สังคมวิทยาของมิตร: ความเป็นไปได้ของครอบครัวที่ ‘ไร้รักโรแมนติก’

เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์แล้ว ‘ความรักโรแมนติก’ มักเป็นสิ่งที่มนุษย์ให้ความสนใจเป็นลำดับแรกๆ มนุษย์พยายามทำความเข้าใจ นิยาม และตามหาความรักเสมอมาไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน 

ในยุคสมัยใหม่ มโนทัศน์ว่าด้วยความรักโรแมนติกมักมาพร้อมกับความสัมพันธ์ที่มีเพียงฉันกับเธอ (monogamy) ภาพของการแต่งงาน การสร้างครอบครัว มีลูก ความเป็นพ่อแม่ ฯลฯ เสมือนเป็นชีวิตสูตรสำเร็จที่ไม่อาจมีส่วนใดส่วนหนึ่งแยกขาดจากกันได้ กลายเป็นมาตรฐาน บรรทัดฐาน ความปกติ เลยเถิดเป็นแรงกดดันที่ในบางครั้งสร้างตราบาปให้แก่ผู้ที่ไม่ผูกหัวใจไว้กับความโรแมนติกถูกกล่าวหาว่าอาภัพ ผิดปกติ ตายด้าน ฯลฯ

คำถามคือแล้วทำไมเราจะมีชีวิตแบบอื่นไม่ได้?  

เฌโอฟัวย์ เดอ ลากาส์เนอรี (Geoffroy de Lagasnerie) นักปรัชญา-สังคมวิทยาฝ่ายซ้ายแนวหน้าร่วมสมัยชาวฝรั่งเศส ตั้งคำถามถึงประเด็นดังกล่าวในหนังสือของเขา 3: Une aspiration au dehors (สาม: แรงปรารถนานอกกรอบ) ที่บอกเล่าความสัมพันธ์หลักในชีวิตของเขาที่มีร่วมกับอีกสองนักเขียนฝรั่งเศสชื่อดัง ดิดิเย่ เออริบง (Didier Eribon) และ เอดูอารด์ หลุยส์ (Edouard Louis) ที่ไม่ได้ตรงตามคอนเซ็ปต์ความรักโรแมนติกตามขนบแบบยุคสมัยใหม่ พวกเขาไม่ได้ปรารถนาการแต่งงาน การสร้างครอบครัว ลงหลักปักฐาน การมีลูก หรือไม่แม้แต่จะนิยามความสัมพันธ์ของพวกเขาว่าเป็นรักสามเส้าหรือความสัมพันธ์แบบเปิดกว้าง (open relationship) แต่พวกเขา ‘เลือก’ ที่จะเอาความรักโรแมนติกออกนอกสมการแห่งการมีอยู่ของตน อยู่กินกันฉัน ‘มิตร’ (l’amitié) รักและห่วงใยกัน ดูแลกัน ส่งเสริมสนับสนุนกัน ฉลองวาระหรือโอกาสสำคัญของชีวิตร่วมกัน

‘อิสรภาพ’ เป็นสิ่งที่พวกเขายังคงรักษาเอาไว้ได้ในความสัมพันธ์นี้ พวกเขาบริหารจัดการมันจนกลายเป็นคุณูปการมากมายในชีวิต เช่น การมีเวลาและพื้นที่ส่วนตัว ความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาศักยภาพทั้งในเชิงสติปัญญาและจิตวิทยา 

ยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์แบบ ‘มิตร’ ยังทำให้พวกเขาหันย้อนมองวิถีชีวิตในกรอบ มองเห็นอำนาจและกลไกทางสังคมที่ทำงานอย่างแนบเนียนผ่านสถาบันครอบครัว ทำความเข้าใจและตกผลึก จนตั้งคำถามกับสังคมว่ารูปแบบชีวิตที่มี ‘มิตร’ เป็นศูนย์กลางแห่งการดำรงอยู่แบบที่พวกเขาเป็นนี้สามารถเป็นโมเดลทางการเมืองต้านแนวคิดอนุรักษนิยมได้หรือไม่?

สังคมวิทยาว่าด้วย ‘มิตร’

ในวรรณกรรมคลาสสิกของโลกตะวันตก ‘มิตร’ หรือ ‘เพื่อน’ อาจเป็นหัวข้อที่ดูมีความน่าสนใจหรือมีผู้ศึกษาค้นคว้าอยู่บ้าง แต่ก็ยังถือว่าน้อยหากเทียบกับหัวข้อหลักอื่นๆ คำอธิบายเกี่ยวกับมิตรหรือเพื่อนที่พบได้บ่อยๆ คือ มิตรภาพอันเกิดจากความรู้สึกที่บริสุทธิ์ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจ ปราศจากผลประโยชน์หรือเงื่อนไข ซึ่งยังคงเป็นนิยามในอุดมคติของ ‘มิตรแท้-เพื่อนแท้’ ในปัจจุบัน

ยอร์จ ซิมแมล (Georg Simmel) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมันผู้มีความสนใจประเด็นดังกล่าวอธิบายไว้ว่า ‘มิตรภาพ’ ในยุคสมัยใหม่แบ่งออกเป็นสองรูปแบบหลัก

แบบแรก ความสัมพันธ์บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนเชิงรูปธรรม (des échanges concrets) มีเรื่องของผลประโยชน์เป็นตัวตั้ง ทั้งในรูปแบบวัตถุหรือความต้องการ ความสัมพันธ์ลักษณะนี้เห็นชัดมากที่สุดในสังคมที่ทำงาน การค้าขาย ธุรกิจ ฯลฯ ซึ่งความสัมพันธ์รูปแบบนี้มักเป็นไปแบบผิวเผิน ไม่ลึกซึ้ง

แบบที่สอง ความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ยึดเรื่องผลประโยชน์เป็นตัวตั้ง เกิดขึ้นได้ตั้งแต่การพูดคุยทำความรู้จักกันแบบผิวเผิน จนถึงการทำกิจกรรมร่วมกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน มีความสุขที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน ซึ่งมิตรภาพลักษณะนี้นั้นใกล้เคียงกับนิยามของมิตรภาพในอุดมคติที่มีมาตั้งแต่ยุคคลาสสิก 

ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของมิตรทั้งสองแบบนี้น่าจะตรงกับความเข้าใจของผู้คนทั่วไปที่ใช้แบ่งประเภทมิตรหรือเพื่อนของตนในชีวิต แต่เฌโอฟัวย์โต้แย้งว่า อันที่จริงมิตรไม่อาจแบ่งออกเป็นประเภทและมองแยกขาดจากกันได้อย่างชัดเจนเช่นนั้น และคำอธิบายนั้นดูเป็นการตัดสินการแลกเปลี่ยนระหว่างมิตรในเชิงลบจนเกินเหตุ เพราะผลประโยชน์ในบางเรื่องอาจไม่ใช่เรื่องในเชิงลบหรือแสดงออกถึงความไม่จริงใจเสมอไป

ก่อนอื่นใด เฌโอฟัวย์เสนอให้เรายอมรับความจริงที่ว่าไม่มีความสัมพันธ์ใดหรอกที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง การที่เราจะทำความรู้จักกับใครสักคน ย่อมต้องเกิดจากความรู้สึกที่ว่าเราจะได้อะไรจากคนคนนั้น หรือความสัมพันธ์นั้นจะให้อะไรกับเรา เราประเมินอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าผลประโยชน์นั้นอาจไม่ใช่เพียงเรื่องของการเอื้อเฟื้อทางธุรกิจ การงาน การค้า แต่เป็นทางความรู้สึก สติปัญญา ศักยภาพ จิตวิญญาณ หรือแม้แต่ในเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งผลประโยชน์ในเชิงนามธรรมเช่นนี้จะมีผลมากต่อพลวัตของอัตลักษณ์และการก่อร่างสร้างตัวตนสำหรับชีวิตของปัจเจกบุคคลคนหนึ่ง

ในหนังสือ 3: Une aspiration au dehors เฌโอฟัวย์เล่าว่า แต่เดิมตัวเขากับเอดูอารด์ไม่เคยมีความคิดที่ว่าตนจะกลายเป็นนักเขียนได้ โดยเฉพาะเอดูอารด์ผู้เกิดและโตในครอบครัวชนชั้นแรงงานในหม่บ้านเล็กๆ ต่างจังหวัด รายรับทางเดียวของครอบครัวมาจากเงินจากสวัสดิการรัฐ แต่เมื่อทั้งคู่เริ่มคบหาและพัฒนาความสัมพันธ์กับดิดิเย่ ดิดิเย่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองพวกเขา สนับสนุนให้พวกเขาลองเขียนจากเรื่องใกล้ตัวหรือเรื่องที่สนใจ เหมือนที่บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu) เคยสนับสนุนดิดิเย่ลองเขียน 

ทั้งสามคนร่วมกันสร้างบรรยากาศส่งเสริมการเขียนหนังสือ โดยในช่วงที่คนใดคนหนึ่งสนใจหนังสือสักเล่ม อีกสองคนจะพยายามอ่านหนังสือเล่มเดียวกันนั้น จัดสรรเวลาเพื่อมาสรุปประเด็น ถกเถียงแลกเปลี่ยน จนความคิดนั้นแตกยอดไปตามตัวตน ประสบการณ์ และมุมมองของแต่ละคน ซึ่งแน่นอน นอกจากว่ามันจะกลายไปเป็นวัตถุดิบที่แต่ละคนเลือกไปใช้ในงานเขียนของตนแล้ว ตัวตนและศักยภาพของแต่ละคนก็แปรผันและพัฒนาไปด้วยในเวลาเดียวกัน 

หรือแม้แต่ในวันที่คนใดคนหนึ่งตกที่นั่งลำบาก เขาก็จะได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น เช่น ครั้งหนึ่งตอนเอดูอารด์เขียนหนังสือเรื่อง Qui a tué mon père (ใครฆ่าพ่อผม) ไปสักระยะ เขาไปต่อไม่ได้ ปัญหาการเขียนไม่ออกไม่ได้ติดอยู่แค่ในระดับของความคิด แต่แทรกซึมเข้าไปในจิต ลุกลามไปจนเขานอนไม่หลับ เครียด วิตกกังวล ดิดิเย่เข้าช่วยโดยจัดสรรเวลาพูดคุยกับเอดูอารด์ทุกวัน ไม่ได้เป็นการพูดคุยเม้ามอยกันปกติเพื่อสร้างความสบายใจ แต่มีกำหนดระยะเวลาและประเด็นในการคุยกันชัดเจน สม่ำเสมอ เหมือนเป็นคอร์สฟื้นฟูบำบัด 

จนแล้วจนเล่า หนังสือเล่มนั้นของเอดูอารด์ก็กลายเป็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในบรรดางานเขียนทั้งหมดของเขา ทำยอดขายสูงสุด และถูกนำไปดัดแปลงเป็นละครเวทีหลายต่อหลายที่ทั่วโลก     

มองย้อนกลับไปในอดีต เฌโอฟัวย์มองว่าความสัมพันธ์บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนเชิงสัญลักษณ์นี้เป็นหนึ่งในแรงผลักดันในชีวิตให้ทั้งพวกเขาสามคนกลายเป็นนักเขียนฝ่ายซ้ายแนวหน้าของฝรั่งเศสในปัจจุบัน ดิดิเย่ผลิตงานเขียนที่ถอดรื้อให้เห็นถึงพลังของวาทกรรมที่มีผลต่อพฤติกรรมและตัวตนของปัจเจก เฌโอฟัวย์สนใจระบบของอำนาจในโครงสร้างทางสังคมโดยใช้ศาสตร์ของปรัชญาและสังคมวิทยา เอดูอารด์มีความปรารถนาที่จะบ่อนเสาะคุณค่าของวรรณกรรมตามขนบและใช้งานเขียนต่อสู้เพื่อคนชนชั้นแรงงาน ประเด็นเพศวิถี และคนชายขอบ

มิตรภาพที่ส่งเสริมทั้งในระดับกายภาพ สติสัมปชัญญะ และจิตวิญญาณไม่ได้เกิดเพียงเฉพาะกับพวกเขา หรือเป็นข้อเสนอที่เขาพยายามตีแผ่สู่สังคมจากประสบการณ์ตรง แต่มันเกิดขึ้นเสมอมาในประวัติศาสตร์ เฌโอฟัวย์พบว่า ‘มิตร’ เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่มีบทบาทสำคัญมาโดยตลอดและได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในทั้งระดับตัวตนและสังคม

เฌโอฟัวย์ยกตัวอย่างกรณีของ เอดูอารด์ มาเนต์ (Édouard Manet) ที่สานสัมพันธ์ฉันมิตร สนิทสนมกับกลุ่มเพื่อนศิลปินของนักเขียนในยุคสมัยนั้น เช่น สเตฟาน มาลลาร์เม่ (Stéphane Mallarmé) และเอมีล โซล่า (Émile Zola) พวกเขาสนิทกันมาก นัดพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนถกเถียงกันตลอดเวลา ความสัมพันธ์ของพวกเขาก่อร่างสร้างการปฏิวัติวงการศิลปะในนามของอิมเพรสชันนิสม์ (l’mpressionnisme) ที่นำพาภาพวาด งานศิลป์ และวรรณกรรม ออกจากความพยายามเลียนแบบความจริงภายนอกและมุ่งสู่การนำเสนอความจริงเชิงอัตวิสัย อิงกับประสบการณ์ ความรู้สึกนึกคิด และจิตวิทยา มาลลาร์เม่เคยให้สัมภาษณ์ถึงมาเนต์ไว้ว่า

“มาเนต์เปร่งประกายมากตอนเขาแสดงทัศนะเกี่ยวกับงานศิลปะขณะกำลังพูดคุยอยู่กับมิตรสหายคนหนึ่งกลางแสงไฟในสตูดิโอของเขา ตอนนั้นเอง เขาบอกกับอีกคนถึงสิ่งที่เขาสัมผัสได้จากการวาดภาพ จุดที่เขากักเก็บจิตวิญญาณแบบใหม่ไว้ในตัวมัน และแรงขับเหลือล้นที่ผลักให้เขาระบาย และระบาย แบบที่เขาทำ แต่ละครั้งที่เขาเริ่มลงมือ เขาจะเอาหัวมุดลงไปในผลงาน เหมือนคนที่มีแผนการรัดกุมที่สุดที่จะฝึกหัดว่ายน้ำ กระโจนตัวลงไปในน้ำ แม้ดูท่าว่าจะอันตราย หนึ่งในคำพูดประจำของเขาคือ ไม่ควรมีใครหน้าไหนเลยที่วาดวิวทิวทัศน์หรือสิ่งของด้วยวิธีการแบบเดิมๆ ความรู้แบบเดิมๆ สไตล์แบบเดิมๆ (…)”

เรื่องราวที่เป็นแรงบันดาลใจของมาเนต์นี้ยังปรากฏอยู่ในผลงานเขียนของนักเขียนร่วมสมัยอีกหลายคน 

เฉกเช่นเดียวกับ ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) ซีโมน เดอ โบวัวร์ (Simone de Beauvoir) และอัลแบร์ กามูส์ (Albert Camus) ที่ร่วมกันก่อร่างสร้างแนวคิดทางปรัญชาอัตถิภาวนิยม (l’existentialisme) จนแข็งแกร่งและกลายเป็นหนึ่งในแนวความคิดเชิงปรัชญาที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก หรือหากจะยกตัวอย่างใกล้ตัวคนไทยก็อย่างเช่น ปรีดี พนมยงค์ สมัยเป็นนักเรียนกฎหมายทุนในรัฐบาลฝรั่งเศส ที่ร่วมกับ ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี เป็นตัวตั้งตัวตีในการก่อตั้งกลุ่มคณะราษฎร นำไปสู่ปฏิวัติสยาม 2475

เฌโอฟัวย์จึงตั้งข้อสังเกตว่า ในเส้นทางของชีวิตคนคนหนึ่ง ห้วงเวลาที่เขาคนนั้นจะได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตคือช่วงที่อยู่รายล้อมมิตร ถือเป็นห้วงเวลาที่คนคนหนึ่งจะมีอิสระมากที่สุดในการใช้ชีวิต กล้าหาญในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ แต่นั่นก็มักจะเกิดขึ้นขณะหนึ่งของชีวิตเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดสังคมก็จะร้องเรียก (une interpellation) ฉุดดึงให้เราให้กลับเข้าไปอยู่ในระบบครอบครัวด้วยข้ออ้างสารพัด แรงกดดันสารพัน

มิตร VS สถาบันครอบครัว

ครอบครัวทำหน้าที่เป็นอะไรสำหรับคุณ? พื้นที่ปลอดภัย? ความอบอุ่น? ที่พักพิงใจ? 

ในมุมมองของสังคมวิทยา ภายใต้เบื้องลึกของครอบครัวนั้น มนุษย์เรียนรู้และถูกฝึกฝนให้มีชีวิตบนตรรกะของระบบแบบอำนาจนิยม พูดให้ถึงที่สุด ครอบครัวถือเป็นหนึ่งในรากฐานของการบ่มเพาะอุดมการณ์อนุรักษนิยม 

ตัวอย่างหนึ่งที่สังคมวิทยามักจะใช้นำมาอธิบายประเด็นดังกล่าวนี้คือเรื่องเวลา 

สังคมวิทยาเชื่อว่ามนุษย์มีจังหวะเวลาในการใช้ชีวิตที่แตกต่างหลากหลาย แต่เราต่างล้วนแล้วแต่ถูกกำกับให้ต้องอยู่ในจังหวะเวลาเดียวกัน (l’uniformation du temps) ซึ่งเห็นได้ชัดมากในพื้นที่ของครอบครัว

โรลองด์ บาร์ตส์ (Roland Barthes) เป็นหนึ่งในนักคิดที่มีความสนใจประเด็นเรื่องจังหวะเวลาในชีวิตของปัจเจกบุคคล 

ในงานของบาร์ตส์ที่มีชื่อว่า Comment Vivre Ensemble (อยู่ร่วมกันอย่างไร) เขายกตัวอย่างแม่ที่กำลังเดินจูงมือลูก ทั้งคู่มีจุดมุ่งหมายในการเดินไปในที่เดียวกัน ด้วยระยะทางเท่ากัน แต่จังหวะการเดินของแม่เป็นก้าวที่ยาวกว่า เร็วกว่า ในขณะที่ลูกก้าวสั้นกว่า ช้ากว่า แต่เพื่อที่จะเดินไปด้วยกันให้ได้ บางครั้งแม่จึงต้องกระชากลูก โดยอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ภาพนั้นแสดงให้เห็นว่าแม่ไม่ได้เข้าใจว่าแต่ละคนมีจังหวะเวลาในชีวิตแตกต่างกัน

บาร์ตส์วิพากษ์สถาบันครอบครัวว่าเป็นหนึ่งในเงื่อนไขทางสังคมที่กำกับเวลาในชีวิตของปัจเจกในภาพเล็ก ครอบครัวกำหนดให้เราต้องปฏิบัติกิจวัตรประจำวันร่วมกันคนอื่นๆ ตื่นนอน มื้อเช้า มื้อเย็น เข้านอน สร้างวิถีชีวิตที่โน้มเอียงไปในการใช้ชีวิตช่วงเช้า (le matinamisme) หรือในภาพใหญ่ เมื่อถึงวัย เรามักจะถูกกดดันให้มีคู่ แต่งงาน มีลูก กลายเป็นพ่อ-แม่ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

สังคมอุดมคติที่บาร์ตส์ใฝ่ฝันจึงเป็นสังคมที่เอื้อให้แต่ละคนได้ใช้ชีวิตตามจังหวะของตน โดยไม่ได้ถูกบีบให้ดำรงอยู่ในกรอบเวลาเดียวกัน แต่ละคนยังคงมีความสัมพันธ์ต่อกันและกัน เป็นหน่วยหนึ่งของสังคมร่วมกัน บาร์ตส์เรียกว่ามันว่า ‘l’idiorrythmie’

บาร์ตส์ยกวิถีชีวิตของนักบวช (ผู้ใช้ชีวิตสันโดษ) และศาสนสถาน เพื่อแสดงให้เห็นว่ายังมีรูปแบบชีวิตอื่นที่มีจังหวะเวลาเป็นเอกเทศ ไม่ได้อิงกับกำหนดเวลาตามอุดมคติแบบสังคมสมัยใหม่ ทำให้เชื่อว่าเราสามารถอยู่ร่วมโลกกันได้โดยไม่จำเป็นต้องถูกบีบให้ใช้ชีวิตในจังหวะเวลาเดียวกัน

แต่เฌโอฟัวย์ถกว่าตัวอย่างของบาร์ตส์ไม่น่าจะตอบโจทย์สักเท่าไหร่ เพราะมันติดตรงที่ว่ารูปแบบชีวิตอาจทำให้ปัจเจกดำรงอยู่โดยตัดขาดจากคนอื่นๆ และสังคม ถึงที่สุดแล้ววิถีทางในอุดมคติไม่น่าจะนำพาปัจเจกบุคคลสู่ความเปลี่ยวดายหรือความสันโดษ ซึ่งแล้วอะไรล่ะที่เป็นข้อเสนอของเฌโอฟัวย์ที่จะเอามางัดข้อกับบาร์ตส์?

เฌโอฟัวย์ค้นพบว่าวิถีชีวิตที่เขามีร่วมกับเอดูอารด์และดิดิเย่น่าจะเป็นคำตอบสำหรับโจทย์ของบาร์ตส์ เพราะรูปแบบความสัมพันธ์ที่เป็นใจกลางชีวิตของทั้งสามคนนี้อนุญาตให้พวกเขาใช้เวลาตามความถนัดและความพึงพอใจของตน แต่ยังคงสัมพันธ์กันและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม กล่าวคือ พวกเขาไม่ได้ต้องตื่นมาทานมื้อเช้าพร้อมกัน ทานข้าวเย็นพร้อมกัน ตื่นหรือเข้านอนเวลาเดียวกัน ทุกคนต่างใช้เวลาของตัวเอง รับผิดชอบชีวิตตัวเอง เพียงแค่อาจจะมีกติกาหลวมๆ สำหรับช่วงเทศกาลหรือวาระสำคัญที่จะต้องวางกำหนดเวลาร่วมกัน เช่น เลี้ยงฉลองวันเกิด หรือใช้เวลาร่วมกันคริสต์มาส ฯลฯ เพื่อยืนยันว่าความสัมพันธ์ฉันมิตรนี้ไม่ได้เลื่อนลอย มันมีหมุดหมาย เพียงแต่ผ่อนปรนเพื่อให้แต่ละคนได้มีหรือใช้ชีวิตของตน 

ทั้งนี้ก็เพราะคำว่า มิตร/เพื่อน ด้วยตัวมันเอง เป็นคำที่นิยามเปิดกว้าง ไม่มีลำดับขั้น ตั้งอยู่บนความความสัมพันธ์แนวราบ มีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ไม่ได้เป็นสถานะที่เป็นข้อผูกมัดตายตัว ไม่จำเป็นต้องให้รัฐหรือกฏหมายรองรับสถานะ เป็นความสัมพันธ์ที่เราสามารถเลือก พัฒนา ออกแบบ และยุติได้ตามเจตจำนง ซึ่งถือว่าเป็นสถานะที่มีความเป็นประชาธิปไตยในตัวเอง ทำให้เฌโอฟัวย์เข้าใจความคิดของอริสโตเติล (Aristotle) ที่ว่า หากเผด็จการสร้างจากครอบครัว ประชาธิปไตยก็สร้างจากมิตรสหาย 

อีกคำอธิบายหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับตรรกะอำนาจนิยมในสถาบันครอบครัวอยู่ในหนังสือ The Sexual Revolution ของ วิลเลียม ไคช์ (Wilhelm Reich) ที่อธิบายว่ามนุษย์เรียนรู้ลำดับขั้นสูง-ต่ำ การใช้อำนาจตามอำเภอใจ (un pouvoir arbitraire) การยอมรับหรือสยบยอมต่ออำนาจ ผ่านความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว (พ่อ/แม่-ลูก, พี่-น้อง) ซึ่งนี่ไม่ใช่เพียงกลไกที่จัดการกับปัจเจกในเชิงปฏิบัติการ แต่มันแทรกซึมเข้าไปจัดระเบียบสำนึกรู้และจิตวิญญาณอีกด้วย 

อย่างที่ได้กล่าวไว้ ช่วงที่เวลาที่ปัจเจกผู้หนึ่งจะผละตัวจากระบบได้บ้าง มากหรือน้อยก็ตามแต่ คือช่วงวัยรุ่น ช่วงวัยที่คนคนหนึ่งได้อยู่รายล้อมด้วยเพื่อนฝูง มีโอกาสปะทะสังสรรค์กับรูปแบบความสัมพันธ์ที่แตกต่างออกไปจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจในพื้นที่ครอบครัว ได้แลกเปลี่ยน พูดคุย ถกเถียง ก่อร่างสร้างตัวตนในแบบที่เลือก…

อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า ‘วัยรุ่น’ ในความหมายของเฌโอฟัวย์นั้นเป็นไปตามมาตรฐานของสังคมโดยทั่วไปที่ใช้อายุเป็นตัววัด สำหรับเขา ความเป็นวัยรุ่นเป็นเรื่องของรูปแบบการใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ ทัศนคติ ซึ่งจะเกิดกับใครก็ได้ ช่วงวัยใดก็ได้ ตราบเท่าที่ยังมีสำนึกรู้ถึงอิสรภาพของตน กล้าหาญที่จะเลือกทางเดินชีวิตของตน ไม่ติดกับดักวาทกรรมหรือกลไกทางสังคมที่ยัดเยียดบทบาทหน้าที่ให้เรา 

เฌโอฟัวย์ยกตัวอย่างแม่ของเอดูอารด์ที่เอดูอารด์เขียนไว้ในหนังสือ Combats et métamorphoses d’une femme (การต่อสู้และการเปลี่ยนผ่านของผู้หญิงคนหนึ่ง) โดยเล่าว่าเขาไปเจอภาพถ่ายของแม่ตอนสาวๆ ตอนที่ยังไม่ได้แต่งงานกับพ่อ เขาแทบจะไม่เชื่อว่านั่นคือแม่ของเขา เพราะแววตา รอยยิ้ม สีหน้าท่าทาง ดูมีความสุข ผิดกับที่เขาเห็นเสมอมา หน้าบึ้งตึงเพราะทะเลาะกับพ่ออยู่บ่อยๆ เย็นชาเพราะกลัวว่าลูกจะเป็นตุ๊ด หรือแสดงสีหน้าวิตกกังวลว่าเงินที่ได้จากรัฐนั้นหมดก่อนถึงสิ้นเดือน แต่เมื่อแม่เลิกรากับพ่อ แม่ใช้เวลาจัดการกับชีวิตสักพัก ตั้งสติ กลับไปหางานทำ รับผิดชอบเพียงชีวิตตัวเอง มีความรักครั้งใหม่ที่ไม่ได้ต้องคำนึงถึงการลงหลักปักฐาน ไร้แรงกดดันในชีวิตแบบเดิมๆ วันหนึ่ง แม่นัดเอดูอารด์ไปพบหลังจากเริ่มชีวิตใหม่ เอดูอารด์พบว่าแม่เปลี่ยนไปมาก ทั้งคู่ทานอาหารพร้อมกับบทสนทนาเรื่องใหม่ๆ ในชีวิต ความสนใจใหม่ๆ เธอมีเพื่อนฝูง มีคนรักใหม่ มีแววตา รอยยิ้ม สีหน้าท่าทางที่ทำให้เขานึกถึงภาพถ่ายใบนั้นของแม่ และในปัจจุบัน ความสัมพันธ์ของเอดูอารด์และแม่ก็เป็นไปในทางดี ทั้งคู่หลุดพ้นจากสถานะของผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง กลายเป็น ‘มิตร’ ที่เป็นกำลังใจให้กันและสนับสนุนกัน 

เรื่องราวของแม่เอดูอารด์ทำให้เฌโอฟัวย์เห็นถึงธรรมชาติของ ‘มิตร’ ที่ไม่เพียงอาจจะถูกมองว่าเป็นคู่ตรงข้ามกับครอบครัวได้ แต่เอาเข้าจริง มันยังสามารถแทรกซึมเข้าไปได้ในทุกๆ ความสัมพันธ์ได้ แม้แต่ในความสัมพันธ์ของครอบครัวที่ถูกกำกับด้วยตรรกะแบบอำนาจนิยม กล่าวคือ วันหนึ่งเราอาจจะกลายเป็นเพื่อน เป็นมิตรที่ดีของพ่อ-แม่ พี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายายก็ได้ในเชิงปฏิบัติ แม้สถานะที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ 

ความคิดนี้ยิ่งทำให้เฌโอฟัวย์สนใจในเรื่องมิตรสหายมากยิ่งขึ้นไปอีก แถมยังมองเห็นการเมืองในตัวมัน

‘มิตร’ กับตัวตนและการเมือง

อย่างที่ได้อธิบายไว้ ความหลวมโคร่งของสถานะ มิตร/เพื่อน สามารถเว้นช่องว่างให้เราไม่ต้องปิดตัวเองไว้กับเงื่อนไขบางประการที่ถูกเชื่อว่าเป็น ‘ธรรมชาติ’ ‘ความจริงแท้’ ไม่จำเป็นต้องละทิ้งอิสรภาพ ไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งชีวิตแลกอีกชีวิต บริหารอิสรภาพที่มีเพื่อสร้างการเปลี่ยนผ่านแห่งตัวตนในเชิงบวกและสร้างคุณค่าในตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องมีสถานะทางสังคมมารับรอง 

ฟังแล้วแบบนี้ดูดีเชียว แต่เฌโอฟัวย์เข้าใจดีว่าการจะสนับสนุนให้ ‘มิตร’ กลายเป็นหนึ่งในวิถีชีวิตหลักของสังคมไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น เพราะหากเลือกได้ ไม่มีใครหรอกที่อยากจะสูญเสียอิสรภาพในชีวิต ทุกคนต่างรักและห่วงแหนอิสรภาพในชีวิตของตนทั้งนั้น แต่ถึงที่สุด คนเราก็ต้องยอมสละมันทิ้งเพราะอะไร?

เฌโอฟัวย์อธิบายว่านอกเหนือจากแรงกดดันทางสังคมที่เรียกร้องให้เราใช้ชีวิตไปตามบทบาทที่วางไว้แล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ‘นิยามแห่งตัวตน’ กล่าวคือไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนคนหนึ่งที่จะดำรงคงอยู่โดยปราศจากสถานะทางสังคม ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นผู้หญิง อุดมคติของความเป็นหญิงที่จะถูกยอมรับว่าเป็นผู้หญิงเต็มคน คือการเป็นเมียและเป็นแม่ ผู้หญิงหลายคนจึงจินตนาการไม่ออกว่าหากตนไม่อาจเป็นเมียและเป็นแม่ได้ ตัวเองจะพูดกับตัวเองอย่างไร จะบอกกับตัวเองอย่างไร จะตอบคำถามในเชิงอภิปรัชญากับตัวเองได้อย่างไร …เราเป็นใคร คุณค่าในชีวิตของเราคืออะไร หรือแม้แต่เราเกิดมาทำไม… ผู้หญิงหลายคนจึงเลือกที่จะเกาะสถานะทางสังคมนั้นไว้เพื่อเป็นคำนิยามแห่งตัวตน ไม่ให้ตนรู้สึกว่างเปล่า   

ในแง่นี้ เฌโอฟัวย์จึงมีข้อเสนอที่ล้ำหน้ามาก คือสังคมควรทำให้ ‘มิตร’ กลายเป็นสถานะของปัจเจกบุคคลรูปแบบหนึ่งอย่างจริงจังในเชิงอุดมคติและในเชิงปฏิบัติ (ซึ่งแน่นอนว่าไม่ต้องถึงขั้นทำให้มีผลทางกฎหมาย) เราควรมองเห็นแง่บวกของมันและความเป็นไปได้ที่จะยึดมันเป็นความสัมพันธ์หลักในการดำรงชีวิต เฉกเช่นเดียวกับการมีครอบครัว เพราะนอกจากว่ามันอาจจะอีกหนึ่งทางเลือกในชีวิตของอีกหลายคนที่ไม่ได้เลือกหรือไม่ถนัดจะมีชีวิตบนบรรทัดฐานของสังคมแล้ว ในทางการเมือง นี่ยังอาจเป็นความสัมพันธ์บนตรรกะประชาธิปไตยที่จะบ่อนเสาะทำลายใจกลางของอุดมคติอำนาจนิยมในเชิงลึกที่สุดของสังคมก็เป็นได้ 

หรือสำหรับฉัน ถึงที่สุดแล้ว หากชีวิตไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะมีทั้งคนรักหรือเพื่อน เราก็ควรตระหนักรู้ว่าคุณค่าของตัวเรา เราทำมันได้ เราสร้างมันเองได้ เราเป็นผู้นิยามมันได้ ดีกว่ายอมขายวิญญาณแลกสถานะเพียงเพื่อไม่ให้รู้สึกว่างเปล่า แต่กลับต้องมานั่งเสียใจไปทั้งชีวิตกับสิ่งที่ไม่ได้เลือกเองด้วยเจตจำนง

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save