“ถ้ายังจัดการปัญหาในบ้านไม่ได้ จะไปทำหน้าที่ระดับโลกได้อย่างไร?” ไทยกับเก้าอี้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ ฝันใหญ่ที่อาจไปไม่ถึง – ศรีประภา เพชรมีศรี

เป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าแล้วที่ บุ้ง-เนติพร เสน่ห์สังคม เสียชีวิตระหว่างถูกคุมขังในคดีละเมิดอำนาจศาลและถูกศาลอาญาสั่งถอนประกันในคดีมาตรา 112 กรณีทำโพลเรื่องขบวนเสด็จ หลังอดอาหารเรียกร้องการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเป็นเวลากว่า 110 วัน ถือเป็นความสูญเสียแรกจากการอดอาหารประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนพึงได้รับ

นับตั้งแต่คลื่นการประท้วงขับไล่รัฐบาลเริ่มต้นขึ้นในปี 2563 มีนักกิจกรรมทางการเมืองไทยจำนวนมากถูกจับกุมคุมขัง หลายกรณีถูกปฏิเสธสิทธิในการประกันตัว การอดอาหารจึงกลายเป็นอีกหนทางการต่อสู้ของนักเคลื่อนไหวผู้ถูกผลักให้อยู่หลังกรงขังด้วยอำนาจอันไม่ชอบธรรม แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประชาชนผู้ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกต้องแลกชีวิตเพื่อสิทธิขั้นพื้นฐาน เพราะหากย้อนมองสายธารประวัติศาสตร์การเมืองไทย การไล่ล่าประชาชนผู้เห็นต่างทางการเมืองเกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัย แม้จะอยู่ในรัฐบาลพลเรือนก็ตาม

ประเด็นเหล่านี้เป็นเพียงหนึ่งหลักฐานของความถดถอยด้านสิทธิมนุษยชนในไทย เพราะหากถอยมามองภาพใหญ่ ไทยยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นในแทบทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กฎหมายฟ้องปิดปาก การซ้อมทรมานและบังคับสูญหาย การผลักดันผู้ลี้ภัยกลับประเทศ ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้ดำรงอยู่แบบแก้ไม่ตกมาหลายรัฐบาล ขณะเดียวกันรัฐไทยก็มีความพยายามที่ไม่หยุดหย่อนในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council: UNHRC) ซึ่งเป็นเวทีที่จะเปิดโอกาสให้ไทยเข้าไปแสดงบทบาทในการจัดการปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนในระดับโลก โดยครั้งล่าสุดคือการสมัครเป็นสมาชิกในวาระปี 2025-2027 ภายใต้การนำของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะมีการคัดเลือกในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

ท่ามกลางความกังขาว่ารัฐไทยจะเสนอตัวจัดการปัญหาสิทธิมนุษยชนระดับโลกได้อย่างไร ในขณะที่ปัญหาภายในยังไม่ถูกแก้ไข 101 ชวนประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทยกับ ดร.ศรีประภา เพชรมีศรี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอดีตผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (ASEAN Intergovernmental Commission on Human Rights: AICHR) พูดคุยถึงบทบาทของ HRC และการสมัครเป็นสมาชิกของไทย ในวันที่เสียงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยถอนตัวดังขึ้นอีกครั้งหลังการเสียชีวิตของบุ้ง ไทยมีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่จะไปจัดการวาระด้านสิทธิมนุษยชนในระดับโลก

ดร.ศรีประภา เพชรมีศรี

HRC มีบทบาทและความสำคัญอย่างไรในการจัดการประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนโลก

คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council: UNHRC) เป็นองค์การระหว่างรัฐบาลด้านสิทธิมนุษยชนที่อยู่ภายใต้องค์การสหประชาชาติ มีบทบาทในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนทั่วโลก และเป็นเวทีพูดคุยแลกเปลี่ยนประเด็นเฉพาะในหัวข้อต่างๆ อีกบทบาทที่เราเห็นบ่อยครั้งคือการจัดประชุมสมัยพิเศษเพื่อหารือในประเด็นแหลมคมที่เกิดขึ้นขณะนั้นๆ เช่น ความขัดแย้งในอิสราเอล-ปาเลสไตน์ สงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมไปถึงมีหน้าที่ในการแต่งตั้งผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) เพื่อรับมือกับปัญหาเร่งด่วนต่างๆ และแต่งตั้งผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติภายใต้กระบวนการพิเศษ (Special Procedures) ทั้งที่เป็นรายประเด็นและประเด็นเฉพาะประเทศ อีกทั้งแต่งตั้งคณะทํางานแสวงหาข้อเท็จจริง (fact-finding mission) เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงในวิกฤตการณ์ต่างๆ

เมื่อมีความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้น คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติจะเป็นกลไกหลักของสหประชาชาติในการออกข้อมติสมัชชาสหประชาชาติ และอีกหนึ่งกลไกสำคัญคือการมีกระบวนการ Universal Periodic Review (UPR) ที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกสหประชาชาติทั้ง 193 ประเทศ จัดทำรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศทุก 4 ปี โดยทุกประเทศจะมีสิทธิในการทบทวนสิทธิมนุษยชนของประเทศอื่นๆ และทุกประเทศจะถูกทบทวนจากประเทศอื่นในลักษณะ peer-review ด้วย ดังนั้น เวลาที่ประเทศไทยนําเสนอ UPR ก็จะมีข้อเสนอแนะจากนับร้อยประเทศต่อประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในมิติต่างๆ

ทำไมไทยถึงมุ่งมั่นที่จะเข้าเป็นสมาชิก HRC

ต้องให้ข้อมูลก่อนว่า HRC มีสมาชิก 47 ประเทศ มีการจัดสรรโควต้าสมาชิกจาก 5 กลุ่มภูมิภาค และสมาชิก 47 ประเทศนี้จะถูกเลือกโดยชาติสมาชิก UN ทั้ง 193 ประเทศ โดยมีวาระ 3 ปี บทบาทสมาชิก HRC คือเป็นคณะทำงานหลักในกลไกต่างๆ ที่กล่าวไปแล้ว เช่น UPR การได้รับเลือกจึงเป็นการเปิดพื้นที่ให้ชาติสมาชิกนั้นๆ ได้แสดงบทบาทในการส่งเสริม ตรวจสอบ และแสดงความเห็นต่อการขับเคลื่อนประเด็นสิทธิมนุษยชนในระดับโลก

สำหรับประเทศไทย อาจารย์มองว่าเหตุผลหลักที่รัฐบาลหมายมั่นปั้นมือจะเป็นสมาชิก HRC ให้ได้ คือเหตุผลเรื่องเกียรติภูมิ พูดให้เข้าใจง่ายคือ ถ้าไทยได้รับเลือกก็ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ที่ผ่านมาความพยายามของไทยที่จะเข้าไปนั่งอยู่ในคณะมนตรีของ UN ไม่ได้มีแค่ HRC แต่เราสมัครเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC) อยู่หลายครั้ง แต่ได้แค่ครั้งเดียวเมื่อนานมาแล้ว (วาระปี 1985-1986) ประเทศอื่นในอาเซียนอย่างอินโดนีเซียและมาเลเซียก็เคยได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกไม่ถาวรของ UNSC มาแล้ว ไทยก็หวังว่าจะมีโอกาสเข้าไปแสดงบทบาทในเวทีระดับโลกเช่นนั้นบ้าง

ถ้ามองในภาพรวม อีกเหตุผลที่ประเทศจำนวนหนึ่งสมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิก HRC นั้นมีเป้าหมายเพื่อเข้าไปปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง เราทราบกันดีว่า HRC เป็นกลไกที่ช่วยส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในระดับโลก แต่ในทางปฏิบัติ หลายประเทศกลับพยายามใช้กลไกนี้ปกป้องตัวเอง เช่น เมื่อมีมติที่ประณามหรือเห็นแย้งประเทศตัวเองหรือประเทศพันธมิตร ชาติเหล่านี้จะพยายามล็อบบี้ประเทศอื่นให้ลงมติไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องไม่มองข้ามไปว่ามีประเทศที่ลงสมัครเป็นสมาชิกด้วยความจริงใจที่จะส่งเสริมคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในระดับโลกเช่นกัน

จำเป็นไหมที่ประเทศซึ่งได้รับเลือกเป็นสมาชิกจะต้องมีสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่ดี เพราะบางประเทศ เช่น จีน ซึ่งถูกจับตาเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุดชาติหนึ่งในโลกยังได้เป็นสมาชิก HRC ถึง 6 สมัย

บทความวิชาการจำนวนหนึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่าแม้แต่ประเทศที่สถานการณ์สิทธิมนุษยชนดีมากๆ อย่างฟินแลนด์ ก็เคยเป็นสมาชิกเพียงครั้งเดียว คือเป็นสมาชิกครั้งแรกตอนก่อตั้ง HRC ในปี 2006 หลังจากหมดวาระก็ไม่เคยลงสมัครอีกเลย ซึ่งขั้นตอนแรกที่จะได้รับเลือกคือต้องสมัครเสียก่อน ดังนั้นต่อให้ประเทศนั้นจะมีสถานการณ์สิทธิมนุษยชนดีแค่ไหน หากไม่สนใจลงสมัครก็ไม่ได้เป็นสมาชิก

ข้อสังเกตหนึ่งที่น่าสนใจคือสามประเทศที่เป็นสมาชิก HRC นานที่สุด ประกอบไปด้วย จีน คิวบา และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งต่างก็เป็นประเทศที่มีประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้สะท้อนว่าการได้รับเลือกก็ขึ้นอยู่กับการล็อบบี้ด้วย แต่ละประเทศมีการแลกเสียงและรณรงค์กันอย่างหนักหน่วง ประเทศไทยลงสมัครในแต่ละครั้งก็ทุ่มงบประมาณมากมายกับแคมเปญ ซึ่งไม่ใช่แค่ไทย แต่ทำกันทุกประเทศ ไม่นับว่าประเทศที่มีอำนาจและอิทธิพลทางการเมือง-เศรษฐกิจสูง มีเม็ดเงินลงทุนในประเทศอื่นๆ สูง ย่อมมีอิทธิพลต่อประเทศนั้นๆ ในการตัดสินใจลงคะแนนให้ด้วย

ถ้าย้อนกลับไปมองสมัยที่ไทยได้รับเลือกเป็นสมาชิก HRC (วาระปี 2011-2013) ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ได้นั่งเก้าอี้ ตอนนั้นเป็นช่วงรอยต่อระหว่างรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์กับรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ หลังจากนั้นก็เกิดรัฐประหาร ซึ่งไทยก็ยังพยายามจะสมัครเข้าไปอีก แต่ก็ไม่ได้รับเลือก อาจารย์วิทิต มันตาภรณ์เคยวิเคราะห์ไว้ว่าสาเหตุที่ไทยไม่ได้รับเลือกเป็นเพราะสถานการณ์การเมืองหลังรัฐประหาร สะท้อนว่าสถานการณ์สิทธิมนุษยชนมีผลในการได้รับเลือกอยู่ด้วย อันที่จริงก็ควรจะเป็นแก่นในการพิจารณาด้วยซ้ำ แต่ก็มีปัจจัยเรื่องการเมืองเรื่องการล็อบบี้มาเกี่ยวด้วย

ถ้าให้ประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทยช่วงนี้ ซึ่งกำลังถูกจับตามองจากนานาชาติหลังบุ้ง – เนติพร เสน่ห์สังคม นักกิจกรรมที่อดอาหารประท้วงกระบวนการยุติธรรมเสียชีวิตในระหว่างถูกคุมขัง ไทยยังมีหวังจะได้เก้าอี้สมาชิก HRC ไหม

มีสองประเด็นที่อยากชวนพิจารณา ประการแรก หลายคนบอกว่าไทยผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว แต่เรายังมีคำถามเรื่องความชอบธรรมในกระบวนการเลือกตั้งว่าเงื่อนไขในการเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นชอบธรรมหรือไม่ ทำไมสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารจึงมีสิทธิมีเสียงในการเลือกนายกฯ ทำไมพรรคที่ได้เสียงสูงสุดกลับไม่ได้เป็นรัฐบาล ข้อกังขาเหล่านี้ทําให้การรณรงค์หาเสียงของไทยไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แม้วาระนี้จะไม่ได้มีคู่แข่งมากมายก็ตาม ถ้าถามว่ามีโอกาสไหมก็อาจตอบได้ว่ามี แต่ประเด็นปัญหาหลายอย่างในตอนนี้จะทําให้โอกาสของไทยมีน้อยลง

ประการที่สอง การเสียชีวิตของบุ้ง-เนติพรในระหว่างคุมขัง มีสาเหตุการเสียชีวิตมาจากการอดอาหารเพื่อเรียกร้องสิทธิประกันตัว ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานมากๆ และเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองในกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนที่ไทยเป็นภาคีและกฎหมายภายในของเราเอง คือในทางกฎหมายเรามีแทบทุกอย่าง แต่ในทางปฏิบัติ เราทำไม่ได้จนต้องมีคนแลกชีวิตเพื่อเรียกร้องให้ได้มา กรณีนี้จะมีผลต่อการสมัครเป็นสมาชิก HRC ของไทยแน่นอน และการไม่ได้รับสิทธิประกันตัวยังเกิดขึ้นระหว่างสู้คดี ม.112 ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่นานาชาติตั้งคำถามมาตลอด ทาง UN ก็สะกิดไทยหลายครั้งเรื่องการแก้ไข ม.112 เวลาที่ประเทศไทยนําเสนอรายงาน UPR จะมีข้อเสนอแนะเรื่อง ม.112 ทุกครั้ง ซึ่งประเทศไทยไม่เคยรับข้อเสนอเลย

นอกจากนี้ยังมีข้อเรียกร้องของ UN และอีกหลายชาติเรื่อยมาว่าคนที่ถูกจับด้วยคดีทางการเมืองต้องได้รับสิทธิในการประกันตัว และยังมีข้อเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษคดีการเมือง ไม่นับว่าตั้งแต่มีการชุมนุมปี 2563 มีเด็กและเยาวชนถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกและชุมนุมทางการเมืองมากกว่า 200 คน ไม่เคยมีช่วงไหนในประวัติศาสตร์ไทยที่เด็กถูกดำเนินคดีเยอะขนาดนี้ เพราะฉะนั้นประเด็นเหล่านี้ถือว่าเป็นความถดถอยด้านสิทธิมนุษยชนของไทย ยังไม่นับรวมปัญหาการละเมิดสิทธิน้อยใหญ่ในสังคมไทยที่ยังแก้ไม่ตก

พูดถึงข้อเสนอแนะการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน (recommendations) ใน UPR ไทยมักจะโดนคอมเมนต์เรื่องอะไรมากที่สุด ประเด็นแบบไหนที่ไทยตอบรับ ประเด็นไหนที่ไทยปฏิเสธ

ต้องเล่าก่อนว่าแนวปฏิบัติหลังได้รับข้อเสนอแนะมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ รับข้อเสนอ (accept) รับทราบ (note) และปฏิเสธ (reject) สำหรับประเทศไทย ทุกครั้งที่เราโดนคอมเมนต์เรื่อง ม.112 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสามจังหวัดชายแดนใต้ เรื่องโทษประหารชีวิต และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้ลี้ภัย ประเด็นเหล่านี้จะถูกปฏิเสธเสมอมา

ส่วนข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ประเทศไทยไม่ค่อยปฏิเสธ ตรงกันข้ามกับเรื่องเรื่องสิทธิทางการเมือง-สิทธิพลเมือง อีกเรื่องที่เรามักจะรับไปปฏิบัติคือข้อเสนอที่ระบุว่าให้ประเทศไทยจัดการศึกษาเรื่องสิทธิมนุษยชน หรือผลักดันการเข้าถึงการศึกษาของเด็กข้ามชาติ เรื่องแบบนี้เรารับทุกครั้งเพราะมีกฎหมายและแนวนโยบายอยู่แล้ว

ทั้งนี้ เวลาจะพิจารณาว่าประเด็นไหนรับหรือไม่รับเราต้องดูการเมืองเรื่องภาษาด้วย ถ้าเขียนด้วยคํากลางๆ เช่น for Thailand to consider (พิจารณา) การบอกว่า ‘consider’ มันง่ายที่จะรับเพราะจะใช้เวลานานเท่าไหร่ในการพิจารณาก็ได้ แต่ถ้าข้อเสนอแนะเขียนว่า for Thailand to ratify (ให้สัตยาบัน) เรามักจะปฏิเสธ เช่น ในรายงาน UPR ที่ผ่านมา ทุกครั้งจะมีข้อเสนอให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัยปี (the 1951 the 1951 Refugee Convention) กล่าวง่ายๆ คือรัฐบาลไทยจะปฏิเสธทุกครั้งถ้าบอกให้ ratify แต่ถ้าบอกให้ consider ไทยจะมักจะรับข้อเสนอ จะเห็นว่าท่าทีของรัฐบาลต่อข้อเสนอแนะแตกต่างกันตามภาษาที่ใช้ แม้จะเป็นเรื่องเดียวกันก็ตาม

ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตะวัน-ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ ผู้ต้องหาคดี 112 มีหนึ่งในข้อเรียกร้องในการอดอาหารประท้วงให้ไทยถอนตัวจากการสมัครเป็นสมาชิก HRC หลังการเสียชีวิตของบุ้ง ภาคประชาสังคมก็มีการพูดถึงประเด็นนี้อีกครั้ง เพราะดูเป็นเรื่องย้อนแย้งที่ไทยจะไปขับเคลื่อนประเด็นสิทธิมนุษยชนในเวทีโลก แต่ประเทศตัวเองยังมีปัญหาการลิดรอนสิทธิอยู่หลายกรณี อาจารย์มองข้อเรียกร้องนี้อย่างไร

ประเด็นปัญหาเช่นการปฏิเสธการประกันตัวของนักกิจกรรมทางการเมือง โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกร้องการแก้ไขหรือยกเลิก ม.112 เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเสรีภาพในการพูดและเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งถือเป็นสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เป็นเรื่องที่หลายประเทศทั่วโลกให้ความสําคัญ ซึ่งปัญหาเหล่านี้มีมาตั้งแต่ยุครัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ถามว่าหลังจากเรามีรัฐบาลจากการเลือกตั้งแล้ว สถานการณ์สิทธิมนุษยชนเหล่านี้ดีขึ้นไหม เราก็ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม เรื่องเหล่านี้ทั่วโลกก็ยังจับจ้องอยู่ และอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า การเสียชีวิตของบุ้งในระหว่างถูกคุมขังจะมีผลกระทบต่อการเป็นสมาชิก HRC ไม่มากก็น้อย ฉะนั้นข้อเรียกร้องของตะวันฟังขึ้น เพราะการไปทําหน้าที่ 1 ใน 47 ประเทศสมาชิก คุณต้องไปทําหน้าที่ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศตัวเอง แต่ถ้าคุณยังจัดการปัญหาในประเทศตัวเองไม่ได้ คุณจะไปทําหน้าที่ระดับโลกได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม ไม่ปฏิเสธว่าการมีสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่ดีอาจไม่ได้เป็นปัจจัยตัดสินหลัก แต่การมีสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนที่ถดถอยจะถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายอย่างแน่นอน และจะมีผลต่อการลงคะแนนเสียง โดยเฉพาะประเทศที่ให้ความสนใจเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง ถ้าประเทศเหล่านี้โหวตตามเนื้อผ้าจริง อาจารย์ก็เห็นพ้องกับที่มีคนเสนอว่าประเทศไทยควรทบทวนตัวเองเรื่องการถอนตัว หรือพยายามปรับปรุงปัญหาสิทธิมนุษยชนที่แหลมคมภายในประเทศ หมายถึงจัดการปัญหาสิทธิมนุษยชนในบ้านตัวเองให้ได้ก่อน ก่อนจะไปทําหน้าที่ระดับโลก

หลายคนคาดหวังว่าการได้มาซึ่งรัฐบาลพลเรือนจะทำให้สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนดีขึ้น แต่ก็ดูจะไม่เป็นเช่นนั้น เรายังเห็นการเรียกร้องให้รัฐบาลเพื่อไทยขยับมากขึ้นเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ก็จะเห็นคำกล่าวทำนองว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายบริหาร ก้าวล่วงอำนาจศาลไม่ได้ ถ้าพูดในกรอบที่รัฐบาลทำได้ รัฐบาลทำได้มากน้อยแค่ไหน และมีอะไรที่ควรทำ

เป็นข้อเท็จจริงที่ว่ารัฐบาลไม่ได้เป็นศาลและทําหน้าที่แทนไม่ได้ ซึ่งเราก็เข้าใจ แต่รัฐบาลต้องไม่ลืมว่าไทยเป็นภาคีอนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอยู่หลายฉบับ และเวลาที่รัฐใดเข้าเป็นภาคีกฎหมายระหว่างประเทศ ตัวแสดงที่มีหน้าที่นําพันธกรณีทั้งหลายมาปฏิบัติคือฝ่ายบริหาร คือรัฐบาล (State Parties) สิ่งนี้ถูกระบุไว้ชัดเจนในกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนทุกฉบับ เพราะฉะนั้นรัฐบาลมีหน้าที่โดยตรงที่จะจัดตั้งกลไกหรือออกนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนให้เป็นไปตามพันธกรณี และถ้ามีกลไกใดที่รัฐมองว่าอ่อนแอหรือยังไม่สามารถคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้เท่าที่ควรจะเป็น เช่นกลไกตุลาการ รัฐก็มีหน้าที่ที่จะดําเนินการให้กลไกนี้สามารถทํางานได้จริงๆ ฉะนั้นการบอกว่าตัวเองเป็นฝ่ายบริหารไม่สามารถก้าวล่วงได้แปลว่ารัฐบาลกําลังปฏิเสธหน้าที่ตัวเอง

ยกตัวอย่างหนึ่งในกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนที่ไทยเป็นภาคี คือกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) มีมาตราที่กำหนดพันธกรณีให้ภาคีรับรองสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม (Right to Fair Trial) ถ้าฝ่ายตุลาการอำนวยให้เกิดสิ่งนี้ไม่ได้ รัฐบาลซึ่งเป็นหน่วยที่ต้องนำพันธกรณีไปปฏิบัติก็ต้องมีแนวทางให้การพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมเกิดขึ้น มันเป็นพันธกรณีที่ฝ่ายบริหารปฏิเสธไม่ได้

อยากชวนตั้งคำถามต่อว่าคุณคิดว่าคนที่เป็นผู้พิพากษาในปัจจุบันนี้เข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนมากน้อยแค่ไหน เพราะนักศึกษานิติศาสตร์โดยทั่วไปไม่ได้เรียนวิชาสิทธิมนุษยชน ในประเทศไทย วิชาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนไม่ได้เป็นวิชาบังคับ แต่เป็นวิชาเลือก (หากคณะมีสอน) และบางครั้งการเรียนการสอนกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนก็ขึ้นอยู่กับว่าอาจารย์คนไหนอยากสอนหรือไม่หรือสอนอย่างไร ฉะนั้นคนที่ไปเป็นทนายความ อัยการ หรือผู้พิพากษา ไม่ได้แปลว่าเขามีความรู้ความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างดี หน้าที่ของรัฐในฐานะที่เป็นผู้จัดการศึกษาคือการการันตีว่านักเรียน นักศึกษา และผู้ที่ผ่านระบบการศึกษาทุกคนเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน อันนี้ถือเป็นทางแก้พื้นฐานที่สุด

ส่วนในภาคการเมือง ก็เป็นที่น่ากังขาว่าคนในรัฐบาลหรือรัฐมนตรีที่ใช้วาทกรรมสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและในเวทีระหว่างประเทศ มีความเข้าใจและมีความยึดมั่นกับเรื่องสิทธิมนุษยชนจริงๆ มากน้อยแค่ไหน การอ่านสคริปต์มันง่าย แต่การมุ่งมั่นทำสิ่งที่พูดให้เป็นไปได้จริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฉะนั้นก้าวที่ทำง่ายที่สุดอาจเริ่มที่การจัดการศึกษาเรื่องสิทธิมนุษยชนให้กว้างขวาง โดยทุกองคาพยพในสังคมเข้าใจและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้จริงๆ

เสียงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมไทยมีมาทุกยุคทุกสมัย อาจารย์ประเมินกระบวนการยุติธรรมไทยปัจจุบันนี้อย่างไร มีความคืบหน้าในการปฏิรูปบ้างไหม

หนึ่งในปัญหาของกระบวนการยุติธรรมไทยที่เห็นชัดสุดในยุคนี้คือการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือปิดปาก มีการจับกุม คุมขัง ดำเนินคดีคนที่ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก เพื่อป้องปรามไม่ให้ออกมาอีกอย่างนับไม่ถ้วน จัดว่าเป็นปัญหาสิทธิมนุษยชนที่อยู่ในระดับวิกฤตก็ว่าได้ ในคดีแบบนี้ แม้แต่ผู้พิพากษาเองก็บอกว่าไม่ได้อยากรับ เพราะคดีอยู่ในชั้นศาลจำนวนมาก ไม่นับรวมคดีอื่นๆ อีก แต่เขาก็ต้องรับ คำถามคือทำไมต้องรับ เพราะการตัดสินใจรับฟ้องหรือไม่รับฟ้องขึ้นอยู่กับศาล ถ้าศาลเห็นว่าคดีเหล่านี้เป็นภาระของศาล วิธีแก้ที่ง่ายที่สุดก็คือไม่รับตั้งแต่ต้น

ปัญหาที่สองที่เริ่มเห็นชัดตั้งแต่หลังการรัฐประหารปี 2557 คือกระบวนการยุติธรรมไม่ได้อํานวยความยุติธรรมให้กับคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่อยากจะใช้คำว่าความยุติธรรมแบบสองมาตรฐาน เพราะมันมากกว่าสองด้วยซ้ำไป เราเห็นว่าในคดีที่ผู้ถูกกล่าวหา ผู้ต้องหา หรือแม้แต่นักโทษเป็นผู้มีอำนาจหรือร่ำรวย ดูเหมือนศาลจะไม่สามารถนําคนกลุ่มนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้เหมือนกรณีอื่น ดังนั้นปัญหาหลักในประเทศไทยตอนนี้คือกระบวนการยุติธรรมกำลังกลายเป็นกระบวนการ ‘ยุติ-ธรรม’

หลายพรรคการเมืองมีข้อเสนอการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เสริมความเข้มแข็งของหลักนิติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม เท่าที่เห็นตอนนี้มีการตั้งคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ทบทวน และแก้ไขปรับปรุงกฎหมายแล้ว ซึ่งถือเป็นหมุดหมายที่ดี แต่ควรคิดต่อว่าจะขยับกันต่ออย่างไรให้เกิดการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้อยากชวนมองไปถึงการแก้รัฐธรรมนูญ เพราะประเทศไทยตอนนี้อาจไม่ได้ใช้วิธีล้าสมัยในการยึดอำนาจอย่างการรัฐประหารแบบกองทัพเมียนมาทำ แต่เราใช้วิธีควบคุมกลไกที่มีอยู่ในประเทศให้ไม่สามารถคานอำนาจกันได้ด้วยการออกแบบรัฐธรรมนูญอย่างที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นบ่อเกิดของปัญหาความอยุติธรรมอื่นๆ ตามมา

กุญแจในการปฏิรูปใดยังถูกพูดถึงน้อยกว่าที่ควร

เราพูดถึงการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมกันบ่อย แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อมโยงถึงกันน้อยคือเรื่องการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดกันมานาน แต่ทำเมื่อไหร่ก็ถอยหลังลงคลองทุกที เพราะมีระเบียบกฎเกณฑ์มากมายออกมาให้คนในแวดวงวิชาการทำงานยากขึ้นไปอีก อันที่จริงสองประเด็นนี้มีความเกี่ยวข้องกัน อาจารย์ทำงานมามากกว่า 30 ปีในแวดวงวิชาการ รู้สึกว่าปัญหาเสรีภาพทางวิชาการจะไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก ทั้งจากรัฐบาลหรือพรรคการเมือง ทั้งที่คำว่าเสรีภาพทางวิชาการไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่อาจารย์ นักศึกษา นักวิจัย แต่เด็กเยาวชนที่ออกมาเรียกร้องประเด็นที่แหลมคมต่างๆ ก็กําลังใช้เสรีภาพในทางวิชาการอยู่ ข้อเรียกร้องหลายประเด็นมีความเป็นวิชาการอยู่สูง และยังไม่เคยมีใครกล้าพูดออกมาชัดเจนขนาดนั้นมาก่อน

การปกป้องคุ้มครองเสรีภาพทางวิชาการต้องเริ่มจากการมีสถาบันวิชาการที่เข้มแข็งและเป็นอิสระ ดังนั้นการที่มหาวิทยาลัยแทรกแซงการทํางานของอาจารย์จึงถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เช่นจะจัดสัมมนาแล้วมหาวิทยาลัยบอกว่าเชิญคนนั้นไม่ได้ เชิญคนนี้ไม่ได้ คุณคิดว่าเป็นเรื่องที่รับได้ไหม ช่วงหลังรัฐประหาร อาจารย์หลายมหาวิทยาลัยเจอแบบนี้กันเยอะ ทั้งมีการข่มขู่ไม่ให้จัดงานหรือส่งเจ้าหน้าที่มาเฝ้า มาฟัง ดังนั้นนอกจากมหาวิทยาลัยจะบริหารจัดการเรื่องการศึกษาหรืองบประมาณแล้ว ควรหันมาใส่ใจเรื่องเสรีภาพทางวิชาการกันมากขึ้น เพราะเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่เราพูดถึงน้อยมากในประเทศไทย

Human Rights Watch เพิ่งออกรายงาน ‘We Thought We Were Safe’: Repression and Refoulement of Refugees in Thailand ระบุว่า ปัจจุบันไทยเป็น ‘ตลาดแลกเปลี่ยนผู้ลี้ภัย’ (swap market) ที่ให้ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการปราบปรามผู้ลี้ภัยและผู้เห็นต่าง อาจารย์มองประเด็นนี้อย่างไร

เป็นคำที่ไม่เกินจริงและเป็นเรื่องน่าอายมาก เพราะหลายคนมองว่าประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศที่ให้ความปลอดภัยกับผู้ลี้ภัยได้ โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยทางการเมือง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย ตลอด 30-40 ปีมานี้ ภาควิชาการและภาคประชาสังคมพยายามเรียกร้องอย่างหนักไม่ให้รัฐบาลไทยส่งผู้ลี้ภัยทางการเมืองกลับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นชาวลาว กัมพูชา หรือเมียนมา อย่างกรณีการส่งกลับผู้ลี้ภัยการเมืองชาวกัมพูชานี่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน เพราะไทยและกัมพูชาลงนามสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน อีกเหตุการณ์ที่คนสนใจกันมากคือการส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน และเราจะสังเกตเห็นว่ารัฐบาลไทยชุดปัจจุบันกับรัฐบาลกัมพูชาและรัฐบาลจีนใกล้ชิดกันมาก เป็นที่น่าจับตามองต่อไปว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

ถ้าขยับจากเรื่องผู้ลี้ภัยทางการเมือง มาดูเรื่องผู้ลี้ภัยที่หลบหนีสงครามมา โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทย-พม่าในตอนนี้ อาจารย์มองว่ารัฐไทยจัดการปัญหานี้ได้ดีหรือยัง เพราะรัฐบาลก็เพิ่งเริ่มภารกิจระเบียงมนุษยธรรม (humanitarian corridor) ไป ในทางปฏิบัติแล้วแนวทางนี้เพียงพอหรือยัง

ภารกิจของประเทศไทยคือการเป็นผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) ในนามอาเซียน ในการแก้ไขปัญหาเมียนมา และในฉันทมติ 5 ข้อ (Five-Point Consensus) ข้อ 4 ก็ระบุไว้ว่าอาเซียนจะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่านทางศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมด้านการจัดการภัยพิบัติ (AHA) แต่ในรัฐบาลที่ผ่านมา ไทยแสดงบทบาทนำในอาเซียนต่อปัญหาเมียนมาน้อยมาก พอมาถึงรัฐบาลชุดนี้ ก็ประกาศชัดตั้งแต่แรกว่าจะแสดงบทบาทมากยิ่งขึ้นเพราะไทยเห็นชัดขึ้นทุกวันว่าความไม่สงบในเมียนมาส่งผลกระทบต่อไทยโดยตรง โดยเฉพาะการทะลักเข้ามาของผู้ลี้ภัยตามตะเข็บชายแดน ดังนั้นการที่ไทยจะแสดงบทบาทนี้ก็เป็นเรื่องที่ถูกแล้ว และดีกว่าไม่ทำอะไรเลย อย่างไรก็ตาม การมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่น่าจะมีผลกระทบต่อการดำเนินการในเรื่องนี้อยู่ไม่มากก็น้อย

สําหรับอาจารย์แล้วการทำระเบียงมนุษยธรรมนั้นไม่เพียงพอ แน่นอนในการเป็น facilitator เป็นเรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่เราต้องทํา ควรมากกว่าให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เพราะเวลาที่รัฐตีความความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมก็มักจะหมายถึงการขนส่งอาหาร ยา และของยังชีพต่างๆ รวมถึงการเข้าถึงที่พักอาศัย แต่จะมีสิทธิบางประการที่ไม่ถูกรวมอยู่ในความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เช่น สิทธิในการเข้าถึงการศึกษา เมื่อไม่มองว่าการให้การศึกษาก็เป็นการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม เราจึงได้เห็นการผลักดันเด็กข้ามชาติ 126 คนจากโรงเรียนในจังหวัดอ่างทองกลับพม่า หรือกรณีที่ พม. ส่งเด็กไร้สัญชาติ 19 คนซึ่งไปบวชเรียนที่จังหวัดลพบุรีกลับจังหวัดเชียงราย ซึ่งเด็กเหล่านี้เป็นกลุ่มที่หนีภัยการสู้รบเข้าไทย ถือเป็นการกระทำที่ขัดกับกฎหมายที่เรามีว่าต่อให้เด็กจะมีสถานะหรือสัญชาติใดก็ต้องได้เรียน ไม่นับว่าไทยยังเป็นคู่สัญญาอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก (United Nations Convention on the Rights of the Child: UNCRC) ฉะนั้น เรื่องเหล่านี้จะเป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกขึ้นมาดีเบตเวลาไทยไปพูดเรื่องสิทธิมนุษยชนในเวทีโลกว่าเรามีแนวนโยบาย มีกฎหมายพร้อม แต่เราไม่ทำ

นอกจากนี้เวลาเราพูดถึงการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม วัตถุประสงค์มักจะเป็นไปเพื่อให้คนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบอยู่ได้อย่างปลอดภัย แต่ปลอดภัยในที่นี้เป็นไปได้สองทาง คือปลอดภัยในประเทศของเขาเองหรือในประเทศไทยก็ได้ แต่ถ้ามาดูท่าทีในฝั่งไทยจะเห็นว่าเราพยายามสกัดกั้นไม่ให้คนพม่าข้ามมาได้ และถ้าข้ามมาได้ สิ่งที่เกิดตามมาคือการผลักดันกลับ เหมือนที่เด็กพม่าหลายคนเจอ ซึ่งการทำแบบนี้ขัดแย้งกับนโยบายการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และขัดกับหลักการไม่ผลักดันกลับ อันเป็นหลักการสากลที่ยืนยันสิทธิของผู้ลี้ภัยว่าจะต้องไม่ถูกผลักดันกลับไปยังประเทศที่พวกเขาต้องเผชิญภัยร้ายแรงต่อชีวิตหรืออิสรภาพ ซึ่งไทยตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสภาวะที่รับมือได้ดีนัก

รัฐบาลไทยยังโดนวิจารณ์ที่ไปร่วมมือกับกาชาดเมียนมาในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมครั้งนี้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าอยู่ภายใต้รัฐบาลทหารเมียนมาในปัจจุบัน

ถามว่ารัฐไทยรู้ไหม เขารู้แน่นอน เพราะภาควิชาการและภาคประชาสังคมเตือนไปแล้วว่ากาชาดเมียนมาไม่ได้เป็นหน่วยงานอิสระเหมือนกาชาดไทย แต่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลทหารในขณะนี้ นอกจากจะไม่เป็นอิสระแล้ว กาชาดเมียนมายังเป็นหน่วยงานที่ไม่เป็นกลางทางการเมือง พอเราร่วมมือกับหน่วยงานแบบนี้ก็ไม่มีอะไรมาการันตีว่าความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจะเข้าถึงคนทุกกลุ่ม

การให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมอย่างที่ควรจะเป็น ควรกระจายความช่วยเหลือไปหลายๆ กลุ่ม กลุ่มชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อยที่รบกับทหารเมียนมาอยู่ก็ต้องการความช่วยเหลือเช่นกัน ฉะนั้นข้อวิจารณ์นี้เป็นเรื่องเข้าใจได้และก็เป็นความกังวลที่คิดว่ากระทรวงการต่างประเทศไทยรับฟังและคงจะเก็บไปพิจารณา

ผู้หนีภัยสงครามชาวกะเหรี่ยง ริมแม่น้ำเมย อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก

ในฐานะที่อาจารย์มีประสบการณ์ในแวดวงสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค อยากฝากคําแนะนําอะไรบ้างถึงรัฐบาลชุดนี้ในการแก้ไขสถานการณ์สิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังรณรงค์หาเสียงการเลือกสมาชิก HRC เพราะเท่าที่ฟังมาดูเหมือนเราจะยังไม่เห็นสัญญาณบวกเลย

อยากจะฝากคำแนะนำแก่รัฐบาลไว้ 4 ประการ

ประการแรกคือเรื่องความพยายามที่จะเป็นสมาชิก HRC สิ่งที่รัฐไทยควรทำและต้องทํา ไม่ใช่เพียงแค่การหาเสียงเพื่อให้ได้เสียงโหวตมากกว่าประเทศคู่แข่ง แต่รัฐควรกลับมาพิจารณาสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศตนเองด้วย รัฐบาลยังพอมีเวลาจนถึงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่จะลงคะแนนเสียงกัน ถ้ารัฐบาลทําให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในประเด็นปัญหาสิทธิมนุษยชนที่เราพูดไปก่อนหน้านี้ โอกาสของไทยที่จะได้รับเลือกย่อมมีมากขึ้น

ประการที่สอง รัฐบาลซึ่งถือว่าเป็นผู้สมัครในนามประเทศไทย ไม่สามารถปฏิเสธพันธกรณีของตัวเองได้ จะมาบอกว่าบางเรื่องฉันทําไม่ได้ เพราะอยู่นอกเหนืออํานาจ มันไม่ใช่ คุณต้องทําหน้าที่ของตัวเอง หน้าที่ที่ว่าคือการปกป้อง คุ้มครอง ส่งเสริม และเคารพสิทธิคนทุกคนในประเทศไทย ไม่ใช่เฉพาะประชาชนไทยเท่านั้น ถ้ารัฐทำหน้าที่ของตัวเองได้ไม่ขาดตกบกพร่อง การเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนก็จะเป็นได้อย่างสง่าผ่าเผย

ประการที่สาม รัฐบาลควรมองไปถึงการวางรากฐานด้านการศึกษาเรื่องสิทธิมนุษยชน อย่างที่เล่าไปตอนต้นว่าไทยได้รับข้อเสนอแนะใน UPR ให้จัดการศึกษาด้านสิทธิมนุษยชนทุกครั้ง แต่ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนว่าจะทำอย่างไรต่อ ซึ่งรัฐควรจะมีแผนการจัดการศึกษาหรือให้ความรู้ทั้งระดับนักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงเจ้าหน้าที่รัฐ และคนที่ทำงานในแวดวงยุติธรรม ขณะนี้มีการดำเนินการอยู่บ้าง แต่ต้องทำให้กว้างขวางและครอบคลุมมากขึ้น เพราะประเด็นว่าด้วยสิทธิมนุษยชนจำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจจากคนทุกกลุ่มในการช่วยกันตรวจสอบ และเนื่องจากประเด็นต่างๆ เชื่อมโยงกันหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิเด็ก สิทธิสตรี สิทธิชนกลุ่มน้อย สิทธิทางการเมือง สิทธิพลเมือง ไปจนถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ประเด็นเหล่านี้ต้องมองให้เป็นองค์รวม ไม่ใช่แบ่งเป็นส่วนๆ อย่างที่เป็นอยู่ ฉะนั้นการให้การศึกษากับทุกภาคส่วนในสังคมจึงสําคัญมาก

ประการสุดท้าย อยากเสนอให้มีการออกกฎหมายภายในเพื่อรับรองหรือแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับอนุสัญญาทั้งหลายที่ไทยเป็นภาคี เพราะปัจจุบันไทยยังใช้ระบบกฎหมายแบบ dualism คือกฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศเป็นระบบที่แยกออกจากกัน ปัจจุบันนี้ถ้าเอาข้อกฎหมายระหว่างประเทศไปอ้างศาลไทย ศาลยังไม่รับเลย จึงหวังว่าจะเห็นความพยายามของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการทําให้กฎหมายระหว่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายไทย เพื่อให้มีผลบังคับใช้และคุ้มครองสิทธิของประชาชนได้อย่างแท้จริง

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save