หากใครติดตามข่าวสารในโลกออนไลน์อยู่บ่อยๆ เชื่อว่าคุณต้องเคยผ่านตากับคำว่า ‘มณฑลไท่กั๋ว’ คำเสียดสีที่ใช้เปรียบเปรยประเทศไทยที่ใกล้ชิดกับจีนในทุกมิติ แถมยังมีคนจีน (ที่เป็นคนจีนจริงๆ) จำนวนมากแห่กันเข้ามาตั้งรกรากในไทย ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจนทำให้คนไทยหลายคนได้แต่มองตาปริบๆ
สถานการณ์ดังกล่าวอาจดูผิวเผินเหมือนเรื่องตลกร้าย ทว่าหากพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว เรื่องนี้ส่งผลกระทบกับหลายมิติมากกว่าที่เราคิด ลองนึกภาพถึงพื้นที่ในประเทศไทยที่อุดมไปด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือกิจการของคนจีน ใช้วัตถุดิบหรือแรงงานจีน จบลงที่การส่งเงินไหลเวียนกลับเข้าประเทศจีน ไม่ต่างอะไรกับทัวร์จีนศูนย์เหรียญที่เคยมีการพูดถึงกันมาก่อน
นอกจากเงินแทบไม่กลับเข้าสู่ประเทศไทย เรายังปฏิเสธไม่ได้ว่าสินค้าจากจีนจำนวนมากที่มีราคาถูก มีแบบให้เลือกมากมาย ต่างไหลทะลักเข้ามาตีตลาดไทยไม่หยุดหย่อน จนทำให้ผู้ประกอบการหลายรายล้มหายตายจากไป ซ้ำร้ายการเข้ามาของแพลตฟอร์ม e-commerce จีนเจ้าใหม่อย่าง Temu ที่กำลังเร่งรุกตลาดเมืองไทยอย่างหนักด้วยสินค้าราคาถูกยิ่งซ้ำเติมผู้ประกอบการให้หนักขึ้น โดยเฉพาะกับคนตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่ได้มีสายป่านยาวพอ และในวันที่รัฐบาลและผู้มีอำนาจคล้ายจะไม่เคยเหลียวแลหรือหาทางแก้ปัญหานี้
101 สนทนากับ สาโรจน์ อธิวิทวัส ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Wisible เกี่ยวกับโจทย์ใหญ่ที่ไทยต้องเร่งแก้ ในวันที่วิกฤตเศรษฐกิจซบเซาถูกถาโถมด้วยสินค้าจีนที่ล้นตลาด ภาครัฐควรเร่งแก้ปัญหาอย่างไร ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างไร และผู้บริโภคต้องวางตัวอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้
หมายเหตุ: ถอดความบางส่วนจากรายการ 101 One-on-One Ep.338 – สินค้าจีนทะลัก ศึกหนักเศรษฐกิจไทย กับ สาโรจน์ อธิวิทวัส ออกอากาศวันที่ 27 สิงหาคม 2567
ปัญหาหนึ่งที่เราเจอตอนนี้คือสินค้าราคาถูกจากจีนทะลักเข้ามาขายในประเทศไทยจำนวนมากจนกระทบผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย คุณมองว่าอะไรคือปัจจัยหลัก เรามีช่องโหว่ใดในมาตรการหรือกฎหมายที่ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้น
ต้นเหตุของเรื่องนี้เริ่มจากการที่จีนผลิตสินค้ามากจนเกินความต้องการใช้ในประเทศ พูดง่ายๆ คืออุปทาน (supply) มากกว่าอุปสงค์ (demand) จนต้องหาที่ระบายสินค้า และไทยก็เป็นเป้าหมายหลักของเขาเพราะอยู่ใกล้ อีกทั้งผู้บริโภคจำนวนมากอาจจะชอบซื้อสินค้าราคาถูกโดยไม่ได้ดูว่าเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศใด ที่สำคัญคือรัฐบาลก็ไม่ได้ปกป้องผู้ประกอบการเท่าที่ควรอยู่แล้วด้วย เช่น สมมติว่าเราจะไปทำธุรกิจที่จีนต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนมากมาย แต่รัฐบาลเขาสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นมากกว่าเรา คนไทยที่ไปต้องลุยเอง ต้องดิ้นรนและลำบากเอง ขอใบอนุญาตมากมาย รัฐบาลจีนไม่ช่วย รัฐบาลไทยก็ไม่ช่วยแถมยังเอาผู้ประกอบการต่างชาติมาถล่มเราซ้ำอีก
ถ้าถามเรื่องมาตรการหรือกฎหมาย หลายคนอาจจะโทษเรื่องเขตการค้าเสรี (free trade area: FTA) แต่ถ้าเราไปศึกษาดีๆ FTA ที่เรามีคือระหว่างอาเซียนกับจีนนะครับ พอลองมาดูประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย เราจะเห็นว่าเขามีหลายมาตรการเพื่อปกป้องผู้ประกอบการท้องถิ่นของเขา เช่น การแบน TikTok Shop หรือขึ้นภาษี ถามว่าทำไมเขาทำได้ทั้งที่ก็อยู่ในภูมิภาคอาเซียนเหมือนกัน ก็เพราะ FTA เปิดช่องให้ทุกประเทศสามารถป้องกันหรือปกป้องผู้ประกอบการท้องถิ่นได้อยู่แล้ว
ถ้าขยับมาดูกฎหมายไทยจะเห็นว่าไทยมีกฎหมายเยอะจนเหลือเฟือ หลายคนคงเคยได้ยินแนวคิดเรื่องการลดหรือยกเลิกกฎหมายที่ไม่จำเป็น (regulatory guillotine) ดังนั้น ไม่ใช่ว่าเราไม่มีกฎหมาย ปัญหาของเราอยู่ที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย คือหน่วยงานรัฐหรือองค์กรอิสระที่เป็นผู้คุมกฎและบังคับใช้กฎหมาย (regulator) ที่ยังตามเรื่องนี้ไม่ทันมากกว่า
ตัวอย่างที่ชัดเจนข้อหนึ่งคือเรื่องภาษี กรมสรรพากรจะบอกว่าหลายบริษัทไม่มีตัวตนในไทย เพราะพวกเขาไม่ได้จดทะเบียนในไทย เลยเก็บภาษีรายได้เขาไม่ได้ ในทางกลับกันบริษัทไทยที่ทำทุกอย่างถูกต้องหมดต้องเสียภาษีทั้งภาษีนำเข้าหรือภาษีรายได้นิติบุคคลอีก ถ้าพูดให้ถึงที่สุด เหมือนกับว่าในเมืองไทย คนที่ทำดีมีชีวิตลำบาก ส่วนคนที่ทำไม่ถูกต้องกลับมีชีวิตที่สบายกว่า
ถ้าปัญหาอยู่ที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย อะไรทำให้เราแก้ปัญหาไม่ได้
ผมว่ามันอธิบายยากอยู่นะ (หัวเราะ) เราแบ่งกลุ่มได้สองแบบคือ กลุ่มที่ไม่รู้จริงๆ กับกลุ่มที่แกล้งไม่รู้
ตัวอย่างกรณีหมูเถื่อนเมื่อปีที่แล้ว ที่มีการลักลอบนำเข้าหมูจากต่างประเทศเข้ามา ลองนึกภาพว่าสิ่งนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ (physical product) ที่เข้ามาเป็นตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ผ่านทางท่าเรือ แล้วเข้ามามากถึงร้อยละ 25 ของหมูทั้งตลาด เวลาไปกินก๋วยเตี๋ยว 1 ใน 4 ชามจะเป็นหมูจากต่างประเทศ เท่ากับว่าเวลาเรากินก๋วยเตี๋ยวเราไม่ได้ช่วยอุดหนุนผู้ประกอบการไทย แต่ไปช่วยผู้ประกอบการในบราซิลหรือเม็กซิโกแทน
การนำเข้าเยอะขนาดหลายพันตู้แบบนี้มีคนเกี่ยวข้องกี่คน ผู้บังคับใช้กฎหมายจะไม่รู้เลยเหรอว่าเกิดเรื่องนี้ กรณีนี้ก็ไม่ต่างจากกรณีที่สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาในไทยหรอก ทำให้คนไทยจนลงและคนไม่กี่คนรวยขึ้น
คุณคิดว่าภาครัฐหรือผู้มีอำนาจควรมีแนวทางอย่างไรเพื่อจัดการกับปัญหานี้
ภาครัฐเป็นตัวละครหลัก เพราะเป็นคนที่มีอำนาจออกและบังคับใช้กฎหมาย
ประการแรกเราควรไปดูว่าประเทศอื่นเขาทำอย่างไร เช่น อินโดนีเซียขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทหรือการใช้มาตรฐานความปลอดภัย บางทีเราก็เจอว่าสินค้าที่นำเข้ามามีสารพิษ มีโลหะหนัก แต่ผู้บริโภคไทยก็มองข้ามเพราะคิดว่าถ้ามันวางขายได้ก็แปลว่าดีและมีคุณภาพ ซึ่งไม่ใช่ ช้อนบางร้านปนเปื้อนโลหะหนัก เครื่องสำอางบางยี่ห้อถ้าไปตรวจก็ไม่รู้จะเจออะไรบ้าง ตรงนี้สำคัญและเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างมาก เราต้องตรวจสอบคุณภาพสินค้าให้มากขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย
ประการที่สอง คือการมีมาตรการต่างๆ ทั้งมาตรการภาษี (tariff barrier) และที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barrier) ซึ่งเป็นวิธีที่ทุกประเทศในโลกจะใช้เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมท้องถิ่นของตนเองเสมอ หลายประเทศก็ทั้งขึ้นภาษีหรือกำหนดโควตานำเข้า การขอใบอนุญาตต่างๆ เพื่อปกป้องผู้ประกอบการท้องถิ่น ซึ่ง FTA รวมไปถึงองค์การการค้าโลก (World Trade Organisation: WTO) เปิดช่องให้สามารถทำได้อยู่แล้ว
ประการสุดท้าย คือเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property: IP) ตัวอย่างคือถ้าเราเคยดูรายการ Shark Tank ของสหรัฐฯ ที่เปิดให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) มานำเสนอธุรกิจของตัวเองเพื่อขอเงินลงทุน มีอยู่เทปหนึ่งที่ผู้ประกอบการมานำเสนอเก้าอี้ที่เหมือนเก้าอี้นั่งซักผ้าธรรมดา แต่จะช่วยปรับท่านั่งการขับถ่ายให้สะดวกขึ้น เราเลยเรียกเก้าอี้นี้ว่า squatty potty โดยมีงานวิจัยทางการแพทย์สนับสนุนด้วยว่าเก้าอี้นี้ทำให้การขับถ่ายดีขึ้นจริง ซึ่งเขาก็ถูกถามว่าเก้าอี้แบบนี้อาจจะโดนจีนแกะโมเดลและลอกเลียนแบบได้ง่ายมาก แล้วผู้ประกอบการจะมีวิธีป้องกันยังไงไม่ให้สินค้าราคาถูกมาตัดราคาเขา คำตอบคือเก้าอี้นี้ได้รับการจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว เอามาโชว์ในรายการเลย นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ปกป้องสินค้าจากการโดนลอกเลียนแบบได้

ตัวอย่างสามข้อที่คุณว่ามาอาจจะช่วยแก้ปัญหาสินค้าราคาถูกและช่วยเหลือผู้ประกอบการได้ แต่ในมุมผู้บริโภค พวกเขาอาจพลาดโอกาสในการซื้อสินค้าราคาถูกไป เราจะมีแนวทางช่วยเหลือผู้บริโภคอย่างไรได้บ้างไหม
ในมุมผู้บริโภค ใครๆ ก็อยากซื้อสินค้าราคาถูก แต่ภาครัฐจะมองแบบนั้นไม่ได้ เพราะถ้าปล่อยให้เกิดสินค้าราคาถูกล้นตลาด สุดท้ายผลกระทบก็จะตกอยู่กับผู้บริโภคอยู่ดี ลองนึกภาพนะว่าถ้าผู้ประกอบการไทยคิดค้นนวัตกรรมอย่างหนึ่งขึ้นมา ต้องทำการวิจัยและพัฒนา (R&D) ตั้งเท่าไหร่ แต่จู่ๆ โดนแกะโมเดลไปง่ายๆ หรือทำการ reverse engineer ขึ้นมาแข่ง มันก็ไม่ได้ เลยต้องมีเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อปกป้องคนเหล่านี้ด้วย
เรื่องที่เคยเป็นประเด็นอย่างชามตราไก่ที่โดนของราคาถูกจากจีนลอกเลียนแบบ ที่จริงเขาจดสิทธิบัตรและมี GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ geographical indications คือเครื่องหมายที่ใช้กับสินค้าที่มาจากแหล่งผลิตที่เฉพาะเจาะจง) ปกป้องอีกชั้น คือใช้วัสดุที่มีเอกลักษณ์เฉพาะพื้นถิ่นของลำปาง แต่ถามว่าในทางปฏิบัติยากไหม ก็อาจจะยุ่งยากนิดหนึ่ง เพราะต้องยื่นฟ้องศาลทรัพย์สินทางปัญญา กว่าจะไกล่เกลี่ยอีก ถ้าเรายกเครื่องกระบวนการนี้ได้ก็จะเป็นวิธีหนึ่งในการปกป้องผู้ประกอบการเช่นกัน โดยเฉพาะคนที่มีสิทธิบัตรคุ้มครองอยู่
เหมือนเรายืนอยู่บนทางสองแพร่ง ในมุมหนึ่งผู้บริโภคย่อมต้องการสินค้าราคาถูกและคุ้มค่า แต่เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย เรามีวิธีรักษาสมดุลระหว่างสองเรื่องนี้ไหม
ผมคิดว่าคนไทยไม่ค่อยชาตินิยมเท่าไหร่ อย่างคนญี่ปุ่นต่อให้ของแพงกว่าแต่ถ้าเป็นของท้องถิ่นเขาก็จะใช้ เรื่องนี้ผู้บริโภคไม่ผิดเพราะบังคับใครไม่ได้
ประเด็นคือรัฐไม่ควรปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น คนไทยไม่ควรซื้อชามตราไก่ได้ในราคา 5 บาท รัฐต้องป้องกันเรื่องนี้ เพราะรัฐเป็นคนเดียวที่ออกและบังคับใช้กฎหมายได้
ท่ามกลางสถานการณ์สินค้าราคาถูกจากจีนล้นทะลักตลาด ผู้ประกอบการหรือภาคธุรกิจควรมีวิธีปรับตัวอย่างไร
เราต้องแบ่งผู้ประกอบการไทยออกเป็นสองส่วน เวลาพูดถึงคำนี้คนมักถึง trader หรือ seller คือคนที่นำของเข้ามาขายหรือซื้อมาขายไปโดยบวกกำไรนิดหน่อย ไม่ได้เพิ่มมูลค่า (value added) ให้สินค้าหรือมีไม่มากนัก ผมว่ากลุ่มนี้คือกลุ่มที่ต้องปรับตัว
ประเด็นที่น่าสนใจคือ สินค้าบางประเภทไม่ใช่สินค้าที่เราจะสามารถสู้จีนได้อยู่แล้ว ในทางกลับกันก็มีสินค้าบางประเภทที่จีนสู้เราไม่ได้ เช่น อาหาร เครื่องสำอาง อาหารเสริม คนก็ชอบมาซื้อที่ไทยหรือฮ่องกงมากกว่า หรืออย่างการท่องเที่ยว ทะเลไทยสวยมาก จีนลอกทะเลเราไม่ได้อยู่แล้ว หรือผลไม้ไทยก็ด้วย ของพวกนี้เราได้เปรียบเขา เพราะฉะนั้นถ้าจะต้องเลือกเน้นที่อะไรสักอย่างหนึ่ง เราควรเน้นเรื่องนี้มากกว่า
แล้วรัฐบาลไทยจะช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการไทยอย่างไร
ไม่ต้องถึงขนาดให้ผู้ประกอบการไทยได้เปรียบก็ได้ แต่ขอแค่ให้มันยุติธรรมก็ดีใจแล้ว สมมตินี่คือกีฬาแข่งดำน้ำ ถ้าอยู่ใต้น้ำคือขาดทุน อยู่ผิวน้ำคือเท่าทุน และเหนือน้ำคือกำไร แต่ผมดำน้ำได้เป็นสิบปี แล้วแบบนี้จะแข่งอย่างไร เพราะมันเป็นการทุ่มตลาด (dumping)
ถ้าจะเอาให้แฟร์จริง เราควรพิจารณาเลยว่าเราอยากสร้างหรือปกป้องอุตสาหกรรมไหน อาจจะเป็นภาคอุตสาหกรรมที่เราอ่อนแอหรือยังไม่พร้อมมากก่อน ทำเหมือนที่อินโดนีเซียทำ ระหว่างนี้เราก็ไปอัปสกิลหรือรีสกิลแล้วย้ายเข้ามาในภาคส่วนที่เราได้เปรียบ เช่น เครื่องสำอาง อาหารเสริม แล้วจดสิทธิบัตรเพื่อใช้เรื่องทรัพย์สินทางปัญญาปกป้องอีกชั้นหนึ่ง

หลายประเทศก็เจอปัญหาสินค้าจีนล้นตลาด โดยเฉพาะในแถบอาเซียน คุณมองว่าประเทศไหนมีโมเดลจัดการเรื่องนี้ที่น่าสนใจหรือประสบความสำเร็จในการช่วยบรรเทาปัญหาบ้าง
เราต้องหยิบมาตรการของหลายประเทศมายำรวมกัน เพราะแต่ละประเทศมีบริบทไม่เหมือนกัน ที่จริงต้องพิจารณาด้วยว่าไทยเราต้องพึ่งจีนเยอะ ทั้งเรื่องนักท่องเที่ยวหรือสินค้าส่งออก จะบุ่มบ่ามทำอะไรให้เขาไม่พอใจก็คงไม่ได้ ต้องมีศิลปะ ไม่แรงแต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ทำอะไร แต่จะไปเทรุนแรงเหมือนประเทศอื่นที่เขาไม่ได้พึ่งพาจีนเท่าเราก็คงไม่ได้
ตัวอย่างใกล้เราที่ประสบความสำเร็จคืออินโดนีเซีย เพราะแพลตฟอร์ม e-commerce เบอร์ต้นๆ ในประเทศเขาเป็นของท้องถิ่น ที่ไทยเองก็เคยมีแพลตฟอร์ม e-commerce เจ้าใหญ่เหมือนกันนะ แต่ก็ล้มหายตายจากไปการทุ่มตลาดนี่แหละ พอขาดทุนเป็นสิบปีใครจะไปทำไหว ยิ่งสตาร์ตอัปยิ่งไม่ต้องพูดถึง เงินทุนเขาน้อยกว่าเยอะ แต่อย่างบางแพลตฟอร์ม เช่น Knock Knock ที่ขายเฟอร์นิเจอร์ก็ยังพอไปได้ แต่ถ้าขายทุกอย่างแบบ Shopee Lazada น่าจะยาก และไม่ใช่จุดแข็งของเราด้วย เราอาจจะมองไปที่สินค้าที่เราได้เปรียบและทำได้ดีก่อนดีกว่าและรัฐควรเข้ามาสนับสนุนตรงนี้และใส่ความได้เปรียบลงไปให้ผู้ประกอบการไทยด้วย
ผมขอยกตัวอย่าง TSMC (บริษัทผลิตชิปที่เล็กที่สุดในโลก) ของไต้หวัน รัฐบาลเป็นคนทำให้เกิดขึ้น เขาใส่เงินเข้าไปครึ่งหนึ่งของเงินลงทุนตั้งต้น (initial capital) ที่ต้องใช้ในช่วงก่อตั้งและไปขอให้เศรษฐีในประเทศมาร่วมลงเงินกัน คิดเป็นร้อยละ 25 ส่วนอีกร้อยละ 25 มาจาก know how ของต่างประเทศที่ทำเรื่องนี้เก่ง
ตอนนี้ระบบนิเวศของสตาร์ตอัปไทยเป็นอย่างไร มีอุปสรรคฉุดรั้งอะไรที่ทำให้เรายังไปได้ไม่ไกลหรือพัฒนาให้มีเอกลักษณ์ได้
สตาร์ตอัปไทยเคยดีกว่านี้ ทศวรรษที่แล้ววงการสตาร์ตอัปไทยทั้งคึกคักและเฟื่องฟู แต่ก็ค่อยๆ ตกลงเรื่อยๆ
เวลามีงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ต่างประเทศ พวกนักลงทุนจะชอบบอกว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่กำลังเติบโตเร็วที่สุดในโลก มันควรเป็นเวลาของเรา แต่พวกเขาหมายถึงสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม แล้วข้ามไปฟิลิปปินส์เลย ไทยหายไปจากจอเรดาร์
ถามว่าอะไรที่ฉุดรั้งเราไว้ ผมคิดว่าคือปัญหาเดิมๆ คน เงิน และโอกาส ตอนนี้เด็กรุ่นใหม่อยากเป็น content creator กันมากมาย แต่ก็อาจจะเพราะโลกที่เปลี่ยนไปด้วย ทำให้เราไม่มีคนที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัลสักเท่าไหร่ด้วย และทุกวันนี้เราก็ไม่เชื่อว่าสตาร์ตอัปไทยจะเวิร์กได้
การมีความเชื่ออย่างเดียวคงไม่พอ เราต้องมีวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ด้วย อย่างกรณี TSMC ภาครัฐเขาเชื่อและกล้าลงทุน เงินที่เขายอมเสี่ยงลงทุนไปเมื่อสามสิบปีที่แล้วมาตอนนี้คิดเป็นประมาณสองหมื่นล้านบาทเองนะ ไม่ถึงร้อยละ 5 ที่ใช้กับดิจิทัลวอลเล็ตด้วยซ้ำ
อีกประเด็นหนึ่งคือเรื่อง credit term ที่เหมือนคนตัวใหญ่รังแกคนตัวเล็ก คนทำตรงนี้จะรู้ว่าแม้จะเขียน credit term 30 วัน แต่จริงๆ คือได้เงินช้ากว่านั้น บางทีไปติดต่อแผนกบัญชีก็ไม่ทัน ซึ่งแปลกมาก เพราะจริงๆ เรามีแนวปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ที่ระบุว่า ต้องจ่ายเงินไม่เกิน 45 วัน ไม่เช่นนั้นจะโดนปรับร้อยละ 10 ของรายได้ในปีนั้น ซึ่งเป็นโทษที่แรงมาก แต่ตั้งแต่เริ่มมีกฎหมายนี้มาตั้งแต่ปี 2560 ไม่เคยลงโทษรายไหนเลย แล้ว SMEs หรือสตาร์ตอัปกี่เจ้าแล้วที่โดนดึงเงินไปเกิน 45 วัน
คุณมองอนาคตข้างหน้าต่อไปอย่างไรในวิกฤตเช่นนี้ ทุกภาคส่วนจะอยู่ร่วมกันอย่างไร ทั้งภาครัฐ ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค
ในวิกฤตมีโอกาส ไทยพึ่งจีนเยอะ คนไทยส่วนใหญ่ก็มีเชื้อสายจีน มีญาติเป็นคนจีน ดังนั้น ผมคิดว่ากลยุทธ์ของเราควรเป็นการอยู่ร่วมกับจีนมากกว่า ยิ่งตอนนี้ที่มีสงครามการค้าด้วย ไทยไม่ได้ไปทะเลาะกับเขา เราเป็นเซฟโซนได้ ถ้าสินค้าจีนโดนกีดกัน เราอาจจะใช้โอกาสนี้และใช้ช่องทางของกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (rule of origin) ได้ไหม คือการกำหนดว่าถ้าสินค้าที่ผลิตนั้นใช้วัตถุดิบและแรงงานในประเทศเข้าเกณฑ์ที่กำหนดจะถือเป็นสินค้าของประเทศนั้นไปเลย
ตัวอย่างเช่นการขับรถพวงมาลัยขวา มีไม่กี่ประเทศในโลกที่ขับพวงมาลัยขวาเหมือนเรา ถ้าเราจะใช้ช่องทางทำการส่งออกและใช้กฎดังกล่าวให้สินค้ากลายเป็นสินค้าไทย แบบนี้ก็ไม่โดนต่อต้านแล้ว เราทำตัวเหมือนเกตเวย์ เป็นทางอ้อมให้เขา ก็อาจจะเป็นตำแหน่งที่เหมาะสม
ทุกภาคส่วนต้องอยู่อย่างระมัดระวัง ผู้ประกอบการก็ต้องถามตัวเองว่าจีนทำสินค้าแบบของเราได้ไหม ถ้าทำได้ จะมีอะไรปกป้องสินค้าของเราได้บ้าง หรือขยับไปดูสินค้าที่สามารถจดสิทธิบัตรได้ ส่วนภาครัฐก็ต้องใช้ฝีมือและศิลปะในการบริหารประเทศต่อไปเช่นกัน