ในวันที่ตลาดเหลือสองราย: การประมูลคลื่นความถี่ควรตอบโจทย์อะไร?

การประมูลคลื่นความถี่ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 29 มิถุนายนนี้กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากหลายๆ ฝ่ายอย่างกว้างขวาง โดยในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาตัวแทนสำนักงาน กสทช. ได้เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีการถ่ายทอดสดผ่านช่องทางออนไลน์ ทำให้ประชาชนอย่างเราได้มีโอกาสฟังเหตุและผลของการกำหนดนโยบายจากปากของตัวแทนองค์กรที่เกี่ยวข้อง

นอกเหนือจากการชี้แจงของตัวแทนสำนักงาน กสทช. แล้ว ยังมีความเห็นบางส่วนจากกรรมการ กสทช. เสียงข้างน้อยที่เผยแพร่ออกมา ได้แก่ ความเห็นของกรรมการ กสทช. ด้านกิจการโทรทัศน์ ที่ปรากฎครั้งแรกในโพสต์ทางบัญชีโซเซียลมีเดียส่วนตัว และความเห็นบางส่วนของกรรมการ กสทช. ด้านเศรษฐศาสตร์ที่ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อ ทำให้ได้รับรู้ว่าการเปิดประมูลคลื่นในครั้งนี้ไม่ได้เสียงเอกฉันท์จากกรรมการ กสทช. ทั้งหมด แม้บันทึกความเห็นฉบับเต็มของ กสทช. จะยังไม่ถูกเผยแพร่อย่างเป็นทางการ เนื่องจากอยู่ระหว่างกระบวนการรับรองรายงานการประชุม หรือผลการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษาที่ไม่ได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะ แต่ความคิดเห็นที่เผยแพร่สู่สาธารณะก็เพียงพอจะเป็นสารตั้งต้นสำหรับการชวนผู้อ่านมองประเด็นนี้ผ่านมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ มุมที่ตั้งคำถามถึงทั้งกลไกตลาด โครงสร้างการแข่งขัน และวิธีคิดมูลค่าทรัพยากรสาธารณะอย่างคลื่นความถี่ ในยุคที่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีผู้เล่นรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย

จากควบรวมสะเทือนถึงประมูลคลื่น

การควบรวมกิจการของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดโทรคมนาคมไทยเมื่อปี 2566 ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอุตสาหกรรมในหลายมิติ ทั้งในแง่การแข่งขันและทางเลือกของผู้บริโภค รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายขององค์กรกำกับดูแลอย่าง กสทช. ผลกระทบที่เด่นชัดที่สุดคือการเปลี่ยนโครงสร้างตลาดจากเดิมที่เคยมีผู้เล่นหลักสามราย เหลือเพียงสองรายใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า ‘duopoly’ โครงสร้างตลาดแบบนี้มาพร้อมความเสี่ยงสำคัญหลายประการ ทั้งการแข่งขันที่ลดลง อำนาจต่อรองของผู้บริโภคที่อ่อนแอลง และทางเลือกของผู้ใช้บริการที่น้อยลง ซึ่งทั้งหมดนี้อาจนำไปสู่ต้นทุนการใช้บริการที่สูงขึ้น หากไม่มีการกำกับดูแลที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ

ยิ่งไปกว่านั้นโครงสร้างตลาดแบบ duopoly ยังส่งผลกระทบต่อ ‘กลไกการแข่งขันในอนาคต’ เพราะผู้เล่นรายใหม่จะเผชิญอุปสรรคมากมายในการเข้าสู่ตลาด ทั้งในแง่ต้นทุน การเข้าถึงโครงข่าย และความไม่แน่นอนของนโยบาย การประมูลคลื่นในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมเพียงสองรายหลัก สะท้อนให้เห็นผลกระทบจากการตัดสินใจให้ควบรวมโดยถึงแม้จะมีเงื่อนไขมาตรการกำกับหรือส่งเสริมการแข่งขันที่เพียงพอแต่ก็ติดปัญหาในการบังคับใช้ การประมูลคลื่นในปลายเดือนมิถุนายนนี้จึงมีความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะไม่ใช่แค่การจัดสรรทรัพยากรคลื่นความถี่ให้รัฐมีรายได้ หากแต่ต้องมีกลไกที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการแข่งขันอย่างแท้จริงทั้งในการประมูลครั้งนี้และในการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมไทยในระยะยาว

จำนวนคลื่นที่นำออกมาประมูลเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ

จากคำชี้แจงของตัวแทนสำนักงาน กสทช. ใน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ การประมูลคลื่นในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เชิงนโยบายลำดับแรกคือความมีประสิทธิภาพ และข้อที่สองคือการส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม โดยคำว่าประสิทธิภาพคือการนำคลื่นออกมาประมูลทั้งหมด

อย่างไรก็ตามความเห็นของ กสทช. เสียงข้างน้อยที่เห็นว่าควรให้จัดสรรเฉพาะคลื่นความถี่ที่กำลังสิ้นสุดการอนุญาตในวันที่ 3 สิงหาคมนี้ สะท้อนมุมมองคำว่าประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน โดย กสทช. เสียงข้างน้อยได้แสดงความเห็นไว้ดังนี้

“…ดิฉันเห็นด้วยในหลักการที่จะจัดสรรคลื่นความถี่ที่กำลังจะหมดอายุและคลื่นความถี่ที่ว่างอยู่ เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่เนื่องจาก (ร่าง) ประกาศฯ ในครั้งนี้ไม่มีการออกแบบการประมูลคลื่นความถี่ที่ช่วยส่งเสริมการแข่งขันในตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มากเพียงพอสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่หรือรายเล็ก เช่น ไม่มีมาตรการการสงวนคลื่นบางส่วน (set aside) หรือมาตรการส่งเสริม MVNO ที่เด่นชัด จึงเห็นว่าควรให้จัดสรรเฉพาะคลื่นความถี่ที่กำลังจะสิ้นสุดการอนุญาตในวันที่ 3 สิงหาคม 2568 เท่านั้น เพื่อให้สำนักงาน กสทช. มีระยะเวลาในการออกหลักเกณฑ์ใหม่สำหรับการประมูลคลื่นที่เหลืออยู่ โดยเน้นส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในตลาดเพิ่มมากขึ้น ประเด็นคือความจำเป็นในการสงวนคลื่นบางส่วนเอาไว้ เพื่อให้ใช้ในอนาคต” (ความเห็น กสทช. เสียงข้างน้อยที่เผยแพร่ในโซเซียลมีเดีย)

คำว่าประสิทธิภาพในอีกบริบทนั้นไม่ได้หมายถึงการนำคลื่นออกมาประมูลให้หมดและจัดสรรให้กับภาคอุตสาหกรรมมากที่สุดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ประสิทธิภาพที่มากับการแข่งขันถือเป็นการจัดสรรคลื่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

หากพิจารณาเฉพาะวัตถุประสงค์เชิงนโยบายข้อแรกเพียงอย่างเดียว การนำคลื่นออกมาประมูลทั้งหมดและจัดสรรให้ภาคอุตสาหกรรมมากที่สุดถูกมองว่าเป็น first best policy อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงในภาวะตลาดที่มีลักษณะเฉพาะในปัจจุบันที่มีผู้เล่นเพียงสองราย ผู้กำกับดูแลอาจต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์เชิงนโยบายข้อที่สองเป็นสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม โดยการพิจารณาถึงจำนวนคลื่นที่นำออกมาประมูลภายใต้บริบทการแข่งขันในปัจจุบันต้องคำนึงทั้งประสิทธิภาพและการแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมควบคู่กันไป หากเราสามารถบรรลุวัตถุประสงค์เชิงนโยบายทั้งในส่วนประสิทธิภาพและการแข่งขัน ความมีประสิทธิภาพสูงสุดก็จะเกิดกับอุตสาหกรรมโทรคมนาคม

สุดท้ายในประเด็นนี้คณะกรรมการ กสทช. มีมติให้ประมูลเฉพาะคลื่นความถี่ที่หมดอายุในวันที่ 3 สิงหาคม 2568 เท่านั้น ซึ่งอาจจะไม่ใช่การมองจากเรื่องประสิทธิภาพสูงสุด แต่อาจเป็นเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์การเมืองการเรียกร้องจากกลุ่มผลประโยชน์หรือความกังวลที่จะเกิดพฤติกรรมการกักตุนคลื่นความถี่ (spectrum hoarding) ซึ่งเป็นที่มาของมติดังกล่าว

วิธีการประมูลแบบ Simultaneous Clock Auction เอื้อแข่งขัน?

ประเด็นเรื่องการเลือกวิธีการประมูลแบบเรียงลำดับ (sequential auction) กับการประมูลแบบพร้อมกัน (simultaneous clock auction) ก็เป็นประเด็นเชิงเทคนิคที่ไม่ง่ายในการพิจารณาเพราะต้องใช้องค์ความรู้หลายศาสตร์ มีความเห็นของ กสทช. เสียงข้างน้อยออกมาในประเด็นวิธีการประมูล โดยเห็นว่าควรให้ใช้วิธีการประมูลแบบเรียงลำดับทีละย่านความถี่ (sequential) เพราะเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และผู้เข้าร่วมประมูลไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าตนเองจะชนะการประมูลคลื่นใดบ้าง จึงอาจต้องเข้าแข่งขันในการประมูลคลื่นในแต่ละย่าน เพื่อลดความเสี่ยงว่าอาจจะพลาดไม่ได้คลื่นที่มีความต้องการสูง ส่วนอีกความเห็นหนึ่งของ กสทช. เสียงข้างน้อยด้านเศรษฐศาสตร์ชี้ให้เห็นว่ายังมีปัญหาที่ไม่สามารถฟันธงได้ว่าการประมูลแบบไหนดีกว่ากันโดยเฉพาะการวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์ และยังขาดการเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของวิธีการประมูลในแต่ละวิธีการอย่างรอบด้านเพื่อให้กรรมการ กสทช. พิจารณา ถึงแม้ท้ายที่สุด บอร์ด กสทช. จะมีมติเห็นชอบให้ใช้วิธี simultaneous clock auction ก็ตาม

ประเด็นที่สำคัญในการพิจารณาเลือกวิธีการประมูลในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ที่ กสทช. เสียงข้างน้อยด้านเศรษฐศาสตร์สะท้อนออกมาคือ สภาพตลาดในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในปัจจุบันที่มีลักษณะเป็น duopoly วิธีการประมูลไหนที่ตอบสนองวัตถุประสงค์เชิงนโยบายของ กสทช. ในระยะยาวและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นที่ทราบกันดีว่าวิธีการประมูลแต่ละแบบส่งผลกระทบต่อระดับการแข่งขันและรายได้ของรัฐที่แตกต่างกัน ข้อมูลเหล่านี้จะต้องได้รับการพิจารณาอย่างถ้วนถี่

จากคำชี้แจงของตัวแทนสำนักงาน กสทช. ใน กมธ. ระบุว่าในการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะครั้งแรก สำนักงานยอมรับว่า “ค่อนข้างแปลกใจ” ที่ผู้ประกอบการเห็นด้วยกับการประมูลคลื่นหลายย่านพร้อมกัน ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอของที่ปรึกษา ทั้งนี้อาจเป็นสิ่งที่สะท้อนคำกล่าวปรามาสของหลายๆ ท่านที่เคยพูดไว้ว่าเอกชนฉลาดกว่ารัฐเสมอ ในที่สุดจึงได้นำเสนอรูปแบบ simultaneous clock auction ต่อคณะกรรมการ ซึ่งท้ายที่สุดบอร์ด กสทช. มีมติเห็นชอบ โดยมีความคิดเห็นแย้งจากกรรมการ กสทช. เสียงส่วนน้อย

หากจะให้ระบุว่าวิธีไหนดีกว่ากัน คงไม่อาจฟันธงได้ แต่หากมองในเชิงนโยบายการเป็นผู้กำหนดเกมการประมูลแบบ sequential อาจจะเอื้อต่อการควบคุมเกมของหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลในขณะที่ตลาดต้องการการแข่งขันและการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่

ประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ “การจัดกลุ่มคลื่น” ซึ่งมีความเห็นหลากหลายในการชี้แจงต่อ กมธ. ตัวแทนสำนักงาน กสทช. ระบุว่า การจัดกลุ่มและการออกแบบรูปแบบการประมูลในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะที่ผ่านมาเคยมีการประมูลหลายย่านความถี่พร้อมกันในปี 2563 เช่นกัน แต่ใช้วิธีการเรียงลำดับการประมูล (sequential across bands) โดยอิงจากประสิทธิภาพในการจัดสรรคลื่นที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงาน กสทช. ยังได้หารือกับที่ปรึกษาต่างประเทศว่า หากมีคลื่นจำนวนมาก การจัดกลุ่มและประมูลพร้อมกันจะมีประสิทธิภาพทั้งในมุมของผู้เปิดการประมูลและผู้เข้าประมูล

อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียยังเป็นสิ่งจำเป็น รวมทั้งความเห็นในการการจัดสรรคลื่นในกลุ่ม 2100 MHz และ 2300 MHz ไว้ในกลุ่มเดียวกันในการประมูลว่าจะเอื้อประโยชน์ให้กับใคร หากมองในแง่ผู้ประกอบการ การที่สองคลื่นนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันอาจเป็นผลดีทำให้เกิดการประหยัดต้นทุนของผู้ประกอบการในภาวะตลาดที่มีผู้เล่นรายใหญ่เพียงสองราย

มูลค่าคลื่นที่ใช่อยู่ตรงไหน?

ในประเด็นที่ว่ามูลค่าคลื่นคำนวณอย่างไร เป็นเรื่องที่มีความเห็นหลากหลาย โดยความเห็นของ กสทช. เสียงข้างน้อยเห็นว่าการกำหนดราคาขั้นต่ำควรสะท้อนจากราคาตลาดจริง โดยในการกำหนดราคาขั้นต่ำ (reserve price) ระบุว่าเห็นควรให้ใช้ราคาขั้นต่ำตามการประเมินมูลค่าคลื่นตั้งต้น ซึ่งเป็นการสะท้อนจากราคาตลาดจริงที่บริษัท AWN และบริษัท DTN (หรือ บริษัท TUC ในปัจจุบัน) จ่ายค่าใช้บริการข้ามโครงข่าย (roaming) ให้กับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT จนถึงเดือนสิงหาคม 2568

กสทช. ด้านเศรษฐศาสตร์เสียงข้างน้อยยังให้น้ำหนักกับการคิดมูลค่าคลื่นภายใต้เงื่อนไขที่สภาวะตลาดในปัจจุบันเป็น duopoly และการสามารถทดแทนกันได้ทางเทคนิค ดังนั้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและสะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด กสทช. เสียงข้างน้อยจึงอยากให้มีการทบทวนเรื่องนี้ โดยระบุว่าที่ประชุมมีข้อสรุปในความเห็นหลากหลายว่าราคาตั้งต้นของแต่ละคลื่นควรจะเป็นเท่าใด ซึ่งยังไม่มีบรรทัดฐานในเรื่องนี้ จึงควรทำการตัดสินใจอย่างระมัดระวังและรอบด้าน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อรัฐ แต่ราคาที่กำหนดออกมาขาดหลักการที่สมเหตุสมผลที่อ้างอิงได้ทางเศรษฐศาสตร์

นอกจากนี้ประเด็นน่าสนใจที่ปรากฏในคำชี้แจงของตัวแทนสำนักงาน กสทช. ใน กมธ. ว่าการประเมินมูลค่าคลื่นในรอบนี้สอดคล้องกับแนวโน้มโลกที่มูลค่าคลื่นมีแนวโน้มลดลง แต่ก็อาจต้องแปลความอย่างระมัดระวัง เนื่องจากการที่มูลค่าคลื่นทั่วโลกมีแนวโน้มลดลงไม่ได้หมายความว่ามูลค่าคลื่นของไทยจะต้องลดลงด้วยโดยปริยาย การที่มูลค่าคลื่นลดลงอาจเกิดจากปัจจัยหลายๆ อย่าง รวมทั้งบริบทที่ตลาดโทรคมนาคมของไทยมีผู้เล่นของไทยมีเพียงสองราย

ในทางกลับกันความเห็นจากฝ่ายที่มองว่าราคามูลค่าคลื่นควรสูงกว่านี้โดยเปรียบเทียบราคาที่ผู้ประกอบการเคยจ่ายให้ NT จากการเช่าคลื่น 2100 หรือ 2300 MHz มาใช้เป็น reference point ในการกำหนด ‘ราคาตั้งต้น’ (reserve price) ของการประมูลคลื่นโดย กสทช. ในเชิงเศรษฐศาสตร์การประมูลและการกำหนดมูลค่าทรัพยากรสาธารณะยังมีเหตุผลสำคัญหลายประการที่ทำให้เราควรรับฟังอย่างระมัดระวัง เพราะราคาอาจไม่สามารถนำมาใช้เปรียบเทียบได้โดยตรงขนาดนั้น จึงเห็นได้ว่าสิ่งที่เราต้องเฟ้นหาคือการประเมินมูลค่าคลื่นที่มีหลักการที่อ้างอิงได้ทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ กสทช. ด้านเศรษฐศาสตร์เสียงข้างน้อยตั้งคำถามในการประมูลในรอบนี้

MVNO นโยบายเชิงสัญลักษณ์ในการประมูลคลื่น

ในประเด็นของ MVNO (Mobile Virtual Network Operator หรือผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือแบบเสมือน ซึ่งคือผู้ให้บริการที่ไม่ได้มีโครงข่ายโทรคมนาคมของตนเองแต่ใช้วิธีการเช่าโครงข่ายจากรายอื่น) ความเห็นของ กสทช. เสียงข้างน้อย ระบุว่า “การส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันของ MVNO: เห็นควรให้ผู้ชนะประมูลต้อง ‘สงวน Capacity (ความจุโครงข่าย)’ อย่างน้อยร้อยละ 10 ของโครงข่ายโทรคมนาคมทั้งหมด โดยผู้ชนะประมูลห้ามใช้ capacity นั้นเอง แต่มีไว้เพื่อผลักดันให้เกิดผู้ให้บริการ MVNO ในตลาด”

ในการประชุม กมธ. ตัวแทนสำนักงาน กสทช. ได้ชี้แจงว่าในการประมูลครั้งนี้ได้กำหนดกลไกให้ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องจัดสรรสัดส่วนของ capacity ที่ได้รับ เพื่อรองรับการให้บริการ MVNO ในอนาคต อย่างไรก็ดีตัวแทนสำนักงาน กสทช. ให้ความเห็นว่า การออกประกาศประมูลเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของ MVNO ให้สำเร็จได้ทั้งหมด ถึงแม้จะมีการดำเนินการร่างประกาศ MVNO แต่การใช้ประกาศแยกนั้นเสี่ยงต่อการเตะถ่วง ขณะที่กติกาที่ไม่แน่นอน และการกันคลื่นไว้ร้อยละ 10 โดยไม่มีโครงสร้างราคาและแรงจูงใจในการเข้าถึงที่ชัดเจน เป็นเพียงนโยบายเชิงสัญลักษณ์ (symbolic policy) ที่ไม่ก่อให้เกิดการแข่งขันจริง

ในอดีตที่ผ่านมามีการส่งเสริมให้เกิด MVNO และปรากฏว่า MVNO ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นแบบ resale หรือฝากขายบริการของ MNO (Mobile Network Operator หรือผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่มีโครงข่ายของตัวเอง) ทำให้ MVNO เป็นเหมือนแขนขาทางการตลาด (marketing arm) ของ MNO มากกว่าจะเป็นคู่แข่งทางนวัตกรรม แต่สาเหตุที่แท้จริงของความล้มเหลวของ MVNO นั้นไม่ได้อยู่ที่แนวคิดของ MVNO แต่อยู่ที่กลไกการกำกับดูแล (regulatory failure) ดังนั้นเงื่อนไขที่ปรากฏในการกำหนดกลไกในการประมูลในครั้งนี้ดูเหมือนว่าอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในการทำให้เกิด MVNO นัก ทั้งยัง ถูกซ้ำเติมด้วยข้อจำกัดของสภาพตลาดที่มีผู้แข่งเพียงสองราย ดังนั้นกลไกในการส่งเสริม MVNO ควรปรากฏชัดเจนมากกว่านี้ในการประมูลครั้งนี้ แทนการรอประกาศ MVNO ที่กำลังร่าง แน่นอนว่าการประมูลครั้งนี้อาจไม่สามารถแก้ปัญหา MVNO เชิงโครงสร้างได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยควรปรากฏร่องรอยของความพยายามส่งเสริม MVNO ในเชิงปฏิบัติมากกว่าเชิงสัญลักษณ์

โดยสรุป การประมูลคลื่นครั้งนี้ยังมีหลายคำถามที่ต้องการคำตอบและยังมีข้อมูลที่ต้องจัดทำเพื่อใช้ในการประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายอยู่หลายประเด็นที่ยังเป็นที่ถกเถียง ทำให้ท้ายที่สุดการประมูลคลื่นจะดำเนินต่อไปท่ามกลางความบิดเบี้ยวของอุตสาหกรรม

แต่หากเรามองผ่านกรอบ ‘เศรษฐศาสตร์การเมือง’ อาจทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงในอุตสาหกรรมนี้ได้ดีขึ้น เนื่องจากจะช่วยอธิบายพฤติกรรมและทางเลือกเชิงนโยบายของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ แนวคิดเรื่องการต่อรองระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ช่วยคลี่ให้เห็นว่า เหตุใดนโยบายหลายอย่างจึงไม่ได้เป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์ในอุดมคติ หากแต่สะท้อนพลวัตของอำนาจ การจัดวางผลประโยชน์ และโครงสร้างเชิงสถาบัน จึงไม่ใช่แค่การถามว่า “อะไรควรจะเกิดขึ้น” แต่คือการพยายามเข้าใจว่า “ทำไมสิ่งที่ควรจะเป็นจึงไม่เกิดขึ้น” และท้ายที่สุด “สิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้นกำลังตอบสนองต่อใคร”

หากจะคาดหวังว่า ถึงอย่างไรการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์อุตสาหกรรมโทรคมนาคมในอนาคต แม้ในปัจจุบันจะมีผู้เล่นเพียงสองรายก็จะเอื้อให้เกิดการแข่งขันอยู่ดีจากการใช้เทคโนโลยี 5G ในแนวดิ่งนั้น ก็เป็นเรื่องที่ผู้กำกับดูแลอาจต้องระมัดระวัง และขณะเดียวกันก็ต้องระวังมุมมองที่ว่าเทคโนโลยีจะนำมาซึ่งการแข่งขันเสมอ เพราะหากกลไกการกำกับดูแลและการบังคับใช้ยังไม่มีประสิทธิภาพ อุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยก็ยังคงน่าเป็นห่วง


อ้างอิง

การประชุมคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง ครั้งที่ 68 https://www.facebook.com/watch/live/?mibextid=wwXIfr&ref=watch_permalink&v=3290812731069645&rdid=q0hIo2lPqazyBxe5

ประเด็นจากเสียงข้างน้อย กรณีการประมูลคลื่นความถี่แบบ multi band https://www.facebook.com/share/p/1AhkwVTMkL/

เปิดความเห็นบอร์ดกสทช.ค้านประมูลคลื่นฯ ชี้ราคาต่ำเกินจริง ไร้หลักเกณฑ์ เสี่ยงกระทบผลประโยชน์รัฐ-ประชาชน https://siamrath.co.th/n/627438

กสทช. แจงขั้นตอนประมูลคลื่นความถี่ ยันยึดหลักการแข่งขัน-กระจายทรัพยากรเหมาะสม https://www.matichon.co.th/economy/news_5243326

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Politics

14 May 2023

มีอะไรในกฎหมาย : กฎหมายป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ

ปกป้อง ศรีสนิท ชวนทำความรู้จักกฎหมายป้องกันการกระทำความผิดซ้ำที่เพิ่งบังคับใช้เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยเป็นมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้กระทำความผิดอุกฉกรรจ์กระทำความผิดซ้ำภายหลังได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ

ปกป้อง ศรีสนิท

14 May 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save