบี้ได้ผลสำเร็จ อีกกลุ่มที่ได้ประโยชน์คือผู้เชี่ยวชาญเรื่องการฟอกเขียว ทั้งตัวบริษัทเอง หรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล เพราะนอกจากจะไม่ถูกควบคุม ยังสามารถขยายห่วงโซ่การผลิตออกไปได้อีก ทั้งยังไม่ต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำอีกด้วย นี่เองจึงเป็นข้อท้าทายของการเจรจาเพื่อหาแนวทางกำหนดมาตรการหรือนโยบายเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ

“การประชุม COP เป็นที่รวมของนักการเมืองและผู้มีอำนาจตัดสินใจทั่วโลก ที่ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนในนั้นจะอยากลดโลกร้อนทั้งหมด แต่พวกเขามาเพื่อเจรจาต่อรอง เอาผลประโยชน์ของประเทศเป็นตัวตั้ง สังเกตได้ว่าทุกการประชุมจะมีการเจรจาหลายแง่มุม ไม่ใช่แค่เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยที่แต่ละประเทศต่างก็มีแนวทางให้ประเทศตัวเองได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งกว่าจะหาตรงกลางให้กันได้ มันทำให้สิ่งที่ควรจะทำจริงๆ ล่องลอยอยู่ในอากาศ ทั้งที่หลายปัญหาควรจะถูกแก้ได้ตั้งนานแล้ว”  

“หรือแม้แต่ปัจจัยทางการเมือง อย่างยักษ์ใหญ่ของโลก สหรัฐฯ พอมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ได้ทรัมป์กลับมา โลกก็ต้องเจอนโยบายต่างๆ ของผู้นำ ที่มีผลต่อข้อตกลงต่างๆ ของกรอบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกด้วย เพราะปัญหาโลกเดือดในมิติหนึ่งเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน ไม่สามารถแก้ไขอย่างตรงไปตรงมาได้ แต่ทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาได้ คือเราต้องกลับมาจับตาดู และแก้ไขที่รากเหง้าของปัญหาอย่างจริงจังกันต่อไป” ธารากล่าวทิ้งท้าย

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

Social Issues

4 Apr 2023

เปลี่ยน ‘ผี’ ให้เป็น ‘คน’ : เหตุผลที่คนเลือกเป็น ‘ผีน้อย’ และปัญหาเชิงระบบของการส่งแรงงานไปเกาหลี

รีนา ต๊ะดี เขียนถึงปัญหาในระบบการส่งแรงงานไปทำงานที่เกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมาย เปิดเหตุผลว่าทำไมแรงงานไทยยังเลือกไปแบบ ‘ผีน้อย’

รีนา ต๊ะดี

4 Apr 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save