ผลการสำรวจทัศนคติ ‘British Social Attitude Survey’ ฉบับล่าสุดที่ตีพิมพ์เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่าในหมู่ประชาชนทั่วบริเตน [1] ในรอบสิบปีที่ผ่านมานั้นเกิดความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์และความยิ่งใหญ่ของชาติลดถอยลงอย่างฮวบฮาบ อีกทั้งอารมณ์ชาตินิยมและความเชี่อที่ว่าประเทศของตนนั้นเหนือกว่าชาติอื่นใดๆ (jingoism) ก็ลดน้อยลงเช่นกัน
นับเป็นที่ทราบกันอย่างดีว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมา การถกเถียงของประชาชนเกี่ยวกับประเด็น ‘Brexit’ (การถอนตัวออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป) และกระแสต่อต้านคนเข้าเมือง เป็นปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่มีการแบ่งขั้วและปะทะคารมกันอย่างรุนแรงมากว่าที่เคยเป็นมาในอดีต จนนำไปสู่คำถามว่า “อะไรคืออัตลักษณ์ของชาติ (Britishness) กันแน่”
ทั้งนี้ ประเด็นการต่อต้านคนเข้าเมืองโดยช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เกิดเป็นกระแสความขัดแย้งแบ่งแยกสีผิว จนกลายเป็นการปั่นข่าวปลอมยุยงให้ก่อการจราจลในหลายเมืองใหญ่ จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ซึ่งเป็นสัญญานเตือนภัยการขยายตัวของแนวคิดการเมืองขวาจัดในหลายเมืองของยุโรปที่มีผู้อพยพขอลี้ภัยกันมาก
อย่างไรก็ตามจากการวิเคราะห์ข้อมูลของผลการสำรวจครั้งนี้ พบว่าบริเตนในภาพใหญ่มีลักษณะเป็นสังคมสำหรับทุกคน (inclusive society) มากขึ้น และประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศก็พร้อมที่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับอัตลักษณ์ชาติว่าโดยแท้จริงแล้ว สิ่งที่เรียกว่า ‘Britishness’ ควรจะมีลักษณะเป็นเช่นใดกันแน่ และเป็นที่น่าสังเกตด้วยว่าทัศนคติที่เคยเชื่อกันว่าประเทศของตนนั้นดีเด่นต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอนั้นกลับมีแนวโน้มที่ลดน้อยลงด้วย
เมื่อดูตัวเลขของผลการสำรวจพบความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจคือ ผู้ที่ตอบแบบสอบถามในประเด็นว่ามีความภาคภูมิใจในประวัติศาตร์ของชาติ (pride in Britain’s history) มีสัดส่วนลดลงเหลือ 64% จากที่เคยสูงถึง 86% ในปี 2013 โดยครั้งนี้ลดลงไป 22 จุด และจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่เคยบอกว่ายังอยากอยู่เป็นประชากรของประเทศนี้จากเดิม 62% ลดลงเป็น 49% กล่าวคือลดลงต่ำกว่าครึ่งและตีความได้ว่าประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามเคยคิดอยากย้ายประเทศ
นอกจากนี้ ตัวเลขที่น่าสนใจอีกชุดหนึ่งซึ่งลดลงอย่างมากคือ ความภาคภูมิใจในการบริหารประเทศ ความสำเร็จก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ และบทบาทของบริเตนในเวทีโลก ก็ลดน้อยถอยลงเช่นกัน โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความเห็นว่าประเทศตนไม่ได้ดีกว่าหรือเหนือกว่าประเทศอื่นๆ และจะไม่สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลตน ถ้าหากเป็นนโยบายที่ล้าหลังและไม่มีหลักการ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการโต้แย้งอย่างเผ็ดร้อนในสังคมอังกฤษตลอดช่วงเกือบสิบปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับกรณี Brexit และปัญหาผู้อพยพเข้าเมือง (immigration) โดยประชาชนมีทัศนะที่แตกแยกกันไปคนละขั้วและยังคงโต้เถียงกันมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ปรากฎว่าประชาชนเชื่อว่าอัตลักษณ์ของความเป็นบริเตน คือสังคมที่ยอมรับความหลากหลายและอยู่ร่วมกันได้ อีกทั้งหลายคนที่เคยเย่อหยิ่งว่าประเทศตนเหนือกว่าประเทศอื่นๆ นั้น การสำรวจครั้งนี้พบว่าความรู้สึกเช่นนั้นลดลงไปมากเช่นกัน แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นกลับเป็นเสียงวิพากษ์และติเตียนต่อนโยบายการเมืองของประเทศในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา อีกทั้งข้อสรุปประการหนึ่งของการสำรวจทัศนคติครั้งหลังสุดนี้คือ ประชาชนในประเทศจำนวนมาก มี ‘ความสำนึกทบทวน’ (reflective) เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับอัตลักษณ์ในยุคสมัยของตนเองและความสัมพันธ์ของตนกับโลกภายนอกมากกว่าการติดหลงอยู่กับภาพเก่าๆ ในอดีต
ทั้งหมดนี้ได้สะท้อนให้เห็นแนวโน้มของผลการสำรวจความคิดเห็นทางการเมืองจากสำนักโพลหลายแห่งก่อนหน้านี้ที่ติดตามความคิดความเชื่อในกระแสเสรีนิยมก้าวหน้าที่ยอมรับค่านิยมสังคมหลากหลาย ทั้งภาษาและวัฒนธรรม ได้ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา
ในส่วนของประวัติศาสตร์นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทและพฤติกรรมของชนชั้นผู้ปกครอง ในช่วงเวลาที่เป็นนักล่าอาณานิคมและอุตสาหรรมการค้าทาส ถูกวิพากษ์และตำหนิมากขึ้น ทำให้เกิดการแบ่งค่ายโต้เถียงกันระหว่างกลุ่มคนที่ตื่นรู้ (woke) และกลุ่มอนุรักษนิยมที่กล่าวหาสถาบันทางการศึกษาและวงการศิลปะก้าวหน้า ว่าพยายามเซาะกร่อนบ่อนทำลายความภาคภูมิใจของประเทศชาติ
ทั้งนี้ นายอเล็กซ์ โชลส์ (Alex Scholes) นักวิจัยอาวุโสของโครงการสำรวจครั้งนี้กล่าวว่า ตัวเลขความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชาติที่ลดถอยลงคราวนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแรงสะท้อนที่มาจากเสรีภาพในการถกเถียงกันในแวดวงปัญญาชนและสื่อเกี่ยวกับกรณีบทบาทในฐานะเจ้าอาณานิคม ตลอดจนตั้งคำถามเกี่ยวกับชนชั้นผู้ปกครองและสมาชิกราชวงศ์อังกฤษที่เคยพัวพันกับการค้าทาส และการเหยียดผิวในหมู่ชาวผิวขาวตลอดช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา
เขากล่าวว่า จากการสำรวจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นการปรับเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการขยายตัวของ ‘คตินิยมอารยะ’ ที่ให้ความหมายของคำว่า Britishness ไม่หมกมุ่นอยู่กับความรู้สึก ‘ชาตินิยม’ เจ้าของถิ่น ซึ่งแต่ก่อนเคยผูกโยงอยู่กับชาติกำเนิด บรรพบุรุษ และศรัทธาในคริสตศาสนา แม้กระนั้นประชาชนชาวบริเตนยังคงมีความภาคภูมิใจในความสำเร็จของชาติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันกีฬา งานศิลปะ นักร้องนักแสดง วรรณกรรม และระบบการเมืองที่ก้าวหน้าเป็นประชาธิปไตย มากกว่าการโหยหาความยิ่งใหญ่ในอดีต
เจ้าของโครงการสำรวจครั้งนี้คือสำนักวิจัยสังคมแห่งชาติ National Centre for Social Research (NatCen) ได้ดำเนินการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มตัวอย่าง โดยการสำรวจครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสอบถามทั่วประเทศ 5,600 คน ระหว่างเดือนกันยายนถึงตุลาคมปีที่แล้ว ในเวลาที่ใกล้เคียงกันนั้น สำนักโพล YouGov ซึ่งเป็นธุรกิจเอกชนด้านวิจัยตลาดสำรวจความเห็นของประชาชนทั่วประเทศ ในวาระที่กษัตริย์ชาร์ลที่สามขึ้นครองราชย์ได้ครบสองปีว่า ประชาชนมีความรู้สึกอย่างไรกับสถาบันพระมหากษัตริย์สองปีหลังจากสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่สองเสด็จสวรรคต
ผลการสำรวจพบว่าความนิยมศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ยังอยู่ในระดับสูงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กษัตริย์ชาร์ลที่สามยังคงได้รับความนิยมจากประชาชนไม่ต่างจากพระราชินีเอลิซาเบธซึ่งเป็นพระมารดา สองปีผ่านไปหลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ กล่าวคือประชาชนผู้ตอบแบบสอบถาม 63% มีทัศนะในทางบวกและชื่นชมพระจริยวัตรของกษัตริย์ชาร์ล สำหรับตัวเลขผู้ที่มีทัศนะในทางลบและไม่นิยมประมาณหนึ่งในสามของผู้ตอบแบบสอบถามคือ 29% ซึ่งหมายความว่ากษัตริย์ชาร์ลได้ net favourability rating ถึง +34
แต่สมาชิกราชวงศ์ที่ได้คะแนนนิยมมากกว่ากษัตริย์ชาร์ลคือ เจ้าชายวิลเลียม และ พระชายาเจ้าหญิงแคทเธอรีน เจ้าหญิงแห่งเวลส์ โดยจากการสำรวจล่าสุดของ YouGov เจ้านายทั้งสองได้คะแนนนิยมจากประชากรถึงสามในสี่ หรือ 74-75% สมาชิกราชวงศ์อีกพระองค์หนึ่งที่ได้คะแนนนิยมสูงใกล้เคียงกันคือเจ้าหญิงแอนน์ ซึ่งได้คะแนนนิยมสูงถึง 71%
สมาชิกราชวงศ์ที่ได้คะแนนนิยมต่ำสุดคือเจ้าชายแอนดรูว์ซึ่งมีเพียง 5% เท่านั้นที่มีทัศนะคติในทางบวก ในขณะที่ 87% ของผู้ตอบแบบสอบถามให้คะแนนติดลบ ทั้งนี้คงเป็นเรื่องข่าวอื้อฉาวในพฤติกรรมทางเพศของพระองค์ ส่วนเจ้าชายแฮรี่ที่เป็นข่าวอื้อฉาวในเรื่องความขัดแย้งภายในราชวงศ์ในรอบหลายปีที่ผ่านมาได้คะแนนิยมเพียง 30% ส่วนพระชายาเมเกน ได้คะแนนนิยมน้อยกว่าเพียง 23% เท่านั้น ตัวเลขดังกล่าวเป็นคะแนนนิยมต่อสมาชิกราชวงค์แต่ละพระองค์ แต่เมื่อพิจารณาถึงความนิยมระดับสถาบันว่า ประชาชนชาวบริเตนมีทัศนะอย่างไรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในองค์รวม คำตอบคือพสกนิกรส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนการดำรงอยู่ของสถบันพระมหากษัตริย์ต่อไปมากถึงเกือบ 65% ของผู้ตอบแบบสอบถาม และมีสัดส่วนเพียง 25% ที่ต้องการให้มีการแก้ใขรัฐธรรมนูญโดยประมุขแห่งรัฐควรได้มาผ่านการเลือกตั้ง
↑1 | บริเตน ซึ่งมักจะถูกเรียกเหมารวมว่าอังกฤษ เป็นดินแดนที่ประกอบด้วยแคว้นอังกฤษ เวลส์และ สกอตแลนด์ โดยเมื่อรวมไอร์แลนด์เหนือเข้ามาด้วยจะเรียกว่า สหราชอาณาจักร (United Kingdom) |
---|