แม้จะผ่านกระแสถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์มาอย่างหนาหู แต่ในที่สุด โครงการเรือธงใหญ่ของรัฐบาลชุดปัจจุบันอย่าง ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ (digital wallet) ก็ได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนอย่างเป็นทางการ พร้อมกับความหวังว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่ซบเซามานานให้กลับมาคึกคักได้อีกครั้ง
หากไล่เรียงภาพเศรษฐกิจไทยในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเติบโตต่ำ โดยเฉพาะเมื่อเจอผลกระทบจากโควิด-19 ทว่า แม้โควิด-19 เริ่มคลายความรุนแรงจนโลกแทบกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เศรษฐกิจไทยกลับคล้ายจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคและกลุ่มประเทศที่ระดับรายได้ใกล้เคียงกัน
คำถามสำคัญอยู่ตรงนี้ ดิจิทัลวอลเล็ตจะช่วยกระตุ้นและพยุงเศรษฐกิจไทยได้อย่างใจหวังหรือไม่ ทางออกของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีจะเป็นอย่างไรต่อไป และในช่วงที่ปีงบประมาณ พ.ศ.2567 กำลังจะสิ้นสุดลง แนวทางการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่เดินไปในทิศทางที่ถูกหรือไม่ โดยเฉพาะในห้วงยามที่ประเทศคล้ายจะอยู่ในระเบิดเวลาจากปัญหาเชิงโครงสร้างหลายปัจจัย
101 สนทนากับ ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เพื่อตีโจทย์เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง หาคำตอบว่าเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างไร เรากำลังเผชิญความท้าทายแบบไหน งบประมาณของเราเดินไปถูกทางหรือไม่
เศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป หาคำตอบได้ในบรรทัดถัดจากนี้
หมายเหตุ: เรียบเรียงจากรายการ 101 One-on-One Ep.334 – เศรษฐกิจครึ่งหลัง 2024 : นโยบาย งบประมาณ และความเสี่ยง กับ สมชัย จิตสุชน ออกอากาศเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567
หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จบลง เศรษฐกิจไทยยังถือว่าเปราะบางและเติบโตช้าเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคและกลุ่มประเทศที่ระดับรายได้ใกล้เคียงกัน จนกระทั่งในปีนี้ที่หลายคนคาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว อยากชวนคุณวิเคราะห์และทบทวนว่าในช่วงครึ่งแรกที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเป็นอย่างไร สรุปแล้วเศรษฐกิจไม่ดีอย่างที่คนพูดกันไหม
ถ้าเราดูตัวเลขจากการแถลงของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า เศรษฐกิจไตรมาสแรกเติบโตประมาณร้อยละ 1.5 ซึ่งพอๆ กับการขยายตัวทั้งปีของปีที่แล้ว ตรงนี้ถือว่ายังไม่ค่อยดีนัก เพราะยังเติบโตไม่ถึงร้อยละ 2 ซึ่งเป็นผลพวงมาจากหลายเรื่องที่เรื้อรังสืบเนื่องมา ทั้งภาครัฐที่อ่อนแอเพราะงบประมาณออกช้า รวมถึงผลกระทบจากภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยว
อันที่พอจะดีหน่อยคือการบริโภคภาคเอกชนที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะคนฐานะดียังมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง คนทั่วไปอาจจะไม่ค่อยดีนัก เพราะหลังจากการฟื้นตัวของโควิด ระดับรากหญ้าเติบโตช้ามาก และยังช้าต่อเนื่องมาถึงไตรมาสที่ 1-2 ของปีนี้ แต่ตอนนี้สัญญาณการจับจ่ายใช้สอยของคนรวยก็เริ่มแผ่วลงไปแล้ว
ส่วนปัจจัยอื่นๆ อย่างการใช้จ่ายภาครัฐ ผมว่าไตรมาสที่ 2 น่าจะดีขึ้นเพราะเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณได้แล้ว ส่วนภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวก็เริ่มดีกว่าไตรมาสที่แล้วเช่นกัน แต่ไม่ได้ดีกว่าแบบหรูหรา เพราะเรายังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่แม้จะเบาบาง แต่ไม่ได้หายไป และน่าจะส่งผลกับครึ่งปีหลังเช่นกัน
ถ้าเศรษฐกิจครึ่งปีแรกเป็นเช่นนี้ แล้วคุณมองภาพรวมแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังอย่างไร
ถ้าเป็นการคาดการณ์จากฝั่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) การประมาณการอาจจะออกมาค่อนข้างดี เนื่องจากภาคการส่งออกเริ่มกลับมาขยายตัว เพราะเศรษฐกิจโลกไม่แย่นัก เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถือว่ายังร้อนแรง ส่วนเศรษฐกิจจีนถึงจะมีปัญหา แต่ผมคิดว่ามันน่าจะทรงอยู่แบบนี้ ไม่แย่ลงไปกว่านี้ ถ้าโชคดีเศรษฐกิจจีนก็อาจจะดีขึ้น ส่วนเศรษฐกิจฝั่งยุโรปกับญี่ปุ่นถือว่ายังไม่เท่าไหร่นัก ส่วนในประเทศไทย ภาคการส่งออกที่เคยซบเซาน่าจะเริ่มดีขึ้น รวมถึงภาคการท่องเที่ยวด้วย
อีกหนึ่งตัวกระตุ้นสำคัญคือโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่แม้จะมาช้ากว่าที่คิด แต่อย่างไรก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของครึ่งปีหลัง ซึ่งจะช่วยเรื่องอารมณ์ความรู้สึก (sentiment) ของคนด้วย เพราะถ้าคนคาดการณ์ว่าโครงการนี้จะกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยให้มากขึ้น มีการผลิตสินค้าไว้เผื่อขายมากขึ้น ก็อาจจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ด้วย
แต่แน่นอน บางคนก็อาจจะไม่ได้คาดการณ์แบบนี้เพราะปัญหาหลายอย่าง ซึ่งถ้าพูดกันตามตรง เราก็ยังไม่รู้และคาดการณ์ไม่ได้ ผมว่ามันเป็นไปได้ทั้งสองฝั่งแหละ และยังมีความผันผวนสูงอยู่ด้วย
แม้คนจะมองว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น แต่จากตัวเลขประมาณการแล้ว ดูอย่างไรไทยก็เติบโตไม่เกินร้อยละ 3 ซึ่งถือว่าน้อยพอสมควรถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ผมใช้คำว่าดีหมายถึงดีเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ไม่ใช่ดีเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน
ประเทศไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างหลายอย่าง ทำให้เราดีได้ไม่เยอะและไม่สุด เพราะฉะนั้น การขยายตัวได้ถึงร้อยละ 3 ก็ถือว่าดีแล้ว เพราะมีการคาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวตามศักยภาพของเราอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3
ปัญหาอยู่ตรงนี้ ศักยภาพของเราถือว่าต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับต่างประเทศ และไทยยังมีปัญหาหลายอย่าง อาทิ สังคมสูงวัย แน่นอนว่าเราต้องการการขยายตัวที่มากกว่าร้อยละ 3 แต่คำถามคือจะทำอย่างไร
สำหรับผม ผมมองว่าเราควรผูกเศรษฐกิจกับการลงทุนนะ เพราะถ้าดูย้อนหลังไปตั้งแต่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง (พ.ศ.2540) ภาคการลงทุนของเราไม่สดใสต่อเนื่องมาจะสองทศวรรษแล้ว ทำให้ภาพอนาคตเราดูไม่ดี เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการลงทุน ความสามารถในการผลิตตามศักยภาพของปีถัดไปก็จะต่ำตามไปด้วย
การลงทุนที่ว่าคือการลงทุนประเภทไหน
ทุกประเภทเลยครับ แต่ถ้าให้เน้น ผมคิดว่าเราอยากเห็นการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งจะโยงกับความสามารถในการแข่งขันและการส่งออก เพราะเราต้องการ champion product ใหม่ ไทยจะอาศัยรถสันดาปหรือฮาร์ดดิสก์อย่างเดียวไม่ได้เพราะมันเป็นอุตสาหกรรมที่จะลาลับขอบฟ้าแล้ว
ถ้าดูตอนนี้ หลายคนอาจพูดถึงรถ EV แต่จริงๆ เรานำเข้าจากจีน เป็นโรงงานจากจีน แล้วเราจะได้ส่วนแบ่ง GDP จากตรงนี้ได้มากเท่าไหร่ อย่างรถสันดาปเรายังผลิตในไทยค่อนข้างมากนะครับ
สรุปง่ายๆ คือการลงทุนต้องสูงขึ้นและเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตด้วย โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชน เพราะรัฐบาลกลางอาจไม่ได้มีกำลังเท่า แต่เราหวังพึ่งรัฐวิสาหกิจได้ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจใหญ่ๆ ที่มีเงินอยู่ในมือไม่น้อย เราอยากเห็นคนกลุ่มนี้ลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ แต่ก็ยังไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่
ทำไมคุณถึงมองไปที่รัฐวิสาหกิจมากกว่าภาคเอกชน เพราะถ้าดูแล้วภาคเอกชนน่าจะมีความคล่องตัวกว่ารัฐวิสาหกิจที่ยังติดกับกฎระเบียบบางอย่างอยู่
ภาคเอกชนต้องรอจังหวะให้แน่ใจว่าการลงทุนของเขาจะขยายตัว เติบโต และทำกำไรได้ รวมถึงสภาพแวดล้อมอื่นๆ ที่ต้องเอื้อพอสมควร ตรงนี้ต้องเป็นการนำทางโดยภาครัฐนะครับ ทั้งการลงทุนนำ การส่งเสริมการลงทุน การแก้กฎระเบียบ เพราะฉะนั้นผมถึงเสนอว่าเราจะต้องมีการนำลงทุนโดยรัฐวิสาหกิจบางเจ้าที่มีศักยภาพมากพอ สร้างการทำงานร่วมกัน (synergy) ขึ้นมา
อีกอย่างคือภาคเอกชนที่เป็นบริษัทใหญ่ๆ เขามีเงินอยู่แหละ แต่เงินลงทุนอาจจะไปที่ต่างประเทศมากกว่า เช่น จีน เวียดนาม ซึ่งก็น่าเสียดาย แต่ก็เข้าใจได้เช่นกัน เพราะนักลงทุนที่ถือเงินน่าจะอยากลงทุนในประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศดีกว่า รวมถึงมีนโยบายภาครัฐที่สดใสกว่า
ตรงนี้เลยกลับมาที่ประเด็นเชิงนโยบายว่าต้องทำให้การลงทุนในไทยสดใสขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อจะทำให้ภาพการลงทุนโดยรวมของเอกชนดีกว่าที่เป็นมา
ถ้าขยับมาฝั่งที่เกี่ยวกับนโยบายการคลัง คุณมองภาพงบประมาณในฝั่งภาครัฐอย่างไร ตอนนี้แนวทางงบประมาณของเรามาถูกทางไหม
ถ้าพูดถึงงบประมาณประจำปี เราต้องเข้าใจก่อนว่ามีงบประมาณประจำปี 2567 (1 ตุลาคม 2566 – 30 กันยายน 2567) และงบประมาณประจำปี 2568 (1 ตุลาคม 2567 – 30 กันยายน 2568)
จะเห็นว่าตอนนี้ เราอยู่ในช่วงใกล้สิ้นปีงบประมาณ 2567 แล้ว แต่ยังมีงบกลางปีเพื่อรองรับดิจิทัลวอลเล็ตอยู่ ซึ่งเงินน่าจะออกช่วงปลายปี แต่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของปีงบประมาณนี้ และก็มีอีกก้อนหนึ่งอยู่ที่ปีงบประมาณถัดไป
เรื่องแนวทางงบประมาณ ถ้าไม่นับดิจิทัลวอลเล็ต ผมว่าเราก็ยังมีโครงสร้างเดิมของงบประมาณไทย คือน้อยเกินไป สมมติมีเงิน 100 บาท ใช้เป็นงบประมาณประจำก็ 70-80 บาทแล้ว ไม่ได้ใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น ผมเลยมองว่าภาครัฐจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่มากนัก ยกเว้นโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งก็มาจากปัญหาเชิงโครงสร้างการใช้จ่ายรายได้ของรัฐบาลเอง
สิ่งที่ควรทบทวนคือรัฐบาลจะตั้งเป้าเพิ่มงบลงทุนอย่างไร จะชักจูงให้เกิดบรรยากาศการลงทุนอย่างไร เพราะการมีนโยบายเอื้อให้เกิดการลงทุนในเรื่องใหม่ๆ อาจจะได้ประโยชน์มากกว่ากันเยอะ ผมว่าตรงนี้รัฐบาลต้องมองให้ขาดและทำให้ขาดด้วย เพราะถ้าเราจะหวังพึ่งจากดิจิทัลวอลเล็ตอาจไม่ได้คุ้มทุนขนาดนั้น และยังต้องระวังเรื่องการขายลดคูปองอีก (นำคูปองไปขายลดราคาจากมูลค่าเพื่อแลกเป็นเงินสด) อันนี้ก็เป็นประเด็นที่พูดกันนานแล้ว แต่ผมว่ารัฐบาลก็ยังไม่มีคำตอบ
ถ้าสรุปในภาพรวม แม้เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก แต่คุณมองว่าจะมีอุปสรรคหรือความเสี่ยงอะไรไหมที่จะทำให้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังไม่เป็นไปตามเป้าหรือแย่ลง และถ้าเราสามารถออกแบบหรือแก้ไขนโยบายช่วงครึ่งปีหลังได้ นโยบายที่ว่านั้นควรเป็นอย่างไร
ก็คืออะไรที่เคยคิดว่าจะดีมันไม่ดีหมดครับ เช่น การส่งออกไม่ได้ดีอย่างที่คิด เศรษฐกิจโลกแย่กว่าที่คาด และอย่าลืมนะว่าเรากำลังมีประเด็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) หรือจีนก็มีระเบิดเวลาลูกใหญ่ คือภาคอสังหาริมทรัพย์ หลายคนพูดว่าจีน หรืออาจจะรวมถึงไทย อาจจะเจอสภาวะทศวรรษที่สูญหาย (lost decade) คล้ายกับที่ญี่ปุ่นเคยเจอ
เรื่องออกแบบนโยบาย ผมเสนอว่าเราต้องทำสองเรื่อง เรื่องแรกคือการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่รวมดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งถ้าไม่คิดถึงมิติการเมืองจนเกินไป ผมคิดว่าโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ที่ผ่านมาให้ผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี และอาจจะใช้เม็ดเงินน้อยกว่า เพราะผู้ใช้ต้องควักกระเป๋าครึ่งหนึ่งด้วย มันมีเงินออกจากกระเป๋าแน่ๆ หรืออาจจะเป็นโครงการแบบ ‘ช้อปดีมีคืน’ หรือเอาเม็ดเงินไปลงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
เรื่องที่สองคือการปรับโครงสร้าง ที่แม้จะเห็นผลช้า แต่ต้องยิ่งทำให้เร็ว ผมว่าเราต้องปรับโครงสร้างหลายเรื่อง อย่างเรื่องที่ว่าเราไม่ได้ลงทุนและไม่มีอุตสาหกรรมเพราะต้องใช้เทคโนโลยีสูง คำถามคือเรามีเทคโนโลยีนั้นไหม ถ้าไม่มีเรานำเข้าได้ไหม ที่สำคัญกว่านั้นคือเรามีทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะทำงานควบคู่กับเทคโนโลยีใหม่นั้นได้หรือไม่
ผมว่าเรื่องคนคือปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจไทย ทั้งคุณภาพและฝีมือแรงงาน ไทยมีประชากรอายุเกิน 40 ปี แต่เรียนหนังสือไม่เกินชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 คิดเป็น 42% คือเกือบครึ่งของประชากรไทยเลยนะครับ ซึ่งคนเหล่านี้จะไม่พร้อมรับกับเทคโนโลยีหรือการผลิตใหม่ๆ เลย ยังไม่นับคำถามเรื่องคุณภาพการศึกษาของไทย รวมถึงปัญหาเรื่องสังคมสูงวัยที่กำลังเข้ามาอีก
ข้อเสนอหนึ่งของผมคือการทำโครงการอบรมทักษะแรงงานในระดับชาติ (National Skill Programme) นำคนไทยมาเข้าสู่กระบวนการเพิ่มและฝึกฝนทักษะของโลกยุคใหม่ โดยรัฐบาลเป็นผู้จ่ายเงินให้ อาจจะเป็นคูปองที่ให้เขาไปอบรมได้ และก็ไม่ใช่นำราชการมาอบรมนะครับ แต่ให้เป็นไปตามกลไกตลาด คือมีการตั้งศูนย์ฝึกอบรม (training centre) ขึ้นมาเยอะๆ และดำเนินการโดยเอกชนที่รู้ว่าทักษะงานที่เขาต้องการคืออะไร วิธีการแบบนี้มีหลายประเทศทำ เช่น สิงคโปร์หรืออินโดนีเซีย แต่เราต้องทำให้ใหญ่กว่าเขาเพราะปัญหาของเราซีเรียสกว่า ผมว่าทำแบบนี้สัก 2-3 ปีจะเห็นผลขึ้น และก็มีผลพิสูจน์ทางวิชาการเลยว่าอบรมแล้วทำให้ทักษะดีขึ้น สินค้าดีขึ้น ความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ผมว่าอันนี้คุ้มค่า และต้องทำควบคู่ไปกับเรื่องอื่นๆ เช่น การปรับกฎระเบียบให้เอื้อกับการลงทุนมากขึ้น
การปฏิรูปทางการคลังถือเป็นทางออกหนึ่งในเรื่องนี้ด้วยหรือไม่
ผมว่ามันโยงกันนะ คือเราหาเงินไม่เก่งด้วย ทุกวันนี้รายได้ภาษีต่อรายได้ประชาชาติ (GDP) เหลือร้อยละ 13-14 มันเลยโยงว่าถ้าหารายได้ได้น้อย ก็จะใช้จ่ายได้น้อยตามไปด้วย เพราะถ้าฝืนใช้จ่ายไปจะกลายเป็นหนี้สาธารณะ พอหนี้สูง รายจ่ายดอกเบี้ยสูง ก็ไปเบียดรายจ่ายอื่นอีก
เรื่องนี้พูดกันมานานแล้วก็จริง แต่ผมว่ามันยาก เพราะเรื่องนี้โยงกับโครงสร้างอำนาจในสังคมไทย ถ้าจะมีรายได้มากขึ้นด้วยการเก็บภาษีมากขึ้น คนรวยจะยอมไหม ถามว่าไม่ยอม เขาทำอะไรได้ไหม ได้เยอะเลยนะครับ (หัวเราะ) เขาอาจจะส่งเสียงไปที่นักการเมืองที่คุ้นเคยกันก็ได้ เพราะฝ่ายบริหารหรือนิติบัญญัติก็มีส่วนทับซ้อนกับกลุ่มทุนอยู่
ขยับมาที่ฝั่งนโยบายการเงิน คุณมองว่าครึ่งปีหลังมีความท้าทายอะไรรออยู่ นโยบายที่ออกมาควรเป็นแบบไหน
จริงๆ คนทำนโยบายคงต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจเหมือนที่ทำมาตลอด มีคำหนึ่งที่ ธปท. ใช้ คือ Outlook Dependent หมายความว่านโยบายการเงินจะเป็นอย่างไรต้องขึ้นกับแนวโน้มเศรษฐกิจด้วย สมมติปีนี้เศรษฐกิจโตในอัตราที่ใกล้กับการขยายตัวตามศักยภาพ มันจะมีทฤษฎีหนึ่งของกลุ่มนักนโยบายการเงินที่มองว่า ถ้าเศรษฐกิจขยายตัวใกล้กับการขยายตัวตามศักยภาพ เขาก็จะไม่ทำอะไรกับนโยบายทางการเงิน แต่ถ้าขยายตัวต่ำกว่าก็ต้องลดดอกเบี้ยให้ผ่อนคลายมากขึ้น
เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็ขึ้นคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ด้วยว่าเขาจะมองยังไง เพราะ กนง. จะมีฝ่ายเลขานุการฯ เป็นร้อยคนที่นั่งไล่วิเคราะห์ตัวเลขทางเศรษฐกิจทุกส่วนเพื่อทำเป็นรายงานประมวลผลเสนอให้ กนง. พิจารณาและมีการซักถาม ถ้า กนง. เห็นสอดคล้องกับฝ่ายเลขานุการฯ ก็จะตัดสินใจคล้ายๆ กับที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอมา แต่ทุกอย่างมาจากการวิเคราะห์ หารือ และถกเถียงกัน
ช่วงหลังๆ เราเห็นกระแสกดดันการทำงานของ ธปท. เยอะมาก โดยเฉพาะในเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งไม่ค่อยเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เราพอวิเคราะห์ได้ไหมว่าเป็นเพราะอะไร
ถ้ามองปัจจัยทางการเมือง รัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลที่ต้องการให้เศรษฐกิจเติบโต เพราะเขามีเครดิตในด้านนี้และไม่อยากเสียไป แต่อย่างที่ทุกคนรู้ว่าไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างซึ่งรอการแก้ไขอยู่ ขณะเดียวกัน บางทีการแก้ปัญหารอนานไม่ได้ เขาเลยพยายามหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะสั้นก็ยังดี เราเลยเห็นโครงการอย่างดิจิทัลวอลเล็ต หรือการกดดันภาคการเงินให้ลดอัตราดอกเบี้ย เพราะเมื่อลดอัตราดอกเบี้ย ธปท. ต้องอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายการเมืองหวังว่าจะทำให้เศรษฐกิจคล่องขึ้นและดีขึ้น เป็นเครดิตของรัฐบาลว่าทำให้เศรษฐกิจโตได้ และจะเป็นผลดีกับการเลือกตั้งครั้งหน้า
แต่เท่าที่ติดตามมา ธปท. ก็พยายามให้เหตุผลว่าทำไมยังไม่ต้องการลดดอกเบี้ย ฝ่ายเลขานุการฯ ของ กนง. ก็บอกว่าปริมาณเงินในภาพรวมไม่ได้น้อยไป แต่มีปัญหาด้านการกระจายเม็ดเงินไปที่ภาคส่วนต่างๆ คือเงินกระจุกอยู่ที่คนรวย ขาดแคลนสภาพคล่อง กลุ่ม SMEs มีปัญหา
ตรงนี้นำมาสู่ข้อเสนอการอัดฉีดเงินเข้าไปและหวังว่าเงินที่กองอยู่ข้างบนจะไหลลงมาข้างล่าง ก็มีการพูดกันว่านี่ไม่ใช่แนวทางที่ดีและอาจจะนำไปสู่ปัญหาอื่น เช่น หนี้ครัวเรือนมากขึ้น หรือจริงๆ ที่เงินไปไม่ถึงข้างล่างไม่ใช่ว่าเม็ดเงินไม่ยอมลง แต่ช่องทางมันปิด อย่าง SMEs ถ้าไม่มีความสามารถในการแข่งขันพอก็ทำให้ธนาคารไม่อยากปล่อยกู้ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องพัฒนาศักยภาพของ SMEs ด้วย ทำให้เขามีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นด้วยการพัฒนาและฝึกฝนทักษะ
โดยหลักการแล้ว ธปท. ต้องพยายามดำรงความเป็นอิสระของตัวเองไว้ แต่อย่างไรการดำเนินนโยบายของ ธปท. ต้องคำนึงถึงนโยบายของรัฐบาลด้วย ดังนั้น เราต้องพยายามรักษาสมดุลระหว่างสองเรื่อง ใช้เหตุผลสนับสนุนและวิเคราะห์ ผมเข้าใจว่าธนาคารกลางทั่วโลกก็ทำแบบนี้
ถ้ามุมมองเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลกับ ธปท. ไม่ตรงกัน หรือแม้แต่นโยบายการเงินกับการคลังไม่สอดคล้องกัน เราจะมีปัญหาเศรษฐกิจในภาพรวมไหม
การจะบอกว่าไม่สอดคล้องกันต้องดูให้ดี เพราะหลายครั้งที่การคาดการณ์ต่างๆ เป็นการดูคนละช่วงเวลาแล้วมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งมันไม่ใช่ มันต้องดูช่วงเวลาใกล้เคียงกันแล้วเราจะเห็นว่า จริงๆ แต่ละสำนักมีความเห็นคล้ายกัน
ในเรื่องนโยบาย รัฐบาลกับ ธปท. มีความต้องการและวัตถุประสงค์เชิงนโยบายไม่เหมือนกัน ธปท. เน้นรักษาเสถียรภาพระยะยาว และไม่ใช่แค่เรื่องราคาหรือเงินเฟ้อ แต่เป็นศักยภาพของสถาบันการเงิน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หนี้ครัวเรือนมีน้ำหนักในการพิจารณาของ ธปท. มาก อย่างน้อยสมัยที่ผมยังอยู่
แต่นโยบายการคลังในฝั่งนักการเมืองต้องการการขยายตัวระยะสั้น ซึ่งถ้าทำผลีผลามจะทำให้เสถียรภาพระยะยาวเสียไป ตรงนี้เลยดูเหมือนเขามองต่างกัน เพราะวัตถุประสงค์กับจุดเน้นต่างกัน
อันนี้ไม่แปลกนะครับ นักการเมืองกับธนาคารกลางทะเลาะกันไม่รู้กี่ประเทศ ทะเลาะกันเต็มไปหมด
ถามตรงๆ คุณคิดว่าเศรษฐกิจไทยใกล้วิกฤตหรือยัง มีระเบิดเวลาอะไรรอเราอยู่ในระยะยาวไหม
ถ้าเอาเรื่องที่ผมสนใจและกังวลมากสุดคือคุณภาพคน ผมคิดว่ามันอยู่ในวิกฤตมานานแล้ว คนไทยหรือแรงงานไทยไม่ใช่ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจมาพักใหญ่และจะเป็นแบบนี้ต่อไป แต่บางคนก็มองไปถึงเรื่องนโยบายการเงินที่ตึงตัวไป ก็มองได้หมดแหละ เราก็ต้องมาดูกันทางวิชาการด้วย ผมว่ามันถกเถียงกันได้อยู่
อีกประเด็นที่น่ากังวลคือภูมิรัฐศาสตร์ที่ผันผวนมาหลายปี และมีอะไรเซอร์ไพร์สเรามากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งมีโอกาสสูงมาก ถ้าเป็นเช่นนี้จะเกิดผลกระทบหลายอย่าง เช่น สงครามการค้ากับจีน ทำให้แต่ละฝ่ายงัดนโยบายอุตสาหกรรมซึ่งคล้ายจะเป็นนโยบายกีดกันทางการค้า ทำให้ภาคการค้าโลกยุบตัวลง กระทบเราแน่นอน เรื่องยูเครนหรือตะวันออกกลาง หรือจีนกับไต้หวัน ก็ยังเป็นปัญหาอยู่เช่นกัน
อีกเรื่องคือระเบิดเวลาในลักษณะที่ไทยและคนไทยก้าวตามไม่ทันเทคโนโลยี ถ้าเป็นเช่นนี้ เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คนที่จะได้ประโยชน์คือคนที่ใช้เทคโนโลยีเป็น ประเด็นคือ AI ไม่ได้มาแทนคน แต่จะมาแทนคนที่ใช้ AI ไม่เป็น คำถามคือคนไทยใช้ AI เป็นแค่ไหน ตรงนี้ก็โยงกลับไปที่ศักยภาพของคนไทยที่ผมพูดมาหลายรอบแล้ว
เรื่องของหนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในระเบิดเวลาแน่นอน โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่เป็นร้อยละ 90 ของ GDP แล้ว แถมยังเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และไม่ได้เป็นไปเพื่อการสร้างอนาคต ตรงนี้น่ากลัว เพราะมันจะบ่อนทำลายกำลังซื้อและทำให้วินัยการเงินในภาพรวมเสียไป จริงๆ ผมว่าเรื่องหนี้มันระเบิดไปแล้วด้วยซ้ำ
ถ้าวันนี้อยากปฏิรูปเศรษฐกิจระยะยาว มีอะไรที่เรายังทำได้อยู่อีกไหม
ปฏิรูปการเมืองครับ (หัวเราะ) ปัญหาหลายเรื่องมาจากการที่การเมืองไม่มีวิสัยทัศน์ เราอยู่ในภาวะการบริหารประเทศแบบไม่มีวิสัยทัศน์น่าจะเกิน 20 ปีแล้ว ผนวกกับข้าราชการเองก็เฉื่อย หย่อนประสิทธิภาพ เรามีคำสวยหรูในแผนต่างๆ มากมาย แต่คำถามคือนั่นคือสิ่งที่ถูกต้องและควรทำจริงไหม เราเป็นการเมืองมากไปไหม ภาคการเมืองกับภาคราชการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพพอหรือเปล่า
ถ้าพูดกับประชาชนทั่วไปในเรื่องเศรษฐกิจ พวกเขาควรเตรียมพร้อมรับมืออะไร
ผมว่าในไทย สิ่งหนึ่งที่จำเป็นคือพึ่งตัวเองให้มาก หมั่นพัฒนาทักษะและศักยภาพของตัวเอง หาความรู้ความเข้าใจในอินเทอร์เน็ต ถ้ามีงานทำก็ต้องรู้ว่าจะเก็บออมอย่างไร อย่าลืมว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ทำงานไปจนเกษียณก็ต้องแน่ใจว่ามีเงินเก็บพอ พยายามเพิ่มศักยภาพตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
อีกอย่างคือที่ผมพูดเรื่องปฏิรูปการเมือง ผมว่าบางทีมันต้องมาจากประชาชนด้วยนะ ประชาชนควรมีส่วนร่วมทางการเมืองและทำให้ทิศทางการเมืองเบนไปในทางที่ควรจะเป็น ส่งเสียงบอกว่านี่ใช่หรือไม่ใช่ และมีกระบวนการตรวจสอบการทำงานภาครัฐ มีการสนับสนุนพรรคการเมืองและนักการเมืองรุ่นใหม่ สิ่งเหล่านี้สามารถถูกตัดสินด้วยประชาชนผ่านการเลือกตั้งและกระบวนการตรวจสอบระหว่างเลือกตั้งด้วย
พูดมาถึงตรงนี้ คุณยังพอมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของเศรษฐกิจไทยไหม
ผมย้อนมาเรื่องที่ผมสนใจมากสุดคือเรื่องคน ซึ่งผมเห็นความหวังในคนรุ่นใหม่เหมือนกันนะ ผมว่าคนรุ่นใหม่ของเรามีประสิทธิภาพสูงกว่าคนรุ่นเก่าแบบเทียบกันไม่ได้เลย เขาจะรอบรู้กว้างขวางขึ้นทั้งที่อายุยังไม่เยอะ ผมประทับใจในแง่ว่าเขารู้และตั้งคำถามได้ ร่วมพูดคุยในเชิงลงลึกได้อย่างมีเหตุผล
เพราะฉะนั้น ผมว่าเรายังมีแสงสว่างอยู่ แต่ต้องมีนโยบายที่ทำให้แสงนั้นสว่างและลุกโชนมากกว่านี้ เช่น ทุกคนที่เกิดมา ไม่ว่าพึ่งเกิดหรือวัยรุ่น จะต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพอย่างเต็มที่ ตรงนี้จริงๆ ถ้าผมจะฝากนโยบายปรับโครงสร้าง เรื่องหนึ่งที่สำคัญคือการดูแลเด็กและเยาวชนเพื่อให้เขาเป็นอนาคตของประเทศได้จริงๆ
ส่วนเรื่องสภาพแวดล้อม เทคโนโลยี การสื่อสาร อินเทอร์เน็ต ก็ควรเอื้อให้เขาสามารถโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพได้ แต่ก็ต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐด้วย เช่น บริการอินเทอร์เน็ตควรจะฟรีในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่มีศักยภาพแต่ขาดโอกาสจะสามารถเข้าถึงได้ และสุดท้ายเขาอาจจะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมบางอย่างได้ในอนาคต
ผมว่ามันมีแสงสว่างตรงนั้นอยู่ แต่เราต้องหาให้เจอและส่งเสริมสนับสนุนเขา ผมเชื่อว่ามันน่าจะทำได้ และต้องทำด้วย