“ฉันอยากให้พวกตาลีบันดูหนังของฉันนะ”
รอยา ซาดัต (Roya Sadat) กล่าวประโยคนั้นกับเราระหว่างการสนทนาถึงหนังลำดับล่าสุดของเธออย่าง Sima’s Song (2024) ซึ่งมีเนื้อหาว่าด้วยการต่อสู้ปลดแอกของผู้คนในอัฟกานิสถาน และจะว่าไป หนังเรื่องก่อนๆ ของเธอก็ล้วนแล้วแต่ว่าด้วยการยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อเสรีภาพของคนตัวเล็กตัวน้อย -โดยเฉพาะผู้หญิง
ซาดัตเกิดและโตที่อัฟกานิสถาน และถือเป็นผู้กำกับหญิงคนแรกในยุคหลังตาลีบันเข้ายึดอำนาจ นับเป็นหนึ่งในช่วงชีวิตที่ภายหลังซาดัตนิยามว่าส่งผลต่อเธอมหาศาลมากที่สุด โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ว่าเธอและชาวอัฟกานิสถานต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กฎที่กลุ่มตาลีบันระบุไว้ ซึ่งนั่นย่อมหมายความถึงการที่เธอกับผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเรียนหนังสือหรือแม้แต่ใช้ชีวิตนอกบ้านโดยปราศจากสมาชิกเพศชายในครอบครัวอยู่รอบตัว
“การอยู่ใต้การปกครองของตาลีบันในช่วงนั้น ทำให้ฉันรู้สึกว่าทุกเช้าที่ลืมตาตื่นขึ้น ก็รู้สึกราวกับตัวเองตื่นขึ้นมาในฝันอันร้ายกาจ” เธอบอก
ในวาระที่ Sima’s Song เข้าฉายที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตเกียวครั้งที่ 37 ซาดัตสนทนาประเด็นที่ว่าด้วยหนังยาวลำดับล่าสุดของเธอกับ 101 รวมทั้งพลวัติทางการเมือง, ความเป็นผู้หญิง และการเรียกร้องเพื่อสิทธิมนุษยชนของเธอกับเพื่อนร่วมชาติตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ตาลีบันมีอำนาจในอัฟกานิสถานจนถึงปลายปี 2001 หลังจากเกิดเหตุวินาศกรรม 9/11 เกิดความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศที่ให้ความร่วมมือแก่อัลกออิดะห์ รวมถึงอัฟกานิสถานภายใต้การปกครองของตาลีบัน -ซึ่งมีหลักฐานว่ากลุ่มตาลีบันให้ที่พักพิงแก่กลุ่มอัลกออิดะห์- ด้วย ซาดัตเข้ารับการศึกษาต่อด้วยการเข้าเรียนด้านกฎหมายและรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเฮรัต และเริ่มทำหนังเรื่องแรกคือ Se noghta (2003) ว่าด้วยเรื่องหญิงสาวที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้นำทหารมากอำนาจ และถูกเขาส่งตัวไปค้าฝิ่นยังอิหร่าน
ในภาพรวม หนังของซาดัตมักเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของผู้หญิงที่ตกอยู่ในวงล้อมและกฎเกณฑ์ที่ผู้ชายสร้างขึ้น ตัวละครหลักของซาดัตไม่เคยย่อท้อต่อชะตากรรม พวกเธอดึงดัน กัดฟันสู้ยิบตาเพื่อเอาชนะความไม่เท่าเทียมและเหลื่อมล้ำทั้งปวง เช่นเดียวกันกับตัวละครหลักใน Sima’s Song ซึ่งเข้าฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตเกียวครั้งที่ 37 ที่ผ่านมา หนังพาสำรวจช่วงเวลาอันน่าตึงเครียดของอัฟกานิสถานก่อนหน้าการปฏิวัติเซาร์ (Saur Revolution -หมายถึงการปฏิวัติที่นำโดยพรรคประชาธิปไตยประชาชนอัฟกานิสถาน มีจุดมุ่งหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาลของ โมฮัมเหม็ด ข่าน อดีตผู้นำประเทศที่ได้ชื่อว่ากำจัดกลุ่มคนเห็นต่าง) เมื่อปี 1978 และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ประเทศกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านเป็นสังคมนิยม เล่าผ่านสายตาของนักศึกษาสาวสองคน -คนหนึ่งสมาทานแนวคิดคอมมิวนิสต์และมาจากครอบครัวร่ำรวย ขณะที่อีกคนหนึ่งมีท่าทีหัวโบราณและเติบโตจากครอบครัวมุสลิมยากจน- ในโมงยามที่อัฟกานิสถานต้องรับมือกับการรุกรานของสหภาพโซเวียตและกลุ่มติดอาวุธ เล่าคู่ขนานกันไปกับหญิงสาวคนหนึ่งในยุคปัจจุบันที่ลงถนนเรียกร้องเพื่อสิทธิของตัวเอง
“ความขัดแย้งส่งผลต่อชีวิตชาวอัฟกานิสถานเรื่อยมา เช่นเดียวกับความขัดแย้งกับโลกตะวันตกและรัสเซียในเวลานั้น” ซาดัตบอก “ผู้หญิงอัฟกานิสถานต่อสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพของตัวเองมายาวนานเหลือเกิน ฉันคิดว่าหลายคนมักเข้าใจว่ามีแค่คนรุ่นใหม่ๆ เท่านั้นที่ลงถนนเรียกร้องความเป็นธรรม แต่ไม่ใช่เลย เราชาวอัฟกานิสถานน่ะต่อสู้มาโดยตลอด เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงก็เท่านั้น”

ตัวซาดัตเกิดและโตในยุคสงครามโซเวียต–อัฟกานิสถาน ทั้งยังเป็นประจักษ์พยานสงครามกลางเมืองอัฟกานิสถานในอีกหลายปีให้หลังเมื่อโซเวียตล่มสลาย แรงบันดาลใจแรกในการเขียนบทและทำหนัง Sima’s Song คือภาวะแห่งความขัดแย้งและสภาพการเป็น ‘สงครามตัวแทน’ ของอัฟกานิสถาน ทว่า ระหว่างที่ซาดัตเริ่มเขียนบทหนัง เธอก็พบว่าตาลีบันหวนกลับเข้ามามีอำนาจในอัฟกานิสถานอีกครั้งเมื่อปี 2021
“ตั้งแต่ตอนเขียนสคริปต์ร่างแรก เราตั้งใจว่าจะเขียนถึงประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนในอัฟกานิสถาน แต่แล้ว เมื่อตาลีบันกลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้งในปี 2021 ฉันก็ตัดสินใจว่า จะทำหนังที่สำรวจการต่อสู้ของผู้หญิงทั้งสองยุคสมัยไปด้วยกัน” ซาดัตบอก “มันเหมือนผู้หญิงสองรุ่นต่างส่งไม้ต่อการต่อสู้ให้กัน อย่างที่คุณเห็นว่าตัวละครในอดีตก็เคยออกมาเดินเรียกร้องเพื่อสิทธิของประชาชน และตัวละครรุ่นหลานก็ยังต้องสู้อยู่เหมือนกัน”
กล่าวสำหรับตัวซาดัต ภายหลังอัฟกานิสถานหลุดพ้นจากสงครามกับรัสเซีย ปี 1996 ประเทศราวสามในสี่ก็ถูกยึดครองโดยกลุ่มตาลีบัน และมีการบังคับใช้กฎหมายชารีอะห์อย่างเคร่งครัด “ตอนนั้นฉันยังไม่โตเท่าไหร่เลย” ซาดัตว่า “วันที่ตาลีบันเข้ายึดอำนาจ จำได้ว่าฉันอยู่ที่โรงเรียน เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการเมืองอะไรในมือเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้แค่ว่าวันต่อมาเราไปโรงเรียนไม่ได้ ดังนั้น ทุกเช้าที่ฉันลืมตาตื่นขึ้น ฉันจะคิดอยู่เสมอว่าราวกับตัวเองตื่นขึ้นมาในฝันอันร้ายกาจ บางทีพรุ่งนี้เราจะตื่นขึ้นและได้ไปโรงเรียนอีกครั้ง หรืออาจจะเป็นวันอื่นๆ ก็ได้ วันข้างหน้าวันไหนๆ ก็ได้ทั้งนั้น
“และอย่าว่าแต่ไปโรงเรียนเลย ผู้หญิงเราไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกบ้านด้วยซ้ำ ถ้าจะไปก็ต้องมีสมาชิกในบ้านที่เป็นผู้ชายออกไปด้วย ขณะที่พ่อก็เครียด เก็บเนื้อเก็บตัวไม่อยากออกไปไหน ดังนั้น ฉันกับน้องสาว แม่และป้าจึงต้องอยู่ด้วยกันในบ้านเป็นหลัก”
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นโชคของชีวิตที่ซาดัตเกิดและโตในครอบครัวของคุณครู เธอจึงได้ญาติๆ มาสอนหนังสือที่บ้านระหว่างที่ถูกห้ามไม่ให้ไปโรงเรียน “ป้าเป็นคนเริ่มสอนหนังสือพวกเรากันเอง ตามด้วยแม่ ญาติๆ ของพวกเราส่วนใหญ่ทำงานเป็นครูในโรงเรียน พวกเขาจึงมีหนังสือเรียนติดบ้านไว้บ้าง พอเราเริ่มเก่งขึ้น ก็ให้เราสอนหนังสือกันเอง พี่คนโตสอนน้อง น้องก็สอนน้องที่ยังเล็กกว่า
“ฉันจะบอกว่ามันน่าหดหู่เหลือเกิน ลำพังแค่พูดถึงมันก็ทำให้ฉันเศร้าแล้ว”
ตาลีบันคลายอำนาจในอัฟกานิสถานหลังปี 2001 ซาดัตพยายามเข็นหนังทั้งหนังยาวและหนังสั้นของเธอให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง และด้วยช่วงชีวิตที่บาดเจ็บจากความขัดแย้งที่เธอและประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย หนังหลายต่อหลายเรื่องของเธอจึงมักว่าด้วยการต่อสู้ของคนแสนสามัญ โดยเฉพาะผู้หญิง
“ในยุคสมัยของตาลีบัน พวกเขาสั่งแบนทั้งภาพยนตร์และดนตรี ฉันได้แต่สงสัยว่าผู้หญิงจะถ่ายหนังได้ยังไงถ้าพวกเขาไม่อนุญาตให้เราออกจากบ้านเพื่อไปเรียนหนังสือ ไปใช้ชีวิต” เธอว่า “ฉันจึงอยากทำหนังที่ว่าด้วยเรื่องของผู้หญิง อันเป็นเรื่องที่ฉันเองก็เข้าใจเพราะเคยผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาก่อน และอันที่จริง เหยื่อรายแรกของสงครามหลายๆ แห่งก็คือผู้หญิงด้วยซ้ำ”
ใน Sima’s Song ประเด็นหลักที่ตัวละครถกเถียงและเห็นขัดแย้งกันคือการที่ศาสนากลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มเคลื่อนไหว ปฏิเสธไม่ได้แน่ว่านี่เป็นหนึ่งในความขัดแย้งที่อัฟกานิสถานต้องเผชิญมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ส่วนตัวนะ ฉันคิดว่าไม่ว่าจะศาสนาหรือการเมือง ทุกอย่างมันบิดเบี้ยวไปหมด” ซาดัตว่า “นักการเมืองบางคนก็เป็นคนที่มีศาสนา เช่น ตาลีบัน แต่วิธีและอุดมคติที่พวกเขามีต่อศาสนาอิสลาม มันเป็นวิธีคิดที่แตกต่างไปจากมุสลิมอีกหลายๆ คนทั่วโลก ประเทศมุสลิมหลายๆ แห่งก็อนุญาตให้ผู้หญิงไปโรงเรียน ได้ออกนอกบ้าน ได้ทำงาน แต่ความเชื่อของตาลีบันต่อเรื่องนี้ต่างไปจากนั้น พวกเขาเชื่อว่าผู้หญิงควรอยู่แต่กับบ้าน และอ้างว่ากฎเกณฑ์นี้เป็นกฎเกณฑ์ของอิสลาม”

อาจจะพูดได้ว่าช่วงเวลาที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของตาลีบันในวัยเยาว์ เป็นหนึ่งในเรื่องที่ฝังใจซาดัตมาเนิ่นนาน สำหรับเธอ อัฟกานิสถานที่เธอเกิดและรู้จักไม่ใช่ประเทศที่กีดกันสิทธิใคร “ที่จริงแล้ว อัฟกานิสถานไม่ใช่รัฐศาสนานะ จนกระทั่งตาลีบันเข้ามายึดอำนาจและตีความศาสนาอิสลาม ก่อนจะออกเป็นกฎหมายบังคับใช้คนในประเทศ” เธอว่า “นี่มันไม่ถูกต้องเลยจริงๆ คุณไม่มีสิทธิเอาการตีความส่วนตัวของคุณมาออกเป็นกฎหมายในนามของศาสนา เพราะอย่างที่รู้ว่ามีรัฐอิสลามอีกหลายแห่งที่ไม่ได้ใช้กฎเกณฑ์เดียวกันนี้ ประชาชนก็มีสิทธิและเสียงตามปกติ”
และแต่ไหนแต่ไร หนังของซาดัตก็เต็มไปด้วยสุ้มเสียงของการวิพากษ์วิจารณ์การเถลิงอำนาจกลุ่มการเมืองและกลุ่มติดอาวุธ โดยเฉพาะกลุ่มตาลีบันที่เป็นหนึ่งในบริบทในหนังของเธอเสมอมา แต่กระนั้น น้ำเสียงในหนังของเธอก็ไม่ได้เกลียดชัง หากแต่มันท้าทายและตั้งคำถามอย่างมีชั้นเชิง
“ฉันไม่กลัวตาลีบันโกรธหรอกค่ะ” เธอตอบคำถาม “ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะโกรธหรอกถ้าได้ดูหนัง อันที่จริง ฉันอยากให้พวกเขาดูหนังของฉันด้วยซ้ำเพื่อรับสารที่ฉันต้องการสื่อ เราพยายามเล่าเรื่องที่เราเผชิญไปสู่สายตาโลกภายนอก พูดเรื่องมนุษย์ พูดเรื่องสิ่งที่เราเจอ และศิลปะคือหนทางในการถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ ผ่านกลไกในการเล่าเรื่อง, สัญลักษณ์ หรืออะไรก็ตามที่จะส่งผลกระทบต่อใจคนดูมากที่สุด”
สำหรับซาดัต เรื่องคือว่าภาพยนตร์เป็นอาวุธเดียวที่เธอมีเพื่อหวังจะสร้างความเปลี่ยนแปลง จะเป็นไปได้หรือไม่ จริงแท้แค่ไหนนั้นพูดยากและอาจเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาพิสูจน์ หากแต่เธอก็ลงมือทำแล้ว และทำมาเรื่อยไป
“แต่สิ่งที่ฉันอยากเล่าในหนังคือการยืนหยัด ลุกขึ้นสู้เสมอไปของผู้หญิงอัฟกานิสถานต่างหาก ฉันอยากฉายให้เห็นว่า ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน ผู้หญิงน่ะต่อสู้เพื่อสิทธิและเสียงของตัวเองเสมอมา แม้กระบวนการที่จะได้มาซึ่งสิ่งนั้นมันจะยากลำบากเหลือเกินก็ตาม เราต่างก็ต้องรับมือกับความท้าทายมากมายแค่เพราะว่าเรา -ผู้หญิง- มีตัวตนอยู่บนโลกเท่านั้นเอง”