คำว่า ‘โศกาสาไถย’ หรือ sadfishing ในภาษาอังกฤษ ถือได้ว่าเป็นคำที่แสดงถึง ‘ยุคสมัย’ แบบหนึ่งได้เลย เพราะคำในภาษาหนึ่งๆ นั้น เกิดขึ้นไม่ได้หรอกนะครับ ถ้าไม่ได้มีที่มาจากสิ่งที่มีอยู่จริงเสียก่อน
ในกรณีของคำว่า ‘โศกาสาไถย’ ในภาษาไทยนั้น เพจ Rock Man ให้ข้อมูลว่าเป็นศัพท์บัญญัติใหม่ จากพจนานุกรมศัพท์นิเทศศาสตร์ร่วมสมัย โดยราชบัณฑิตยสภา และดูจะเป็นหนึ่งใน ‘ศัพท์บัญญัติ’ ไม่กี่คำ ที่ได้รับการตอบรับในแง่บวกจากผู้ใช้อย่างกว้างขวางหลากหลายแทบจะในทันที
ย้อนกลับไปดูคำว่า sadfishing ที่เป็นต้นรากของคำว่า ‘โศกาสาไถย’ เราจะพบคำอธิบายจากบทความใน Independent ว่า นักข่าวชื่อ รีเบคกา รี้ด (Rebecca Reid) คิดค้นคำนี้ขึ้นมาในปี 2019 เพื่อใช้เรียกอาการโศกีโศกาของ เคนดัลล์ เจนเนอร์ (Kendall Jenner) ที่ดูจะฟูมฟายเกินเหตุกับสิวที่ขึ้นบนใบหน้าของเธอ และโพสต์ความเศร้าดังกล่าวบนโซเชียลมีเดีย แต่รี้ดบอกว่าคงจะเป็นแค่ความเศร้าทางการตลาดเท่านั้นเอง เพราะสุดท้ายแล้วมันกลายเป็นแผนการตลาดเพื่อโฆษณาเครื่องสำอางแบรนด์หนึ่งที่อ้างว่าช่วยลดสิวได้
รี้ดพยายามคิดหา ‘คำเรียก’ อาการ ‘เศร้าปลอมๆ’ นี้อยู่พักหนึ่ง และได้ตั้งชื่อมันว่า sadfishing เธอถึงขั้นเคยทวีตว่าคิดคำนี้ขึ้นมาเพื่อหมายจะวิพากษ์วิจารณ์ ‘คนดัง’ (celeb) ที่จงใจให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ แต่สุดท้าย คำแต่ละคำก็มีชีวิตของมัน คำว่า sadfishing ถูกนำไปใช้ในความหมายที่กว้างขึ้น นั่นคือ ‘พฤติกรรม’ การโพสต์หรือแชร์เนื้อหาที่มักเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องปรับทุกข์ ความกังวล หรือสภาวะทางอารมณ์ด้านลบ ทว่าเป้าหมายแท้จริงที่ซ่อนอยู่ ไม่ใช่เพื่อระบายความทุกข์ แต่เพื่อ ‘เรียกร้องความสนใจ’ ความเห็นอกเห็นใจ หรือเรียกร้องให้คนอื่นมามีปฏิสัมพันธ์ด้วย มากกว่าจะอยากได้ความช่วยเหลือ หรืออยากแก้ปัญหาจริงๆ
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถึงจะมีทุกข์จริงๆ แต่ถ้ามีคนชี้หนทางพ้นทุกข์ให้ – ก็ขอไม่เดินไปพ้นจากทุกข์นั้น แต่ยังจะจมปลักเกลือกกลั้วกับทุกข์นั้นอยู่ เพราะเห็นว่าการทำเช่นนี้เรียกร้องความสนใจจากคนอื่นได้ดีกว่า พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจึงมักเป็นการนำเสนอปัญหาหรือความรู้สึกเหล่านั้นแบบ ‘เกินจริง’ หรือมีอาการ ‘ดราม่า’ มากกว่าที่พึงเป็น เพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นให้ได้มากที่สุด และเวลามีคนมาแสดงความเห็นใจหรือชี้ให้เห็นวิธีแก้ปัญหา ก็จะตอกย้ำอยู่แต่กับความทุกข์ยากของตัวเอง ไม่ยอมเดินหน้าไปแก้ปัญหาเสียที เรียกว่าไม่ ‘พยายาม’ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังก็ว่าได้
จะเห็นได้ว่า ‘โศกาสาไถย’ ในความหมายใหม่นี้ ได้ ‘ขยาย’ ออกจากความหมายแบบเดิมของรี้ด คล้ายๆ กับทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ที่ตอนแรกเป็นทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ แล้วตอนหลังกลายเป็นทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป โศกาสาไถยก็เช่นเดียวกัน จากตอนแรกที่หมายถึงคนดังแสร้งเศร้าเพื่อผลประโยชน์ ต่อมาก็กลายเป็นใครก็ได้ที่แสร้งเศร้าเพื่อเรียกร้องความสนใจ
เรื่องนี้อาจฟังดูเหมือนไร้สาระ บางคนบอกว่า – อย่าไปสนใจเสียก็สิ้นเรื่อง แต่แท้จริงแล้ว ‘ราก’ ของปัญหา ‘โศกาสาไถย’ นี้ ฝังลึกอยู่ในวิธีมีชีวิตของคนในสังคมสมัยใหม่หลายมิติเลยนะครับ ถึงขั้นมีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังหลายงาน โดยเฉพาะในมิติทางจิตวิทยา
งานวิจัยหนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจมาก เป็นการศึกษาการใช้งานโซเชียลมีเดียของวัยรุ่นชาวอิหร่าน 345 คน งานนี้ชื่อว่า Adolescent sadfishing on social media: anxiety, depression, attention seeking, and lack of perceived social support as potential contributors โดย Reza Shabahang, Hyejin Shim, Mara S. Aruguete และ Ágnes Zsila ตีพิมพ์ในวารสารออนไลน์ชื่อ BMC Psychology
เท่าที่อ่านดู ไม่มีตรงไหนอธิบายว่าทำไมเจาะจงไปทำวิจัยกับวัยรุ่นอิหร่าน แต่เข้าใจว่าผู้วิจัยน่าจะเป็นชาวอิหร่าน จึงเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบนั้น แม้ฟังดูเหมือนเป็นสังคมที่มีลักษณะเฉพาะ แต่ผมคิดว่าผลการวิจัยมีความเป็นสากลไม่น้อย โดยงานนี้พบว่า วัยรุ่นที่มีอาการวิตกกังวล (anxious) และซึมเศร้า (depressed) มักจะแสดงพฤติกรรม ‘เรียกร้องความสนใจ’ ได้หลายวิธี แต่วิธีที่พบมากที่สุด คือ ‘โศกาสาไถย’ นี่แหละครับ
สำหรับผม คำว่า ‘โศกาสาไถย’ ในภาษาไทยนั้น อาจเป็นคำที่ ‘แรง’ และมีลักษณะชี้นำให้เข้าใจผิด (misleading) เพราะคำว่า ‘สาไถย’ ของเรา แม้เดิมทีจะหมายถึงการแสร้งทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด แต่ด้วยเสียงของคำและการใช้งานที่ถูกจับไปเข้าคู่กับคำว่ามารยา จนกลายเป็น ‘มารยาสาไถย’ ทำให้มักกลายเป็น ‘คำด่า’ ที่มีนัยเชิงลบและการประณามปะปนอยู่ด้วย
‘โศกาสาไถย’ จึงคล้ายเป็นการ ‘ด่าว่า’ ผู้ที่แสดงอาการ sadfishing ซึ่งในบางกรณี – ถ้าเป็นความจงใจจะหลอกลวงจริงๆ ก็น่าด่าอยู่นะครับ แต่ในหลายกรณี – อาการ sadfishing ไม่ใช่อะไรเลย นอกจากการ ‘ส่งสัญญาณ’ เพื่อขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
มีอีกงานวิจัยหนึ่ง ชื่อ Denial, Attention-Seeking, and Posting Online While Intoxicated: Three Key Predictors of Collegiate Sadfishing ซึ่งทำวิจัยในกลุ่มนักศึกษา งานนี้บอกว่า ‘อาการ’ sadfishing คือพฤติกรรมที่พยายามปรับตัวต่อสภาพแวดล้อม แต่ยังปรับตัวไม่ได้ดีพอ (maladaptive behavior) เช่น กรณีสิวขึ้นบนใบหน้า วัยรุ่นทั่วไปอาจถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ เพราะสิวขึ้นไม่ใช่แค่ต่อมไขมันอุดตันเท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงสถานภาพในสังคม วาทกรรมเรื่องสุขอนามัย การยอมรับของเพื่อน ไล่ไปจนถึงการมีคู่หรือดึงดูดใจเพศตรงข้ามด้วยซ้ำ กระนั้น คนที่รับมือกับสิวได้ อาจมองว่าเป็นแค่ ‘ปัญหาสิวๆ’ และอาจมีวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสม แต่คนที่รับมือไม่ได้ (เช่นเป็นสิวซ้ำซาก) อาจอยากแสวงหาความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งถ้าหยุดอยู่แค่นั้นก็ไม่น่าเป็นปัญหามากเท่าไหร่ แต่ในหลายกรณี พอเริ่มได้รับความเห็นอกเห็นใจแล้วก็เกิดอาการ ‘เสพติด’ คือแทนที่จะหาวิธีรักษาสิว ก็กลับเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้าย การักษาสภาพ ‘สิวเขรอะ’ เอาไว้ อาจเป็นทางออกของคนคนนั้นไปเลยก็เป็นได้ ถือได้ว่าเป็นภาพด้านกลับกับกรณีของ เคนดัลล์ เจนเนอร์ แต่เข้าข่าย ‘โศกาสาไถย’ เหมือนกัน
ยิ่งในโลกออนไลน์ การเรียกร้องความสนใจในลักษณะที่ว่ามายิ่งหนัก เพราะสังคมออนไลน์ทำให้คนรู้สึกว่าต้อง ‘แข่งขัน’ เพื่อให้ได้รับความสนใจ โพสต์ที่แสดงความทุกข์มากกว่า มักได้รับการ ‘ตอบสนอง’ ในเชิงปลอบใจมากกว่าโพสต์ที่บอกเล่าเรื่องราวทั่วไป คนที่รู้สึกว่าตัวเอง ‘ขาด’ การสนับสนุนทางอารมณ์ในชีวิตจริง จึงอาจเริ่มใช้โซเชียลมีเดียในลักษณะนี้เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจ เพราะมันง่าย และเข้าถึงได้ตลอดเวลา แถมยังมี ‘คนหน้าใหม่’ เข้ามาปลอบได้เรื่อยๆ ไม่รู้จบด้วย
ลักษณะแบบนี้จะทำให้ระบบให้รางวัลในสมอง (reward system) ทำงาน กระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทที่ทำให้ ‘รู้สึกดี’ หรือพึงพอใจ และถ้าในชีวิตจริงขาดคนใกล้ชิดให้ระบายอารมณ์ความรู้สึก ก็อาจเกิดความรู้สึกใกล้ชิดกับคนทางโซเชียลมีเดียที่มาปลอบโยน จนกลายเป็นความผูกพันทางอารมณ์ไปเลยก็ได้
และเมื่อเป็นอย่างนี้ แทนที่จะมุ่งหน้าหาทางแก้ทุกข์ (ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก – เช่นการรักษาสิวอาจต้องใช้เงินทองและเวลา) การรักษา ‘สภาพทุกข์’ เอาไว้ เพื่อเรียกร้องความสนใจแบบ ‘สำเร็จรูป’ (instantly) จึงอาจง่ายกว่ามาก
sadfishing จึงเกี่ยวข้องอย่างมากกับ ‘ความเหงา’ (loneliness) ในสังคมยุคใหม่ โดยเฉพาะสังคมที่เชื่อมต่อกันผ่านเทคโนโลยีและปฏิสัมพันธ์ออนไลน์เป็นหลัก ที่กลับทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้น เพราะความสัมพันธ์ที่ว่ามักไม่ลึกซึ้งพอที่จะทดแทนความสัมพันธ์แบบพบหน้ากัน สัมผัสเนื้อตัวกันก็ไม่ได้ ที่สำคัญ ความเร่งรีบของสภาพสังคมปัจจุบัน ทำให้เราขาดเวลาที่จะ ‘ฟูมฟัก’ (nurture) ความสัมพันธ์ต่างๆ ความเหงาจึงเกิดขึ้น และ sadfishing แบบสำเร็จรูปก็กลายเป็นทางออก
ในด้านหนึ่ง sadfishing จึงคือการ ‘ร้องขอความช่วยเหลือ’ แต่ถ้าคนอื่นไม่เข้าใจดีพอ แห่แหนกันเข้าไปปลอบโยนอย่างเดียว (เช่นพิมพ์แค่ว่า ‘โอ๋ๆ’ ‘กอดๆ’ ) แต่ไม่ชวนให้ผู้ประสบปัญหามองลึกลงไปถึง ‘ราก’ เพื่อหาทางออกจากปัญหานั้นๆ อย่างจริงจัง ก็อาจมีส่วนทำให้เกิด ‘วงจรการพึ่งพา’ ที่ไม่ดีขึ้นมาได้ เพราะคนที่เศร้า (แม้ในกรณีที่เศร้าจริงๆ – ไม่ได้แกล้งเศร้า) อาจ ‘เสพติด’ คำปลอบโยนเหล่านี้ จนเพาะนิสัยพึ่งพาการยอมรับจากภายนอกมากเกินไป กระทั่งเกิดเป็น ‘วงจร’ ของ sadfishing ที่ยิ่ง sad ก็ยิ่ง fish และยิ่ง fish ก็จะยิ่ง sad มากขึ้นไปเรื่อยๆ
หากเป็นอย่างนี้ ก็จะเกิดการ ‘เอาเปรียบทางอารมณ์’ ขึ้นมา อาจพูดได้ว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่สมดุล และอาจมีลักษณะ ‘ท็อกซิก’ ได้ในระยะยาว ที่สำคัญคือ ถ้าเราเห็นใครมีลักษณะ sadfishing เราอาจชี้หน้าบอกว่าเขาเป็นพวก ‘โศกาสาไถย’ โดยเปี่ยมไปด้วยสัญญะด้านลบแห่งการประณามหยามเหยียด แล้ว ‘ละเลย’ ปัญหาที่แท้จริงที่กำลังเกิดกับคนคนนั้นไปเลยก็เป็นได้
ในอีกด้าน ถ้าปรากฏการณ์ sadfishing แพร่หลายมากๆ ในโซเชียลมีเดีย สิ่งที่เราทำได้ก็คือพิมพ์ปลอบใจ พิมพ์เสร็จแล้วก็แล้วกัน มันก็จะทำให้ปรากฏการณ์นี้กลายเป็นเรื่อง ‘ปกติ’ จนทั้งคนที่มีปัญหาและคนปลอบใจ – ไม่ได้ ‘สนใจ’ ปัญหาจริงๆ ที่ ‘ราก’ ของมัน เพราะโซเชียลมีเดียทำให้เรา ‘ผิวเผิน’ กับความสัมพันธ์ได้ง่าย ดังนั้น บ่อยครั้งผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ จึงถูกมองข้าม แถมยังอาจเกิดการแข่งขันกันว่าใคร ‘มีปัญหา’ หนักกว่ากันได้ด้วย
สิ่งนี้อาจนำไปสู่ ‘วัฒนธรรม’ แห่งการ ‘แข่งกันทุกข์’ ขึ้นมา แทนที่จะเป็นวัฒนธรรมแห่งการ ‘มุ่งแก้ปัญหา’ ซึ่งถ้าสังคมเต็มไปด้วยคนที่มีลักษณะอย่างนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราควรทำ – ไม่ใช่การชี้นิ้วใส่ใครว่า “แกกำลัง sadfishing อยู่นะ” เพราะเอาเข้าจริง เราบอกแทบไม่ได้หรอกนะครับ (ยกเว้นกรณีของคนดังที่แสร้งเศร้าเพื่อโฆษณาขายของ) ว่าคนที่กำลังแสดงความเศร้าอยู่นั้น เขาเศร้าจริงหรือเรียกร้องความสนใจ แต่สิ่งที่เราทำได้แน่ๆ คือการหันกลับมา ‘ตรวจสอบ’ ตัวเราเอง ว่าที่เราโพสต์โน่นนั่นนี่บ่อยๆ นั้น เรากำลังมีอาการ ‘โศกาสาไถย’ อยู่ไหม เช่น ต้องถามตัวเองบ่อยๆ ว่าทำไมเราโพสต์เนื้อหาแบบนั้นแบบนี้ เราต้องการความสนใจมากกว่าการระบายหรือขอความช่วยเหลือจริงๆ หรือเปล่า เราโพสต์เรื่องเหล่านั้นถี่ขนาดไหน และเรารู้สึกอย่างไรเมื่อได้รับการตอบสนอง ไม่ว่าจะเป็นการปลอบใจหรือถูกด่าซ้ำ และเรา ‘ปรุงแต่ง’ ความทุกข์ของเราให้เกินจริงไปมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งอาจขอความเห็นจากเพื่อนหรือคนใกล้ชิดอย่างตรงไปตรงมาด้วยก็ได้ ว่าเรามีอาการ sadfishing ไหม หรือถ้ามันหนักหนาจริงๆ การปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าทำ
การเปลี่ยน ‘ความทุกข์’ เป็น ‘คอนเทนต์’ ไม่ได้ทำให้ความทุกข์นั้นหายไป กลับกัน, บ่อยครั้งทุกข์นั้นจะยิ่งค่อยๆ สะสมจนหนักหนา และทำให้ตัวตนของเรายิ่งบิดเบี้ยวไม่สอดคล้องกับความจริงมากขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วย
sadfishing จึงไม่ควรเป็นเพียงแค่คำที่ใช้ประณามกันเท่านั้น แต่เป็นคำที่มีหลายมิติซับซ้อนซ่อนอยู่ข้างใน
ขึ้นอยู่กับว่า – เรา ‘เลือก’ จะมองให้เห็นมันหรือเปล่าเท่านั้นเอง