ของที่ระลึก

Souvenir as Trash : อย่าปล่อยให้ของที่ระลึกกลายเป็นขยะ

ผมไม่ชอบซื้อของที่ระลึกไปฝากใคร

ไม่ใช่เพราะงก ไม่อยากเจียดเงินซื้อ ไม่อยากนำ ‘ความสุข’ กลับไปฝากคนที่ไม่ได้มาด้วยหรอกนะครับ แต่บ่อยครั้งมากทีเดียว ที่ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่เราเรียกว่า ‘ของที่ระลึก’ นั้น มันมีคุณค่าสำหรับการ ‘ระลึกถึง’ ในแบบที่ควรจะเป็นจริงหรือเปล่า

เราอาจชื่นชมงานคราฟต์ที่เป็นงานไม้ทำมือชิ้นเล็กๆ จากแอฟริกา ชื่นชมหีบห่อของขนมรูปร่างหน้าตาสวยงามจากญี่ปุ่น หรือพวงกุญแจ แม่เหล็กติดตู้เย็น เสื้อยืด ถ้วยโถโอชามต่างๆ ว่ามันสวยงามควรค่าแก่การ ‘แบก’ ขึ้นเครื่องบินข้ามโลกกลับไปแจกจ่ายผู้คนที่บ้าน

แต่มันมี ‘ความหมาย’ เพื่อการ ‘ระลึกถึง’ เท่านั้นจริงๆ หรือ?

มีหนังสือเล่มหนึ่งที่จัดเป็นหนังสือคลาสสิกในด้านวิชาการท่องเที่ยว ชื่อว่า The Tourist: A New Theory of the Leisure Class แม้จะบอกว่าเป็น ‘ทฤษฎีใหม่’ แต่ความจริงคงไม่ใหม่แล้ว เพราะหนังสือตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1976 แต่ว่ามาตีพิมพ์ซ้ำในปี 2013

แค่ ‘ชื่อ’ ของหนังสือเล่มนี้ก็น่าสนใจมากแล้วนะครับ เพราะมันบอกเราว่า สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า tourist (หรือที่ ‘หลานเสรีไทย (136)’ ผู้เขียนหนังสือ ‘ข้างหลังโปสการ์ด’ เรียกว่า ‘ตัวฤทธิ์’) นั้น แท้จริงแล้วมีลักษณะที่เป็น ‘ชนชั้นใหม่’ ในสังคม นั่นคือชนชั้นที่ ‘มีเวลาว่าง’ หรือเรียกว่า leisure class นั่นเอง

ชนชั้นที่มีเวลาว่างในที่นี้ไม่ได้หมายถึงคนตกงานไม่มีงานทำและต้องอยู่ว่างๆ นะครับ แต่หมายถึงคนที่มีทุกอย่างในชีวิตพรั่งพร้อมมากพอสมควรแล้ว จนสามารถ ‘มีเวลาว่าง’ หรือเวลาที่ไม่ต้องทำงานได้ ไม่ใช่ว่าตื่นขึ้นมาแล้วต้องวิ่งวุ่นทำงานหนักตลอดทั้งวัน

แล้วเมื่อมีเวลาว่าง สิ่งหนึ่งที่คนใน leisure class ทำ – คืออะไรรู้ไหมครับ?

มันก็คือการ ‘ท่องเที่ยว’ นี่เอง!

อย่างที่เรารู้กัน ตั้งแต่อดีต และแม้กระทั่งในปัจจุบัน การท่องเที่ยวไม่ใช่ของราคาถูก เอาเข้าจริงแล้วถือว่าเป็นของ ‘ฟุ่มเฟือย’ หรือถึงขั้น ‘หรูหรา’ ได้ด้วยซ้ำ เพราะหากเรายังทำงานหาเช้ากินค่ำ ชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่ คงมีไม่กี่คนนักหรอกที่จะ ‘กู้เงิน’ เอาไปเที่ยว ส่วนใหญ่ถ้ารายได้ไม่พอ ก็ต้องเลือกใช้เวลาทำมาหากินก่อนจะเอาเวลาไปเที่ยวแทบทั้งสิ้น ดังนั้น ชนชั้นที่มีเวลาว่างมากพอจะไปเที่ยว จึงต้องมีทั้งเวลา โภคทรัพย์ และที่สำคัญก็คือต้องมีร่างกายที่แข็งแรงมากพอที่จะลุกขึ้นเดินทางท่องเที่ยวได้ด้วย

ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่การท่องเที่ยวถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งใน ‘เหยื่อล่อ’ ดึงดูดคนอยากรวย ให้เข้ามาทำงานในแวดวงหลอกลวงที่สร้างเครือข่ายภายใต้หน้ากากการขายตรง เช่น ถ้าหาลูกข่ายได้เท่านั้นเท่านี้ หรือจ่ายเงินเท่านั้นเท่านี้เพื่อซื้อสินค้า จะได้ไปทัวร์เมืองนอกเมืองนาที่ดูมี ‘สัญญะ’ ของความหรูหราทันสมัย อย่างปารีส ลอนดอน นิวยอร์ก ฯลฯ

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะการท่องเที่ยวสำแดงออกถึงสามปัจจัยที่ทำให้งานนั้นๆ ‘เหนือกว่า’ งานทั่วไป คือ 1) งานนั้นมอบเวลาว่างให้มากพอ 2) งานนั้นทำให้ใช้จ่ายได้ในสิ่งที่หรูหราฟุ่มเฟือยได้ และ 3) งานนั้นอนุญาตให้คุณได้ทำกิจกรรมที่แสดง ‘พลัง’ ของความเป็นหนุ่มเป็นสาว นั่นก็คือการได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ทั้งสามอย่างนี้แสดงให้คนอื่นเห็นแบบตะโกนออกมาเลยนะครับ – ว่านี่คืองานที่ทำให้คนทำงานมี ‘ความได้เปรียบทางโอกาส’ เหนือคนอื่นๆ

การท่องเที่ยวจึงไม่ได้เป็นแค่การเดินทางเท่านั้น แต่ถูกนำมาใช้เป็น ‘สัญญะ’ ของสถานภาพทางสังคมด้วย และ ‘ความได้เปรียบทางโอกาส’ ที่แสดงออกผ่านการท่องเที่ยวนั้น แฝงนัยเอาไว้หลายชั้นมาก และนัยอย่างหนึ่งก็แฝงอยู่ใน ‘ของที่ระลึก’ หรือ ‘ของฝาก’ ที่นำกลับมาฝากผู้คนทางบ้านนั่นเอง

ด้วยความที่การท่องเที่ยวตามความหมายนี้สะท้อนให้เห็นถึงความ ‘รวย’ หรือ ‘สถานภาพทางเศรษฐกิจ’ ผู้เดินทางท่องเที่ยวจึงมัก ‘ซื้อของฝาก’ กลับมาฝากคนที่ ‘ไม่มีโอกาส’ ได้ไป ได้กิน ได้สูดอากาศ ฯลฯ เหมือนตัวเอง ของฝากหรือของที่ระลึกในที่นี้จึงไม่ได้เป็นเพียงวัตถุ แต่กลายเป็น ‘หลักฐาน’ บอกว่า – ฉันได้ไปปารีสมาจริงๆ นะ นี่ไง ซื้อพวงกุญแจหอไอเฟลมาฝากเธอด้วย

การซื้อของฝากจึงเป็นการตอกย้ำ ‘สถานะทางเศรษฐกิจ’ แบบหนึ่ง

การท่องเที่ยวในความหมายนี้ ยังมักเป็นการท่องไปยังสถานที่ที่มีชื่อเสียงหรือเป็นที่นิยม เพื่อ ‘ฉวยใช้’ สัญญะของเมืองนั้นๆ เช่น การเดินทางท่องเที่ยวไปปารีส ลอนดอน นิวยอร์ก ย่อมเหนือกว่าไปวานูอาตูหรือบูร์กินาฟาโซ เพราะคนรู้จักมากกว่า และปารีส ลอนดอน นิวยอร์ก ก็มีสัญญะของความหรูหรา มีรสนิยมการบริโภคบางแบบ การเดินทางไปเมืองเหล่านี้จึงคือการ ‘สำแดง’ ว่าตัวผู้ไปเยือนนั้นได้เข้าถึง ‘แหล่งวัฒนธรรม’ และ ‘แหล่งสินค้าหรูระดับโลก’ ของที่ระลึกหรือของฝากจึงทำหน้าที่เป็น ‘หลักฐาน’ ของ ‘ประสบการณ์’ ดังกล่าว ซึ่งคนทั่วไปอาจ ‘เข้าไม่ถึง’

ในหลายกรณี ความอยากสำแดงถึงหลักฐานประสบการณ์พวกนี้อาจแพงเกินไป ดังนั้นแทนที่จะ ‘ซื้อมาฝาก’ ก็เลยกลายเป็นการถามว่า ‘จะฝากซื้อไหม’ แทน เพราะอุตส่าห์ได้ย่างเท้าก้าวเข้าไปในร้านแบรนด์เนมหรูมีระดับแล้ว ถ้าคนทางบ้านไม่ฝากซื้อก็ออกจะน่าเสียดายอยู่ไม่น้อย

จะเห็นได้ว่าการซื้อของฝาก (หรือรับฝากซื้อของ) กลายเป็นการแสดง ‘ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ’ ไปด้วยในตัว เพราะผู้ซื้อของมาฝากหรือแม้แต่รับฝากซื้อของในหลายวัฒนธรรม ได้ ‘จัดวางตัวเอง’ อยู่ในหนแห่งความสัมพันธ์เชิงอำนาจในฐานะ ‘ผู้เหนือกว่า’ ทั้งเหนือกว่าทางเศรษฐกิจ (คือสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้) และเหนือกว่าในทางศีลธรรม เพราะแสดงตัวว่าเป็น ‘ผู้มีน้ำใจ’ ซื้อของมาฝากคนที่ไม่ได้มีโอกาสเช่นเดียวกับตัวเอง

ถ้ามองอีกด้านหนึ่ง การซื้อของมาฝากจึงอาจกลายเป็นการ ‘ตอกย้ำ’ ความได้เปรียบทางโอกาสให้แหลมคมมากขึ้น เพราะของฝากนั้นได้ตะโกนบอกว่าผู้รับ ‘ไม่มีโอกาส’ แบบเดียวกับตน การให้ของที่ระลึกหรือของฝากจึงเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจหลายชั้นที่ ‘อาจ’ แฝงการกดทับทางสังคมเอาไว้แบบเนียนๆ ได้ด้วย

หนังสือ The Tourist: A New Theory of the Leisure Class บอกเราว่า มนุษย์ได้ใช้ของฝากและของที่ระลึกเป็นเครื่องมือในการ ‘แบ่งชั้น’ ทางสังคมอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่ชนชั้นที่กดทับกันโดยเชื้อสายเผ่าพันธุ์ เพศสภาพ หรือฐานะทางเศรษฐกิจโดยตรง (อันเป็นการแบ่งชั้นที่อาจถือได้ว่า primitive หรือโบร่ำโบราณเกินไป) ทว่าเป็นการแบ่งชั้นระหว่าง leisure class กับ non-leisure class ขึ้นมา และที่สุดแล้ว ความหมายของการเดินทางท่องเที่ยวก็ค่อยๆ ‘กลายตัว’ เปลี่ยนไป เป้าหมายในการออกเดินทางท่องเที่ยวของคนจำนวนมากในปัจจุบัน ลึกๆ แล้วไม่ได้เป็นไปเพื่อการแสวงหาโลก ประสบการณ์ และความรู้ ทว่าเป็นไปเพื่อยืนยัน ‘สถานภาพเดิม’ (status quo) ของตัวเอง กับตัวเอง และเพื่อตัวเอง นั่นทำให้ความหมายของ ‘ของที่ระลึก’ หรือ ‘ของฝาก’ เปลี่ยนแปลงไปด้วย

ในความหมายดั้งเดิม ของที่ระลึกหมายถึง memorabilia หรือของที่เอาไว้ ‘ระลึก’ ถึงการเดินทางจริงๆ ประวัติศาสตร์ของของที่ระลึกนั้นยาวนานมาก นับย้อนกลับไปได้ถึงยุคอียิปต์ กรีก และโรมันโบราณ ที่การเดินทางเป็นเรื่องยากลำบาก ดังที่สะท้อนให้เห็นในตัวละครจากมหากาพย์ของโฮเมอร์ ที่กว่าจะกลับบ้านได้ก็ต้องใช้เวลาเป็นสิบปี ผู้คนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยได้เดินทาง หากใครเดินทาง จึงถือว่าได้ ‘ผจญภัย’ และมักนำ ‘วัตถุหายาก’ (rare artefacts) หรือสินค้าที่ไม่มีในบ้านเกิดตัวเองติดตัวกลับมาด้วย

ในยุคกลาง มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ออกเดินทาง (ซึ่งอาจเป็นการเดินทางเพียงครั้งเดียวในชีวิต) คือเหล่านักแสวงบุญหรือ pligrim ซึ่งมักเดินทางไปยัง ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์’ ของศาสนาตัวเองเพื่อไปทำพิธีกรรมต่างๆ พวกเขามักจะนำของที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ของวิเศษ’ กลับมาด้วย เช่น น้ำหรือน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ หินหรือเหรียญวิเศษ ฯลฯ เพื่อให้คนที่ไม่มีโอกาสไป (เช่น สูงวัยจนเดินทางไม่ได้ หรือมีสภาพร่างกายที่ไม่เหมาะกับการเดินทาง ฯลฯ) มีโอกาสได้รับประสบการณ์ของ ‘สิ่งอัศจรรย์’ แบบเดียวกับตัวเอง

ว่ากันว่า ‘อุตสาหกรรมของที่ระลึก’ (souvenir industry) เกิดขึ้นมาเป็นครั้งแรกในยุคกลาง เมื่อนักแสวงบุญชาวคริสต์ตระเวนไปทั่วยุโรปและตะวันออกกลางในช่วงสงครามครูเสด จึงเริ่มมีการผลิตขวดใส่น้ำหรือน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ หรือเหรียญโลหะที่ประทับเป็นรูปนักบุญหรือบุคคลศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่นั้นๆ ออกมาขายนักท่องเที่ยว

สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันแทบจะในทันที – ก็คือการหลอกลวง!

นักท่องเที่ยวในยุคกลางไม่รู้หรอกว่า น้ำมันที่ได้มานั้นเป็นน้ำมันศักดิ์สิทธิ์หรือน้ำมันมะกอกธรรมดาๆ พวกเขาพิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำ นั่นจึงเปิดโอกาสให้พ่อค้าของที่ระลึกสามารถ ‘โกง’ ได้ด้วยวิธีการต่างๆ โดยเฉพาะเหล่าพ่อค้าที่อยู่ในตลาดใหญ่ๆ ของเมืองที่เป็นชุมทาง เช่น ไคโร หรืออิสตันบูล

ล่วงเลยมาสู่ยุคปัจจุบัน วัฒนธรรมการท่องเที่ยวแบบ ‘แดกด่วน’ ยิ่งทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรีบร้อนมากขึ้น หลายคนต้องทัวร์ห้าประเทศในสามวัน จึงมีเวลาตัดสินใจซื้อของที่ระลึกเพียงเสี้ยววินาที หลายคนเลือกของโดยใช้เกณฑ์ ‘สวย – ถูก – เร็ว’ เอาไว้ก่อน เพราะไกด์กำลังจะต้อนขึ้นรถบัสอยู่แล้ว ถ้าไม่ซื้อตอนนี้ ไม่รู้ข้างหน้าจะมีหรือเปล่า

วิธีการดังกล่าวทำให้คนจำนวนมากไม่มี ‘โอกาส’ ในการ ‘ศึกษา’ ที่มาที่ไปของของที่ซื้อ บ่อยครั้งซื้อมาแล้วถึงได้เห็นว่า Made in Thailand หรือ Made in China เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเพราะข้อจำกัดด้าน ‘ความรู้พื้นฐาน’ ที่มีเวลาให้ศึกษาน้อยเกินไป และข้อจำกัดด้าน ‘ความรับรู้’ เช่นมีอุปสรรคด้านภาษา หรือไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมถึงข้อจำกัดในการ ‘เข้าใจ’ ถึง ‘คุณค่า’ ของสิ่งที่ตัวเองซื้อมา

ไม่ใช่แค่เสื้อยืดหรือพวงกุญแจเท่านั้นนะครับที่เป็นแบบนี้ กระทั่งช้อนไม้หรือสร้อยลูกปัดที่วางขายอยู่ริมถนนในบางประเทศของแอฟริกาที่ดู authentic เหลือเกิน เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ทำกันอยู่หลังบ้านนะครับ แต่อาจมาไกลจากตลาดจตุจักรบ้านเรานี่แหละ!

บ่อยครั้ง ของที่ระลึกจึงไม่ได้เป็น memmorabilia สมชื่อของมัน เพราะไม่ได้มีคุณค่ามากขนาดนั้น ซื้อมาฝากแล้วผู้รับอาจทำหน้าอึ้งๆ แล้วเอาวางทิ้งไว้ รอให้เวลาผ่านไปสักระยะค่อยโยนทิ้ง เคยมีบทความชื่อ Souvenirs as Trash? ตั้งคำถามว่า ทุกวันนี้ของที่ระลึกกลายเป็น ‘ขยะ’ ไปหมดแล้วหรือเปล่า เพราะของที่ระลึก จำนวนมากถูกออกแบบมาให้ใช้วัสดุคุณภาพต่ำ เนื่องจากผู้ซื้อซื้อแล้วก็กลับบ้านตัวเองไปอีกฟากโลก ไม่มีทางจะกลับมาต่อว่าผู้ขายได้ ผู้ขายจึงไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงคุณภาพเท่าไหร่ แต่มุ่งเน้นให้ดูสวยงามฉูดฉาดเตะตามากกว่า เรื่องความคงทนหรือฝีมือประณีตวิจิตรบรรจงนั้นแทบจะลืมไปได้เลย

ที่สำคัญก็คือ เมื่อนักท่องเที่ยวทั่วทั้งโลกเชื่อใน ‘คาถา’ เดียวกัน นั่นคือซื้ออะไรต้อง ‘ต่อราคา’ ให้ได้ราคาถูกที่สุด ของที่ระลึกทั้งหลายก็เลยต้องเป็นของที่ ‘ถูกซ้ำซ้อน’ ในความหมายตรงตัวที่สุดของคำว่า cheap ทั้งในด้านราคา คุณภาพ และกระทั่ง ‘ความหมาย’ ของมัน ประโยชน์ใช้สอยจริงก็ไม่มี หลายคนสักแต่ซื้อปริมาณมากๆ หมายจะไปแจกคนในวงกว้าง แต่อาจเก็บไว้จนลืม ของที่ระลึกจำนวนมากจึงกลายเป็น ‘ขยะ’ ที่รอวันถูกโยนทิ้ง แถมอาจย่อยสลายยากทั้งตัวสิ่งของและบรรจุภัณฑ์ที่ห่อหุ้ม ถือเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรในการผลิต และอาจสร้างมลพิษ (หรืออย่างเบาะๆ ก็ก๊าซเรือนกระจก) ในกระบวนการผลิตและขนส่ง

ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ อาจมีประเด็น ‘การฉกฉวยทางวัฒนธรรม’ (cultural appropiration) แฝงเร้นอยู่ด้วย เพราะผู้ผลิตของที่ระลึกในระดับอุตสาหกรรมหลายราย หยิบจับเอาสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมมาใช้อย่างผิวเผิน แต่ไม่ได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมัน หรืออาจมีผู้ผลิตจากภายนอกนำรูปแบบของสิ่งเหล่านี้ไปผลิตเชิงพาณิชย์ โดยชุมชนต้นทางไม่รู้เรื่องหรือไม่ได้รับประโยชน์เลยก็มี

พูดมาทั้งหมดนี้ หลายคนอาจเถียงว่า แต่จริงๆ แล้วอุตสาหกรรมของที่ระลึกนั้นเป็น ‘ฟันเฟือง’ สำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชียวนะ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง อุตสาหกรรมของที่ระลึกนั้นสร้างมูลค่าให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมากมาย แม้จะประเมินได้ยากเพราะมีความซับซ้อนในการแบ่งประเภท (เช่นของที่ระลึก (souvenir) อาจซ้อนทับกับของขวัญ (gift)) แต่มีตัวเลขระบุว่า อุตสาหกรรมนี้ทั่วโลกมีมูลค่าหลายหมื่นล้านเหรียญ และคาดการณ์การเติบโตอยู่ที่ปีละ 7-8% จึงเป็นส่วนสำคัญมากต่อระบบเศรษฐกิจโลก เพราะก่อให้เกิดการจ้างงานมหาศาล ​(ทำนองว่ามีคนในอุตสาหกรรมของที่ระลึกราว 20 ล้านคนทั่วโลก และส่วนใหญ่เป็นแรงงานในท้องถิ่นด้วย) อุตสาหกรรมนี้จึงสำคัญอย่างยิ่ง

แต่ต่อให้สำคัญอย่างไร ถ้าเรายังปล่อยให้การท่องเที่ยวเป็นเพียง ‘สัญญะ’ ที่ฉาบอยู่แค่ฉากหน้า โดยไม่ได้คำนึงถึงคุณค่าที่แท้จริงของทั้งการเดินทางและของที่ระลึกในฐานะ memmorabilia ผลที่ได้อาจไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไป ทั้งในแง่เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

หากจะซื้อของที่ระลึกกลับไปฝากใคร บางทีเราอาจต้อง ‘คิด’ เสียหน่อย ว่านี่คือการซื้อของที่คำนึงถึงคุณค่าทางใจของผู้รับจริงๆ หรือเป็นเพียงการยืนยันสถานภาพทางสังคมของตัวเองเท่านั้น เพราะหากเป็นอย่างแรก นอกจากผู้รับจะยินดีอย่างแท้จริงแล้ว ยังเป็นการเอื้อต่ออุตสาหกรรมของที่ระลึกอย่างยั่งยืนด้วย ในขณะที่หากเป็นอย่างหลัง บ่อยครั้งเราอาจส่งเสริมให้ของที่ระลึกต้องกลายเป็น ‘ขยะ’ ไปโดยไม่รู้ตัว

ฟังดูเหมือนตลก แต่ในมุมของสิ่งแวดล้อมแล้ว นี่คือเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออก!

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save