ชัยชนะของฝ่ายซ้ายในศึกเลือกตั้งศรีลังกา: การล่มสลายของตระกูลการเมืองและการเมืองแบบเก่า?

ภาพปกโดย Ishara S. Kodikara / AFP

วันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา ศรีลังกามีการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ หลังจากประเทศอยู่ภายใต้ความวุ่นวายจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจมาเป็นเวลานาน นับตั้งแต่ช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 คนศรีลังกาออกมาเดินขบวนประท้วงขับไล่ประธานาธิบดีจากตระกูลราชปักษา จนต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ นำมาซึ่งความวุ่นวายทางการเมือง ก่อนที่ทุกอย่างจะยุติลงด้วยการถอยออกหลังฉากของตระกูลราชปักษาที่ปกครองและบริหารประเทศศรีลังกามาอย่างยาวนาน

น่าสนใจว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับศรีลังกา เพราะนี่ถือเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งแรกนับตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ต้องมีการนับคะแนนรอบที่ 2 เนื่องจากไม่มีผู้สมัครคนใดมีเสียงสนับสนุนเกินครึ่งหนึ่ง

แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือคนศรีลังกาตัดสินใจเลือก ‘อนุรา กุมารา ดิสซานายาเก’ (Anura Kumara Dissanayake) จากแนวร่วมพลังประชาชนแห่งชาติ (National People’s Power) พันธมิตรพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย สังคมนิยม และคอมมิวนิสต์ นี่จึงทำให้ศรีลังกามีประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ที่มาจากกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้าย และถือเป็นกลุ่มการเมืองที่ 3 ซึ่งไม่เคยอยู่ในระเบียงอำนาจของศรีลังกามาก่อน

แน่นอนว่าผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ค่อนข้างสร้างความแปลกใจให้กับผู้เชี่ยวชาญเอเชียใต้พอสมควร เพราะพรรคฝ่ายซ้ายถือเป็นม้านอกสายตามาโดยตลอด ฉะนั้นผลการเลือกตั้งรอบนี้ทำให้นักวิเคราะห์จำนวนมากต้องถอดบทเรียนการเมืองศรีลังกาเสียใหม่ ซึ่งมีคำถามมากมายตามมา ไม่ว่าจะเป็นแนวร่วมฝ่ายซ้ายมีความเป็นมาอย่างไรในกระแสการเมืองแบบขวาจัด อะไรเป็นปัจจัยผลักดันให้แนวร่วมฝ่ายซ้ายชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ และสำคัญกว่านั้น ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการสิ้นสุดของระบบตระกูลการเมืองของศรีลังกาหรือไม่ บทความชิ้นนี้อาจมีคำตอบอยู่ไม่มากก็น้อย

เส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบของพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย

การขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของอนุราถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิทัศน์ทางการเมืองของศรีลังกา ในฐานะผู้นำพรรค Janatha Vimukthi Peramuna (JVP) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีรากฐานมาจากอุดมการณ์มาร์กซิสต์-เลนิน หรือกล่าวง่ายๆ นี่คือพรรคการเมืองที่สมาทานอุดมการณ์คอมมิวนิสต์นั่นเอง

ตลอดประวัติศาสตร์การเมืองของศรีลังกาหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ พรรคการเมืองหรือแนวร่วมฝ่ายซ้ายมักถูกมองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างความวุ่นวายทางการเมืองในศรีลังกา โดยพวกเขาเลือกใช้ความรุนแรงเพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐ และเรียกร้องหาความเท่าเทียมกันของคนในสังคม ฉะนั้นชัยชนะของอนุราจึงสะท้อนความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของระบบการเมืองศรีลังกาที่มักมีชนชั้นนำไม่กี่กลุ่มผูกขาดอยู่

การเดินทางของพรรคคอมมิวนิสต์ศรีลังกา หรือ JVP นั้นไม่ได้ง่ายดายเหมือนพรรคการเมืองอื่นๆ เพราะพรรคการเมืองนี้มีส่วนต่อการก่อจลาจลครั้งใหญ่ในศรีลังกาทั้งในปี 1971 และ 1988-1989 เป็นการจับอาวุธขึ้นสู้กับอำนาจรัฐ ก่อนที่ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 พรรค JVP จะละทิ้งยุทธวิธีรุนแรง และหันมาเป็นส่วนหนึ่งกับการเมืองในระบบรัฐสภาแทน พวกเขาเริ่มดำเนินงานในการขับเคลื่อนอุดมการณ์ทางการเมืองแบบสังคมนิยมให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะนับตั้งแต่ขึ้นศตวรรษที่ 21

แม้ในช่วงแรกจะถูกฝ่ายหัวรุนแรงภายในพรรคโจมตีว่านี่เป็นการละทิ้งอุดมการณ์เดิม และถอยห่างจากหลักการคอมมิวนิสต์ ฝ่ายก้าวหน้าของพรรค JVP กลับมองว่านี่คือโอกาสในการปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะในช่วงหลายปีที่ศรีลังกาดำเนินนโยบายแบบเสรีนิยม ความไม่พอใจก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประชาชนคนธรรมดาเห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญคือความล้มเหลวซ้ำๆ ของชนชั้นนำทางการเมืองแบบเดิม ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้พรรค JVP เป็นตัวเลือกใหม่ในระบบการเมืองของศรีลังกา แม้ในช่วงแรกจะไม่เป็นที่นิยมนัก

และด้วยบทเรียนทางการเมืองที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน พรรค JVP ไม่หยุดเพียงการขยายฐานอุดมการณ์ทางการเมืองของตัวเองเท่านั้น แต่ยังแสวงหาพันธมิตรที่มีความมุ่งมั่นในแบบเดียวกัน ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของความกินอยู่ดีอย่างเท่าเทียม และปฏิเสธระบบการเมืองแบบเครือญาติ นำมาซึ่งการจัดตั้งแนวร่วมพลังประชาชนแห่งชาติ ที่มุ่งมั่นในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในระบบและวัฒนธรรมทางการเมืองของศรีลังกา

ความโดดเด่นของจุดยืนแนวร่วมพลังประชาชนแห่งชาติจึงเป็นที่สนใจของชาวศรีลังกามากยิ่งขึ้น ในวันที่ทุกคนสิ้นหวังจากปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้าและระบบตระกูลการเมืองที่นำประเทศไปสู่หายนะ การเสนอตัวเข้ามาเป็นประธานาธิบดีในครั้งนี้ของแนวร่วมพลังประชาชนแห่งชาติจึงได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น แต่นั่นไม่ใช่ปัจจัยแห่งชัยชนะเดียว เพราะตัวนโยบายเองก็มีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจของประชาชนศรีลังกาเช่นเดียวกัน

นโยบายปราบทุจริต และความเป็นคนธรรมดาเหมือนๆ กัน

มีนักวิเคราะห์จำนวนมากเชื่อว่าชัยชนะของอนุราเป็นผลสำคัญมาจากการบริหารเศรษฐกิจของตระกูลราชปักษาที่ล้มเหลว ส่งผลให้แนวร่วมพลังประชาชนแห่งชาติได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไปมากยิ่งขึ้น การที่ประชาชนยอมรับและตัดสินใจเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดี สะท้อนให้เห็นถึงการแสดงความผิดหวังต่อชนชั้นนำทางการเมืองเดิมๆ รวมถึงระบบที่กระจุกอำนาจไว้ในมือของครอบครัวเพียงไม่กี่ครอบครัวเป็นเวลานานเกินไป

แต่นอกเหนือจากความล้มเหลวของคู่แข่งทางการเมือง อันเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักให้พรรคแนวร่วมฝ่ายซ้ายกำชัยในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีศรีลังกาครั้งนี้ ปัจจัยเชิงนโยบายของพรรคแนวร่วมฝ่ายซ้ายเองก็มีผลสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ซึ่งมีส่วนช่วยให้ประชาชนศรีลังกาตัดสินใจลงคะแนนให้กับแนวร่วมพลังประชาชนแห่งชาติ โดยเฉพาะนโยบายปราบปรามการทุจริต และเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองศรีลังกาใหม่ให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น นี่ถือเป็นแนวนโยบายที่พรรค JVP ชูมาตลอดการหาเสียงเลือกตั้งในทุกระดับ

ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบนี้ แนวร่วมพลังประชาชนแห่งชาติ ถือเป็นกลุ่มการเมืองเดียวที่ชูประเด็นเรื่องการปฏิวัติทางสังคม โดยสัญญาว่าจะรื้อถอนกลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองที่สร้างปัญหาหยั่งรากลึกให้กับสังคมศรีลังกา และคืนอำนาจให้กับประชาชนทั่วไปให้ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมือง และให้ประชาชนศรีลังกาได้เป็นเจ้าประเทศอย่างแท้จริง โดยอนุราพยายามสะท้อนให้เห็นเสมอว่าการเลือกราชปักษากลับมา คือการส่งเสริมการทุจริต และมีส่วนร่วมในการสร้างความเสียหายต่อประเทศ

ในขณะที่แนวร่วมพลังประชาชนแห่งชาติชูธงการหาเสียงเรื่องการต่อต้านการทุจริต การส่งเสริมธรรมาภิบาลในภาครัฐ การปฏิรูประบบเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเท่าเทียมกัน และปฏิเสธระบบตระกูลทางการเมืองด้วยการส่งอนุรา กุมารา ดิสซานายาเก นักการเมืองที่ไม่มีภูมิหลังเชื่อมโยงกับตระกูลการเมืองใหญ่ แต่กลับเกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่แสนธรรมดาในเขตชนบทของศรีลังกา และเดินเข้าสู่เส้นทางการเมืองด้วยการเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เพื่อเคลื่อนไหวเรียกร้องความเท่าเทียมเมื่อครั้งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย

ในทางตรงกันข้าม กลุ่มแนวร่วมอื่นๆ กลับส่งผู้สมัครที่มีภูมิหลังทางการเมืองเชื่อมโยงกับตระกูลการเมืองใหญ่ หรือเป็นภาพการเมืองแบบเก่าๆ ซึ่งจุดนี้เองส่งผลให้ผู้สมัครของแนวร่วมพลังประชาชนแห่งชาติมีความโดดเด่นอย่างชัดเจน ความเป็นคนธรรมดาเหมือนกันของอนุรานี้เอง ส่งผลให้การสื่อสารทางการเมืองของเขาเข้าถึงชาวศรีลังกาทั่วไปได้มากยิ่งขึ้น เป็นความเข้าอกเข้าใจที่เกิดจากภูมิหลังที่คล้ายคลึงกัน และด้วยปัจจัยทั้งหลายนี้เอง อนุรา กุมารา ดิสซานายาเกจึงได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 10 ของศรีลังกา ด้วยเสียงสนับสนุนรวมกันถึงร้อยละ 55.89 หลังการนับคะแนนรอบที่สอง

การล่มสลายของระบบตระกูลการเมืองและการเมืองแบบเก่าในเครื่องหมายคำถาม?

แน่นอนว่าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีศรีลังกาของพรรคแนวร่วมฝ่ายซ้าย ซึ่งเป็นม้านอกสายตาในครั้งนี้ นำมาซึ่งคำถามมากมาย โดยเฉพาะคำถามที่ว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้สะท้อนความต้องการเปลี่ยนการเมืองของคนศรีลังกาจริงหรือไม่ คำตอบนั้นมีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่ามองจากปัจจัยอะไร แต่สำหรับผมแล้ว การเลือกตั้งรอบนี้เปลี่ยนการเมืองศรีลังกาอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะในมิติความคาดหวังทางการเมืองของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เปลี่ยนแปลงไป คนศรีลังกามีความคาดหวังต่ออุดมการณ์ทางการเมืองที่มากกว่าเรื่องชาตินิยม มีความคาดหวังต่อพื้นที่ทางการเมืองสำหรับคนทั่วไป และมีความคาดหวังต่อระบบการเมืองที่ปราศจากการทุจริต

ชัยชนะของแนวร่วมฝ่ายซ้ายสะท้อนความสำเร็จในการปรับตัวเชิงอุดมการณ์และนโยบายให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ ฉะนั้นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบนี้จะกลายเป็นบทเรียนสำคัญต่อกลุ่มการเมืองอื่นๆ ในการคิดค้นนวัตกรรมทางการเมือง ซึ่งแต่ก่อนยึดติดอยู่กับรูปแบบการหาเสียงแบบเดิม หรือหากินอยู่กับเพียงความสำเร็จในอดีตของตัวเอง ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าการเมืองแบบเก่าของศรีลังกาจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ถึงกับหายไปทีเดียว

ในขณะที่คำถามต่อระบบตระกูลการเมืองศรีลังกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีสายปฏิรูปนั้น ก็ต้องบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า ตำแหน่งประธานาธิบดีศรีลังกานับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญใหม่ เหลืออำนาจอยู่ในมือไม่มากนัก เพราะอำนาจทางการบริหารประเทศทั้งหมดถูกส่งไปอยู่ในหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี สิ่งสำคัญที่จะสะท้อนว่าการเมืองศรีลังกาเปลี่ยนจริงไหม และตระกูลการเมืองศรีลังกายังทรงอำนาจหรือล่มสลายไปแล้วนั้น จึงต้องดูผลการเลือกตั้งรัฐสภาเป็นสำคัญ

ล่าสุด จากการอาศัยอำนาจประธานาธิบดีคนใหม่ ศรีลังกาได้มีการยุบสภาอย่างเป็นทางการ และจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ การเลือกตั้งรอบนี้มีความน่าสนใจ เพราะในปี 2020 แนวร่วมพลังประชาชนแห่งชาติได้ที่นั่งมาเพียง 3 ที่นั่ง หากพวกเขาสามารถคว้าชัยชนะจนมีเสียงเกินครึ่งของรัฐสภาได้ นั่นก็หมายความว่าการเมืองของศรีลังกาเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงแล้ว

อย่างไรก็ตาม น่าสนใจว่าหลังมีการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปอย่างเป็นทางการ บรรดาผู้นำอาวุโสของตระกูลการเมืองใหญ่อย่างราชปักษา ออกมาประกาศชัดว่าจะไม่ลงสนามเลือกตั้งในรอบนี้ นี่อาจสะท้อนว่าตระกูลการเมืองของศรีลังกาเองก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์การเมืองใหม่ ฉะนั้นผมจึงไม่คิดว่าตระกูลการเมืองของศรีลังกาจะล่มสลายไปเสียทีเดียว แต่พวกเขากำลังปรับตัว และเฟ้นหาผู้นำรุ่นใหม่ให้เข้ามาทำหน้าที่แทน ซึ่งนอกจากจะรักษาฐานอำนาจเดิมเอาไว้ได้แล้ว ยังตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการเห็นการเมืองใหม่ด้วย

จะว่าไปแล้วบทเรียนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีศรีลังกาในรอบนี้ก็มีหลายมิติที่คล้ายคลึงกับประเทศไทย ไม่ว่าจะการผงาดขึ้นของกลุ่มอุดมการณ์ทางการเมืองใหม่ การปรับตัวของกลุ่มการเมืองเก่าจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก หรือแม้กระทั่งความหวังของประชาชนต่อการปฏิรูปทางการเมือง แต่สถานการณ์ของไทยดูจะต่างกันกับศรีลังกาตรงที่ผู้ชนะการเลือกตั้งของบ้านเรา ไม่ได้รับโอกาสให้ทดลองเป็นรัฐบาลเท่านั้นเอง

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save