เดือนมกราคม 2568 จะเป็นอีกหนึ่งเดือนประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยจะก้าวสู่ความสำเร็จด้านการยอมรับผู้มีความหลากหลายทางเพศอีกขั้นหนึ่ง คือการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม โดยเปิดโอกาสให้การสมรสไม่จำกัดเฉพาะชายและหญิงอีกต่อไป และรองรับการสมรสระหว่างบุคคลทุกเพศ
และเมื่อไม่นานมานี้ Netflix ได้มีการเผยแพร่ซีรีส์ Squid Game 2 เล่นลุ้นตาย ภาคต่อเกมหฤโหดจากเกาหลีใต้ ซึ่งได้รับความนิยมระดับโลก และเป็นกระแสไวรัลโด่งดังมากมาย ภายใต้ความนิยมดังกล่าว ผู้กำกับได้พยายามสอดแทรกเรื่องราวของผู้เล่นที่เป็นคนเปราะบางในสังคม หนึ่งในนั้นคือผู้เล่น 120 โจฮยอนจู (หรือที่รู้จักกันในนาม ‘ออนนี่’ (พี่สาว)) ผู้เล่นสาวข้ามเพศที่ตั้งใจจะนำเงินรางวัลมาผ่าตัดแปลงเพศที่ประเทศไทย และซื้อบ้านหลังเล็กๆ เพื่ออาศัยอยู่ที่นี่ สะท้อนให้เห็นว่าในสายตาของชาวต่างชาติ หรืออย่างน้อยที่สุดคือชาวเกาหลีใต้ ประเทศไทยคือเมืองฟ้าอมรและพื้นที่ปลอดภัยของผู้มีความหลากหลายทางเพศ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยคือเมืองสวรรค์ของผู้มีความหลากหลายทางเพศจริงหรือไม่ แล้วเหตุใดชาวเกาหลีใต้จึงมองเช่นนั้น?

เหตุผลที่ออนนี่ผู้เล่น 120 อยากมาไทย
ส่องวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ในเกาหลีใต้
สาธารณรัฐเกาหลี (ROK หรือเกาหลีใต้) เป็นประเทศประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิพลเมือง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของพลเมืองเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชนหลายประการ เช่น การเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง เด็กผู้หญิง ผู้ย้ายถิ่นฐาน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และ กลุ่ม LGBTQIA+ โดยเกาหลีใต้ยังคงเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ที่ไม่มีกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติ[1]
หากพิจารณาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ จะเห็นได้ว่าแนวคิดของขงจื๊อมีอิทธิพลต่อแนวคิดแบบชายเป็นใหญ่ในสังคมอย่างมาก ด้วยคำสอนที่สนับสนุนการเคารพกฎของชนชั้นทางสังคม การกำหนดบทบาทของของเพศชายและหญิงอย่างชัดเจน ในสมัยโชซอน พฤติกรรมรักร่วมเพศยังถูกมองว่าน่ารังเกียจ อย่างไรก็ตาม จำนวนคำศัพท์ที่ใช้แทนกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในสมัยนั้นกลับบ่งบอกว่าบุคคลเหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อวัฒนธรรม เช่น คำศัพท์ที่ใช้แทนกลุ่มบุคคลมีรสนิยมทางเพศแบบรักเพศเดียวกัน คือ มังกรและดวงอาทิตย์ (龙阳之宠, 용양지총)[2] ซึ่งมังกรและดวงอาทิตย์จัดเป็นสัญลักษณ์พลังหยาง (陽, 양) ทั้งคู่
ชาวเกาหลีใต้เชื่อว่าโดยธรรมชาติ พลังหยางมักจะหมายถึงความไม่กระตือรือร้นและการยอมจำนน ขณะที่หยินเป็นพลังแห่งความกระตือรือร้นและการครอบงำ หยินและหยางจึงเป็นพลังที่เสริมสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เชื่อมโยงและพึ่งพากัน รวมถึงไม่สามารถดำรงอยู่ได้เองหากไม่มีอีกสิ่งหนึ่ง ดังนั้น ความสัมพันธ์แบบ ‘ธรรมชาติ’ สำหรับมนุษย์ ทั้งทางเพศและการแต่งงาน จึงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างชาย (หยาง) และหญิง (หยิน) ความสัมพันธ์ของบุคคลเพศเดียวกันถูกจำกัดให้เป็นความสัมพันธ์ที่ฝืนธรรมชาติและไม่ควรดำรงอยู่[3]
ความเชื่อและวัฒนธรรมดังกล่าวฝังรากลึกในทัศนคติและค่านิยมของชาวเกาหลีใต้มาเป็นเวลานาน ยืนยันด้วยการสํารวจประจําปีโดยสถาบันรัฐประศาสนศาสตร์เกาหลี ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 ระบุว่าชาวเกาหลีใต้ร้อยละ 72 ไม่ต้องการให้อดีตนักโทษอยู่ในละแวกใกล้เคียงหรือที่ทํางาน และมากกว่าร้อยละ 52 คัดค้านการใช้ชีวิตใกล้ชิดกับคนรู้จักที่เป็น LGBTQIA+ ในขณะที่ร้อยละ 84 กลับยินดีต้อนรับผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือเข้ามาในชุมชนของพวกเขา และร้อยละ 97 สามารถอยู่ท่ามกลางผู้ที่มีความพิการทางจิตหรือทางร่างกายได้
ผลสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ากลุ่ม LGBTQIA+ แม้จะได้รับการยอมรับและต้อนรับมากกว่ากลุ่มอดีตนักโทษ แต่ก็จัดเป็นกลุ่มท้ายๆ ที่ได้รับการยอมรับนั่นเอง[4]
สำหรับประเด็นเรื่องสุขภาพ จากการสำรวจพบว่าเกิดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพระหว่างกลุ่ม LGBTQIA+ กับประชากรทั่วไปในประเทศเกาหลีใต้ อันเนื่องมาจากประชาชนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับชนกลุ่มน้อยทางเพศ และยังขาดการวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพของกลุ่ม LGBTQIA+ อีกด้วย เช่น ในปี 2013 พบว่า มีงานศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพของคนกลุ่ม LGBTQIA+ ที่ได้รับการตีพิมพ์เพียง 123 ในจำนวนนั้น มีบทความ 101 บทความ (78.9%) เป็นการศึกษาวิจัยทางคลินิก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายงานกรณีการผ่าตัดแปลงเพศของบุคคลข้ามเพศและบุคคลที่มีภาวะกำกวมทางเพศโดยสถาบันดูแลสุขภาพ และมีเพียง 30 บทความเท่านั้นที่ตรวจสอบสถานะสุขภาพของบุคคล LGBTQIA+[5]
นอกจากนี้ ด้านความสัมพันธ์ของครอบครัวในสังคมเกาหลีใต้ ยังมีระบบหัวหน้าครอบครัว (호주제) ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งระบบที่ระบุทะเบียนราษฎร์และเป็นกลไกทางตรงในการผลิตกุกมิน (국민) หรือพลเมืองของชาติ โดยกุกมินจะถูกแยกประเภทตามตามเพศชายและหญิง เช่น พ่อหรือแม่ ภรรยาหรือสามี และลูกสาวหรือลูกชาย
ระบบการแยกเพศนี้ได้ขยายไปในระดับรัฐ รวมทั้งในระดับกองทัพสาธารณรัฐเกาหลี (ROK) เนื่องจากกำหนดให้ผู้ชายทุกคนต้องเกณฑ์ทหารและพิจารณาผู้ชายเหล่านั้นผ่านการตรวจร่างกายและวินัย[6] ดังนั้น บุคคลที่มีรสนิยมทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศไม่ตรงตามบรรทัดฐานและพยายามใช้ชีวิตนอกระบบเพศสองกล่อง จะถือเป็นผู้ที่ไม่เหมาะสมและละเมิดบรรทัดฐานทางเพศ ถึงขั้นอาจถูกปลดจากราชการทหาร เช่นกรณีของ บยอน ฮี-ซู (Byun Hui-su) ทหารหญิงข้ามเพศคนแรกของเกาหลีใต้ที่ได้ร้องขอต่อศาลให้อนุญาตให้เธอรับราชการต่อไป หลังจากที่กองทัพตัดสินใจปลดเธอออกจากราชการเนื่องจากเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ แม้จะไม่มีกฎหมายเฉพาะห้ามมิให้มีการผ่าตัดแปลงเพศในระหว่างรับราชการก็ตาม[7]
อย่างไรก็ดี ภาพของการยอมรับกลุ่ม LGBTQIA+ เริ่มมีมากขึ้นในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมานี้ โดยจะเห็นได้ชัดจากความนิยมของวัฒนธรรมประชานิยม (Pop Culture) ผ่านโครงการเกี่ยวกับ LGBTQIA+ ที่เกิดขึ้นมากมาย เช่น การสร้างรายการหาคู่สำหรับกลุ่ม LGBTQIA+[8] การพัฒนาซีรีส์แนวรักโรแมนติก เช่น ซีรีส์เรื่อง Nevertheless หรือ Love with Flaws และการปรากฏตัวของคนดังอย่าง Holland and Moonbyul ซึ่งอาจถือได้ว่านี่คือรูปแบบหนึ่งของการ ‘ปฏิบัติตาม’ ตะวันตก ซึ่งบริโภควัฒนธรรมป๊อปเกาหลีมากขึ้น และเรียกร้องให้มีการนำเสนอกลุ่มคนที่มีความเป็นเพศและรสนิยมทางเพศหลากหลายมากขึ้น[9]
การต่อสู้ของกฎหมายด้านความหลากหลายทางเพศในเกาหลีใต้ ที่ดุเดือดไม่แพ้สควิดเกม
ด้วยแนวคิดอนุรักษนิยมที่ฝังรากลึกมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองกลุ่ม LGBTQIA+ ในช่วงแรกเริ่มนั้นถูกต่อต้านเป็นอย่างมาก เห็นได้จากร่างกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติที่มุ่งส่งเสริมความมุ่งมั่นของประเทศต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในปี 2550 ต้องเผชิญการต่อต้านอย่างดุเดือดจากพรรคการเมืองกลุ่มอนุรักษนิยม เนื่องจากในตอนแรกร่างกฎหมายได้กำหนดกลุ่ม LGBTQIA+ เป็นหนึ่งในผู้รับผลประโยชน์หลัก
ต่อมาร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับการเสนออีกครั้งในปี 2553 และ 2556 แต่สุดท้ายก็ถูกยกเลิกในวันที่ 24 เมษายน 2556 โดยไม่มีโอกาสลงมติในรัฐสภา[10] และในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2557 ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาด้านสิทธิมนุษยชน มีเป้าหมายเพื่อให้ความรู้แก่พนักงานของรัฐเกี่ยวกับประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน และได้รับการผลักดันจากสมาชิกสภาคองเกรส ยู ซึง-มิน (Yoo Seong-min) ก็พบกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากกลุ่มคริสเตียนและอนุรักษนิยมหลายกลุ่ม ซึ่งแย้งว่าร่างกฎหมายดังกล่าวส่งเสริมการรักเพศเดียวกัน จนต้องยกเลิกเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2557[11]
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ผลสำรวจของศูนย์วิจัย Pew ในปี 2566 แสดงให้เห็นว่าชาวเกาหลีใต้ร้อยละ 41 สนับสนุนการแต่งงานเพศเดียวกัน ในขณะที่ร้อยละ 56 คัดค้าน และร้อยละ 3 ไม่ทราบหรือปฏิเสธที่จะตอบ ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2556 และ 2560 ที่มีชาวเกาหลีใต้เพียงร้อยละ 26 และร้อยละ 34 สนับสนุนการแต่งงานเพศเดียวกัน[12]

กระแสการยอมรับผู้มีความหลากหลายทางเพศที่มากขึ้นนั้นก่อให้เกิดหน้าประวัติศาสตร์ทางกฎหมายหน้าใหม่ของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นเช่นกัน เช่น ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2566 คณะตุลาการศาลฎีกาเกาหลีใต้ได้มีคำตัดสินว่าคู่รักเพศเดียวกันควรได้รับสิทธิประกันสุขภาพเช่นเดียวกับคู่รักต่างเพศ สำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ (NHIS) ควรกลับมาให้สิทธิประโยชน์แก่คู่สมรสของคู่รักเพศเดียวกันอีกครั้ง โดยศาลระบุว่าการปฏิบัติต่อคู่รักเพศเดียวกันแตกต่างไปจากคู่รักต่างเพศ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิในการแสวงหาความสุข[13]
สำหรับสิทธิในการเปลี่ยนเพศตามกฎหมาย ปัจจุบันแม้ประเทศเกาหลีใต้จะยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการรับรองเพศทางกฎหมาย แต่ผู้ประสงค์จะเปลี่ยนแปลงสถานะทางเพศตามกฎหมายสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอการรับรองเพศทางกฎหมายได้เป็นรายกรณี ตาม ‘แนวปฏิบัติในการดำเนินการตามคำร้องขออนุญาตเปลี่ยนเพศทางกฎหมายของบุคคลข้ามเพศ’ (성전환자의 성별정정허가신청사건 등 사무처리지침)[14] ซึ่งศาลฎีกาได้ประกาศใช้ใน พ.ศ.2549[15] จากคำตัดสินว่าบุคคลข้ามเพศมีสิทธิได้รับการรับรองเพศตามกฎหมาย ไม่ว่าจะมีบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะหรือไม่ก็ตาม
ทั้งนี้ แนวปฏิบัติดังกล่าวได้กำหนดเงื่อนไขที่สำคัญ เช่น ต้องมีอายุอย่างน้อย 19 ปี ต้องไม่มีสถานะสมรส รวมทั้งเคยได้รับการบำบัดด้วยฮอร์โมนและการทำหมัน[16] ซึ่งคำตัดสินของศาลฎีกาดังกล่าวเป็นการเปิดประตูรับรองสิทธิของกลุ่มข้ามเพศมากขึ้น
ถ้าออนนี่ผู้เล่น 120 มาประเทศไทย จะต้องเจออะไรบ้าง
สมมติว่าเรื่องราวในซีรีส์ Squid Game จบลงที่ผลโหวตเลิกเล่นเกมเป็นเสียงข้างมาก หรือออนนี่ผู้เล่น 120 เป็นผู้ชนะในเกมและสามารถมีชีวิตรอดออกมา นำเงินมาผ่าตัดแปลงเพศในประเทศไทยได้สำเร็จตามความตั้งใจ สิ่งที่ต้องเจอเรื่องแรกคือหากออนนี่มีคู่รักเป็นชาวไทย ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2568 เป็นต้นไป พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ.2567 หรือกฎหมายแพ่งฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้ รับรองสิทธิให้สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้โดยไม่จำกัดเพศ
ยิ่งไปกว่านั้น กฎหมายฉบับนี้ยังรับรองสิทธิประโยชน์ในกฎหมายอื่นๆ ที่บัญญัติถึงสิทธิของ ‘คู่สมรส’ หรือ ‘สามี-ภริยา’ ไว้ด้วย[17] เช่น สิทธิในการใช้นามสกุลของคู่สมรส ตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ.2505, สิทธิในการให้ความยินยอมรักษาพยาบาล ตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ค่าทดแทนกรณีผู้ประกันตนเสียชีวิต ตามมาตรา 73 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 เป็นต้น ดังนั้นออนนี่สามารถจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไทยในประเทศไทยได้เลย
แต่เรื่องที่สอง คือออนนี่อาจยังต้องเผชิญอุปสรรคเกี่ยวกับสภาวะทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับรองอัตลักษณ์ผ่านคำหน้านาม ซึ่งในปัจจุบัน ไทยยังไม่มีกฎหมายที่รับรองการเปลี่ยนแปลงคำนำหน้านาม แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสรีระทางร่างกายทั้งหมดแล้วก็ตาม และไม่มีกระบวนการรับรองคำนำหน้านามผ่านกระบวนการทางศาลเหมือนในประเทศเกาหลีใต้ ดังนั้น ออนนี่ยังคงต้องใช้ชีวิตในประเทศไทยโดยมีสถานะเป็นเพศชาย ต่อให้ผ่าตัดเปลี่ยนแปลงเพศแล้ว
นอกจากนี้ ชาว LGBTQIA+ ในประเทศไทยอาจต้องประสบปัญหาการถูกเลือกปฏิบัติในการใช้ชีวิตและในที่ทำงาน โดยจากรายงาน Economic Inclusion of LGBTI Groups in Thailand ในปี 2018 ของธนาคารโลก พบว่า ร้อยละ 25.44 ถูกปฏิเสธการรับเข้า ทำงานตั้งแต่ขั้นตอนสมัครคัดเลือก ส่งผลให้ต้องปกปิดอัตลักษณ์ทางเพศของตน รวมทั้งเผชิญปัญหาการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน อาทิ การพูดล้อเลียนทางเพศ การส่งข้อความอนาจาร การล่วงละเมิดทางร่างกาย เป็นต้น[18]
ประเทศไทยจัดเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนและเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชียที่มีการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม อีกทั้งด้วยความเป็นพหุวัฒนธรรมของสังคมไทย จึงไม่น่าแปลกใจที่ใครหลายคนจะมองว่าเมืองไทยคือพื้นที่ปลอดภัยสำหรับกลุ่ม LGBTQIA+ แต่นอกเหนือจากความสำเร็จเรื่องสมรสเท่าเทียมนี้ ยังคงมีอีกหลายเรื่องที่ต้องร่วมกันผลักดันต่อ ทั้งในด้านพัฒนาการทางกฎหมาย สิทธิเรื่องอื่นๆ ตลอดจนทัศนคติของผู้คนในสังคม
ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็นสถานที่ที่ออนนี่ และคนทุกเพศอาศัยอยู่ได้เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง
หมายเหตุ: บทความนี้ขอระลึกถึงคุณ Byun Hui-su ทหารหญิงข้ามเพศคนแรกของเกาหลีใต้ผู้ล่วงลับ
[1] “World Report 2024: Rights Trends in South Korea,” Human Rights Watch, Accessed January 15, 2025, https://www.hrw.org/world-report/2024/country-chapters/south-korea.
[2] Aleksandra MÜLLER, M.A, “View of from King Hyegong to Suh Dongjin: The Evolution of LGBT and Homosexual Rights in the Korean Community, According to Historiographical Texts: International Journal of Korean Humanities and Social Sciences,”, Accessed January 16, 2025, https://pressto.amu.edu.pl/index.php/kr/article/view/35984/32409, p119
[3] Ibid, p 121-122.
[4] Julian Ryall, “Why Are South Koreans Less Welcoming of LGBTQ+ Neighbors? – DW – 03/29/2024,” dw.com, March 29, 2024, https://www.dw.com/en/why-are-south-koreans-less-welcoming-of-lgbtq-neighbors/a-68698268.
[5] 1. Horim Yi et al., “Health Disparities between Lesbian, Gay, and Bisexual Adults and the General Population in South Korea: Rainbow Connection Project I,” Epidemiology and health, Accessed January 15, 2025, https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC5790982/.
[6] “Research Guides: Persistent Links for Library Resources: JSTOR,” JSTOR – Persistent Links for Library Resources – Research Guides at University of Oregon Libraries, Accessed January 16, 2025, https://researchguides.uoregon.edu/persistentlinks/jstor.
[7] The Associated Press, “Landmark Ruling Finds South Korea Military Illegally Discharged a Transgender Soldier,” NPR, Accessed January 15, 2025, https://www.npr.org/2021/10/09/1044742514/south-korea-trans-soldier-discharged-court-ruling.
[8] Puah Ziwei, “Korean Streaming Platform Wavve to Launch Two LGBTQ+ Reality Shows,” NME, Accessed January 15, 2025, https://www.nme.com/en_asia/news/tv/korean-lgbtq-reality-dating-shows-merry-queer-strangers-love-wavve-3248796.
[9] “From Dating to Marriage for All, the Difficult Legal, Political, and Social Question of LGBTI+ Relations in South Korea,” Institut du Genre en Géopolitique, Accessed January 15, 2025, https://igg-geo.org/en/2023/10/12/from-dating-to-marriage-for-all-the-difficult-legalpolitical-and-social-question-of-lgbti-relationsin-south-korea/#r+15380+3+24.
[10] Kim Jiyoon, “Over the Rainbow: Public Attitude toward LGBT in South Korea.” The Asan Institute for Policy Studies. Accessed January 16, 2025. http://en.asaninst.org/contents/over-the-rainbow-public-attitude-toward-lgbt-in-south-korea.
[11] Ibid.
[12] Pew Research Center, “Across Asia, views of same-sex marriage vary widely”, Accessed January 15,2025. https://www.pewresearch.org/short-reads/2023/11/27/across-asia-views-of-same-sex-marriage-vary-widely/
[13] “South Korea: Supreme Court Ruling a Historic Victory for Same-Sex Couples,” Amnesty International, July 25, 2024, https://www.amnesty.org/en/latest/news/2024/07/south-korea-supreme-court-ruling-a-historic-victory-for-same-sex-couples/.
[14] “Entry #14030: Right to Change Legal Gender in South Korea: Equaldex,” LGBT Rights by Country & Travel Guide, accessed January 16, 2025, https://www.equaldex.com/log/14030.
[15] AmnestyThailand, “South Korea: Supreme Court Ruling on Legal Gender Recognition an Important Step Forward for Transgender Rights,” แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย, accessed January 15, 2025, https://www.amnesty.or.th/en/latest/news/1059.
[16] “공개] 트랜스젠더 성별 정정에 대한 법원 결정문 및 자료집 모음,” 트랜스젠더 인권단체 조각보”, accessed January 15, 2025, https://www.transgender.or.kr/29/?q=YToyOntzOjEyOiJrZXl3b3JkX3R5cGUiO3M6MzoiYWxsIjtzOjQ6InBhZ2Ui+O2k6Mjt9&bmode=view&idx=6259214&t=board&category=dtl3T42x8T.
[17] iLaws, “#สมรสเท่าเทียม : เปิดกฎหมายแพ่งแก้ไขใหม่ บุคคล-บุคคล สมรสได้ ไม่จำกัดแค่ชาย-หญิง”, accessed January 15, 2025, https://www.ilaw.or.th/articles/43563.
[18] https://www.worldbank.org/en/country/thailand/publication/economic-inclusion-of-lgbti-groups-in-thailand