หมอผี สายลับ และ ‘พระศรีอริยเมตไตรยเลนิน’ ในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรัสเซีย

ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อจักรวรรดิรัสเซียล่มสลาย แนวคิดปฏิวัติแพร่กระจายไปทั่วโลก ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนี้ ดินแดนห่างไกลอย่างทิเบตและมองโกเลียกลายเป็นเวทีของการปะทะกันทางอุดมการณ์ ความเชื่อ และภูมิรัฐศาสตร์

ในช่วง ค.ศ. 1890-1917 นับเป็น ‘ยุคเงิน’ (Silver Age) ของวรรณกรรมรัสเซีย กระแสความสนใจที่แพร่หลายในยุคนี้คือปรัชญาเอเชียและตำนานพื้นบ้านของเอเชียกลาง ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ผนวกเข้ากับจักรวรรดิรัสเซียในช่วงทศวรรษ 1870

แม้ยุคเงินจะสิ้นสุดลงพร้อมกับสงครามและการปฏิวัติ แต่ยังคงมีอิทธิพลต่อสังคมปัญญาชนรัสเซียในยุคบอลเชวิค หนึ่งในผู้ที่ได้รับอิทธิพลนี้คือ อเล็กซานเดอร์ บาร์เชนโก (Alexander Barchenko) ผู้เบื่อหน่ายความวุ่นวายหลังการปฏิวัติ และหลงใหลในปรัชญาตะวันออก เขาเชื่อว่าคำตอบของโลกที่สับสนวุ่นวาย คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า ‘ศัมภละ’ หรือ ‘ซัมบาลา’ (Shambhala)

ตามคัมภีร์กาลจักรตันตระของทิเบต ศัมภละคืออาณาจักรแห่งปัญญา เรื่องราวของศัมภละเริ่มต้นในอินเดียเมื่อประมาณ ค.ศ. 1000 คำพยากรณ์ในตำนานศัมภละกล่าวถึงยุคที่คำสอนของพระพุทธเจ้าโคตมเสื่อมลง สาวกของพระองค์แตกแยกกัน ส่วนคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าโคตมอยู่ในดินแดนที่ได้รับการปกป้องด้วยภูเขาสูง มีกษัตริย์ผู้ทรงปรีชาญาณคอยส่งทูตไปยังโลกภายนอก เพื่อสั่งสอนหรือช่วยเหลือผู้ที่แสวงหาคำสอนที่แท้จริง ตำนานอาณาจักรแห่งความลึกลับนี้เต็มไปด้วยความรู้ และกษัตริย์ผู้ทรงปรีชาญาณ ที่จะพามนุษย์กลับเข้าสู่หนทางแห่งการดับทุกข์[1]

บาร์เชนโกได้ผสมเรื่องราวของศัมภละกับแนวคิดของ โจเซฟ อเล็กซานเดอร์ แซ็งต์-อีฟส์ (Joseph Alexandre Saint-Yves, Marquis d’Alveydre) ผู้เขียน The Kingdom of Agarttha: A Journey into the Hollow Earth โดยแซ็งต์-อีฟส์ กล่าวถึง ‘อาการ์ธา’ อาณาจักรที่มีวิทยาการสูงส่ง ซึ่งถูกซ่อนไว้ในหุบเขาในดินแดนเอเชียตอนใน สำหรับบาร์เชนโก นี่คือการยืนยันว่ามีดินแดนที่เต็มไปด้วยความรู้และผู้ชี้นำทางปัญญาที่สามารถตอบคำถามเรื่องจิตวิญญาณได้ ซึ่งโลกตะวันตกขาดสิ่งเหล่านี้ เฉกเช่นประเทศรัสเซียที่กำลังถือกำเนิดขึ้นมาใหม่

บาร์เชนโกเชื่อว่าศัมภละและอาการ์ธาอาจเป็นสถานที่เดียวกัน และเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างสังคมคอมมิวนิสต์ที่หลุดพ้นจากกิเลสทางวัตถุ อย่างไรก็ตาม ในสภาพสังคมรัสเซียหลังการปฏิวัติ ความอยู่รอดสำคัญที่สุด อีกทั้งบาร์เชนโกก็มีภรรยาและลูก ทำให้เขาต้องให้ความสำคัญกับการหาเลี้ยงชีพ หนังสือหรือปรัชญาใดๆ ก็ไม่สำคัญเท่ากับการไม่อดตาย

โอกาสของบาร์เชนโกมาถึงใน ค.ศ. 1919 เขาได้ทำงานสอนหนังสือให้กับเหล่าทหารในช่วงเวลานั้น ต่อมาบาร์เชนโกถูกจับและสอบสวนโดยเชกา (Cheka) หน่วยตำรวจลับชุดแรกของโซเวียต ในข้อหาต่อต้านการปฏิวัติ โดยมี คอนสแตนติน วลาดิมีรอฟ (Konstantin Vladimirov) เป็นผู้สอบสวน

วลาดิมีรอฟสนใจปรัชญาตะวันออกและเคยฟังบรรยายของบาร์เชนโกมาก่อน เขาทำให้ข้อหาต่อต้านการปฏิวัติของบาร์เชนโกเป็นอันตกไป ขณะเดียวกัน ห้องสอบสวนก็เปลี่ยนเป็นหนึ่งในห้องเรียนปรัชญาเร้นลับของบาร์เชนโก วลาดิมีรอฟหลงใหลในปรัชญาตะวันออกและเลื่อมใสในตัวบาร์เชนโกเป็นทุนเดิม จึงสัญญาว่าจะนำเรื่องราวของเมืองลับแลในทิเบต เช่น ศัมภละและอาการ์ธา ไปเสนอต่อผู้บังคับบัญชาของเขา

ผู้บังคับบัญชาของเขาคือ เกล็บ อิวาโนวิช โบกี (Gleb Ivanovich Bokii) ผู้มีบทบาทสำคัญในการเสนอแนวคิดเรื่องค่ายแรงงาน หรือที่รู้จักกันในนามกูลัก (Gulag) เขาเป็นสมาชิกระดับหัวหน้าของเชกา ซึ่งเป็นหน่วยตำรวจลับชุดแรกของโซเวียต และต่อมา เขาก็ทำงานให้กับกรมการราษฎรฝ่ายกิจการภายใน (NKVD) โบกีผู้นี้เองที่จะเป็นผู้นำแนวความคิดของบาร์เชนโกไปปฏิบัติ[2]

ค.ศ. 1920 วลาดิมีร์ เบคเทเรฟ (Vladimir Bekhterev) เชิญบาร์เชนโกเข้าร่วมสถาบันวิจัยสมอง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลบอลเชวิค เป้าหมายของสถาบันคือการพัฒนาเทคนิคสะกดจิต เพื่อปลูกฝังอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ให้กับเยาวชน ‘ชาวโซเวียต’ ที่เกิดและเติบโตหลังการปฏิวัติ

ต่อมา ใน ค.ศ. 1920 นักประสาทวิทยา วลาดิมีร์ เบคเทเรฟ (Vladimir Bekhterev) เชิญบาร์เชนโกเข้าร่วมสถาบันวิจัยสมอง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลบอลเชวิค เป้าหมายของสถาบันคือการพัฒนาเทคนิคสะกดจิต เพื่อปลูกฝังอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ให้กับเยาวชน ‘ชาวโซเวียต’ ที่เกิดและเติบโตหลังการปฏิวัติ บาร์เชนโกทำงานในสถาบันนี้จนถึง ค.ศ. 1925 โบกีก็เรียกตัวเขาไปทำงานที่มอสโก ซึ่งขณะนั้นโบกีดำรงตำแหน่งในหน่วยถอดรหัสลับซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษ และบาร์เชนโกก็ได้งานที่นั่น

ในช่วงเวลาขณะนั้น ความสัมพันธ์ในชีวิตส่วนตัวของโบกีแย่ลง เขามีปัญหากับภรรยาจนต้องหย่าร้าง สิ่งนี้ทำให้โบกี ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับหน้าที่ในการตามล่าและสังหารกลุ่มต่อต้านการปฏิวัติ กลับมาตั้งคำถามกับการกระทำของพรรคบอลเชวิค สภาพจิตใจที่ย่ำแย่ของโบกี ทำให้เขาตัดสินใจศึกษาปรัชญาตะวันออก โดยมีบาร์เชนโกเป็นอาจารย์ ความสัมพันธ์ของทั้งสองสนิทสนมกันมากขึ้น[3] ต่อมาโบกีก็อนุญาตให้บาร์เชนโกบรรยายเกี่ยวกับอาณาจักรลึกลับ ‘ศัมภละ’ และ ‘อาการ์ธา’ ให้แก่ผู้สนใจในหน่วยงานของตน

บาร์เชนโกเสนอว่าทิเบตอาจเป็นแหล่งรวมปัญญาโบราณ ที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือเสริมสร้างระบอบคอมมิวนิสต์ได้ โบกีนำเสนอแนวคิดนี้แก่ จอร์จี้ ชิเชริน (Georgy Chicherin) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหภาพโซเวียต แม้ชิเชรินจะไม่เชื่อเรื่องอาณาจักรลึกลับในทิเบต แต่เขาต้องการลดอิทธิพลของต่างชาติ และปลุกระดมกระแสต่อต้านอาณานิคมในเอเชีย[4] การต่อสู้ทางภูมิรัฐศาสตร์นี้ถูกเรียกว่า เดอะเกรตเกมครั้งที่ 2 (The Second Great Game)[5] ต่อมาปฏิบัติการสำรวจเพื่อหาเมืองศัมภละของบาร์เชนโก ได้รับอนุญาตภายใต้การดูแลของ เซอร์เกย์ บอริซอฟ (Sergei Borisov) นักปฏิวัติชาวออยรัต ผู้ต่อต้านการล่าอาณานิคมของอังกฤษ

แม้แผนการสำรวจเมืองศัมภละจะล้มเหลว โบกีและบาร์เชนโกไม่พบเมืองลึกลับที่พวกเขาต้องการ ถึงกระนั้นแผนการสำรวจของบาร์เชนโกก็เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างโซเวียตและชาวทิเบตภายใต้ความต้องการทำลายอิทธิพลของต่างชาติและขบวนการต่อต้านการปฏิวัติ

การสถาปนาแนวคิดคอมมิวนิสต์ที่ผสมกับศาสนาพุทธแบบทิเบตและมองโกเลีย ทำให้เราเห็นภาพความสัมพันธ์อันซับซ้อนของทิเบตที่มีต่อความคิดคอมมิวนิสต์ แม้ปัจจุบัน ทิเบตจะถูกกดขี่โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ตาม แต่ความสำคัญของแนวคิดที่สหภาพโซเวียตปลูกถ่ายลงไปในทิเบต ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการทิเบตเอกราช และแม้ต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์ทิเบตจะรวมเข้ากับพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1949 สายธารความคิดที่จะผสมผสานมาร์กซิสต์เข้ากับศาสนาพุทธก็ยังไม่จางหายไปในทิเบต

ดังที่ปรากฏในคำสัมภาษณ์ขององค์ทะไลลามะองค์ที่ 14 ที่กล่าวกับนักข่าวว่า

“ระบบเศรษฐกิจของลัทธิมาร์กซ์มีรากฐานมาจากหลักศีลธรรม ในขณะที่ระบบทุนนิยมสนใจเพียงแค่ผลกำไรและความมั่งคั่ง มาร์กซิสม์ให้ความสำคัญกับการกระจายความมั่งคั่งอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงชะตากรรมของผู้ด้อยโอกาสและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ อีกทั้งยังใส่ใจต่อเหยื่อของการแสวงหาผลประโยชน์โดยชนกลุ่มน้อย ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ระบบดังกล่าวจึงเป็นที่น่าสนใจสำหรับข้าพเจ้า และดูเป็นธรรม”[6]

กรณีของบาร์เชนโกและโบกี สะท้อนให้เห็นความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างศาสนา การเมือง และอุดมการณ์ในบริบทของศตวรรษที่ 20 การที่โซเวียตพยายามผสมผสานลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ากับความเชื่อท้องถิ่น แสดงให้เห็นว่าการใช้ศาสนาและวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ของสหภาพโซเวียตนั้น มีลักษณะที่ซับซ้อนกว่าที่เราคิด

(ภาพจากหนังสือ Red Shambhala: Magic, Prophecy, and Geopolitics in the Heart of Asia หน้าที่ 137)

[1] Znamenski, A. (2011). Red Shambhala: Magic, Prophecy, and Geopolitics in the Heart of Asia. Quest Book, 43-44.

[2] Ibid., Page 88-90.

[3] Ibid., Page 91-99

[4] Ibid., Page 92.

[5] เดอะเกรตเกม (The Great Game) คือการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจักรวรรดิอังกฤษและจักรวรรดิรัสเซียในศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเมืองเอเชียกลาง ต่อมา หลังสงครามเย็น ก็เกิดแนวคิด ‘Second Great Game’ ที่ถูกใช้เพื่ออธิบายการต่อสู้ทางภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียกลางหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิรัสเซีย

[6] https://www.theguardian.com/commentisfree/belief/2011/jun/20/dalai-lama-marxist-buddhism

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save