ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พรรคการเมืองใหม่ของญี่ปุ่นชื่อ ‘ซันเซโต’ (Sanseitou) กำลังสร้างปรากฏการณ์ทางการเมืองที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง พรรคซันเซโตนำเสนอนโยบายประชานิยมขวาจัดในหลากหลายมิติ โดยมีนโยบายเด่นคือ ‘Japanese First’ หรือ ‘คนญี่ปุ่นต้องมาก่อน’ ซึ่งสะท้อนแนวคิดชาตินิยมและความไม่พอใจต่อปัญหาทางเศรษฐกิจ คล้ายคลึงกับนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ในสหรัฐอเมริกา
พรรคซันเซโตเคยมีที่นั่งในรัฐสภาเพียง 4 ที่นั่ง แต่ในการเลือกตั้งวุฒิสภาเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2025 พรรคซันเซโตสามารถคว้าที่นั่งเพิ่มขึ้นอีก 14 ที่ และสิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือการได้รับคะแนนเสียงแบบสัดส่วนสูงถึง 7.42 ล้านเสียง คิดเป็น 12% ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ใกล้เคียงกับพรรคแกนนำฝ่ายค้านอย่าง ‘ริกเคนมินจุโต’ (CDP) ที่ได้ 7.40 ล้านเสียง และพรรค ‘โกกุมินมินจุโต’ (DPFP) ที่ได้ 7.62 ล้านเสียง[1]
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้นับเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดของพรรคซันเซโต และอาจเป็นสัญญาณความเปลี่ยนทางการเมืองและโครงสร้างสังคมของญี่ปุ่น ทำให้ผู้คนทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศเริ่มจับตามองความเคลื่อนไหวของพรรคซันเซโตมากขึ้น
จุดเริ่มต้นของพลังส้มแห่งญี่ปุ่น
พรรคซันเซโตก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2020 นำโดยคะมิยะ โซเฮ (Kamiya Sohei) และสมาชิกแกนนำอีก 4 คน ชื่อของพรรคมาจากคำขวัญภาษาญี่ปุ่นว่า “พรรคการเมืองที่ (ทุกคน) เข้ามามีส่วนร่วมได้” (Sanka-dekiru-Seiji-Tou) สมาชิกก่อตั้งเริ่มกิจกรรมเผยแพร่ความคิดทางการเมืองจากช่องยูทูบ ‘DIY Politic’ (政治DIY) ซึ่งต่อมากลายเป็นชื่อภาษอังกฤษของพรรคว่า ‘Party of Do It Yourself’
ตราสัญลักษณ์ของพรรคซันเซโตเป็นรูปวงกลมล้อมรอบ ‘นกฟินิกส์’ หรือ ‘โฮโอ’ ในภาษาญี่ปุ่น นกฟินิกส์เป็นสัตว์ในตำนานญี่ปุ่นที่เชื่อว่าจะปรากฏตัวเมื่อผู้นำที่ดีถือกำเนิดและปกครองบ้านเมืองตามอุดมคติ นำมาซึ่งยุคแห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง คะมิยะระบุว่าสาเหตุที่เลือกนกฟินิกส์เป็นตราสัญลักษณ์ก็เพื่อแสดงความปรารถนาที่จะสร้างยุคดังกล่าวให้เกิดขึ้นในญี่ปุ่น[2] นกฟินิกส์ยังเป็นสัญลักษณ์ของพระจักรพรรดิญี่ปุ่นที่ปรากฏบนยอดพระราชวังอิมพีเรียลที่กรุงโตเกียว สะท้อนถึงอุดมการณ์ของพรรคที่ต้องการให้จักรพรรดิเป็นแกนกลางในการสร้างประเทศแห่งสันติและเจริญรุ่งเรืองเช่นในอดีต
พรรคมีคำขวัญว่า “เมื่อไม่มีพรรคการเมืองใดที่อยากเลือก พวกเราจะเริ่มต้นจากศูนย์เอง” ลักษณะเด่นของพรรคซันเซโตอีกประการหนึ่งคือ ไม่มีองค์กรทางศาสนาหรือบริษัทนายทุนขนาดใหญ่สนับสนุนเหมือนพรรคอื่นๆ[3] สมาชิกก่อตั้งส่วนใหญ่มาจากครอบครัวชนชั้นกลาง อาจเคยมีประสบการณ์ทางการเมืองมาบ้าง แต่ไม่ได้สืบเชื้อสายจากตระกูลนักการเมืองเก่าแก่ตามแบบฉบับของพรรค LDP หากนิยามพรรคซันเซโตว่าเป็น ‘พรรคของสามัญชน’ ก็คงไม่ผิดนัก
พรรคซันเซโตเติบโตอย่างรวดเร็วจากกลุ่มการเมืองเล็กๆ ที่มีคะมิยะเป็นศูนย์กลาง เริ่มจากฐานเสียงระดับท้องถิ่น เคยมีสมาชิกสภาท้องถิ่น 3 คน พนักงานพรรค 5 คน และสมาชิกพรรค 3,000 คน ปัจจุบันพัฒนาเป็นพรรคระดับชาติที่มีสาขาทั่วประเทศ 287 แห่ง สมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนประมาณ 70,000 คน สมาชิกสภาท้องถิ่น 151 คน[4] การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้มาจากการบริหารจัดการองค์กรด้วยแนวคิด DIY หรือสมาชิกช่วยลงมือทำด้วยตัวเอง การใช้วัฒนธรรมร่วมสมัยอย่างมังงะ แอนิเมชัน และโซเชียลมีเดียในการสื่อสาร ตลอดจนการสร้างนโยบายโดยยึดหลักรวมกลุ่มประชาชนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน คือต้องการพัฒนาญี่ปุ่นให้ดีขึ้นเพื่อคนรุ่นหลัง แล้วจัดฝึกอบรมภายในพรรคเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่สนามเลือกตั้ง
พรรคซันเซโตเลือกใช้ ‘สีส้ม’ เป็นสีประจำพรรค ในการขึ้นเวทีหาเสียงและกิจกรรมต่างๆ เสื้อยืดและธงสีส้มจะโดดเด่นอย่างมาก จึงได้รับฉายาว่า ‘พรรคสีส้ม’ แม้ว่าพรรคซันเซโตจะเป็นพรรคประชานิยมขวาจัด แต่เมื่อพิจารณาถึงองค์ประกอบพรรคและเส้นทางการเมืองแล้ว พรรคซันเซโตกลับมีความคล้ายคลึงกับพรรคสีส้มของไทยอยู่ไม่น้อย แม้อุดมการณ์จะตรงข้ามกันแบบคนละขั้วเลยก็ตาม
พรรคซันเซโตมีอิทธิพลสูงมากบนโลกโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ อีกทั้งฐานเสียงปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เริ่มเบื่อหน่าย ‘การเมืองแบบเก่า’ เพราะไม่ช่วยให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น นอกจากนั้น คะมิยะยังนิยม ‘ชูสามนิ้ว‘ เป็นสัญลักษณ์ในการรณรงค์หาเสียงอีกด้วย ความคล้ายคลึงเหล่านี้อาจมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากนักการเมืองฝ่ายค้านของญี่ปุ่นให้ความสนใจกับความสำเร็จทางการเมืองของ ‘พรรคประชาชน’ ของไทยด้วย
อุดมการณ์ของพรรคซันเซโต
นโยบายหลักของพรรคซันเซโตเป็นแนวประชานิยมขวาจัด ในระยะแรกเน้นนโยบายหลัก 3 ประการ คือ การศึกษา อาหารกับสุขภาพ และการปกป้องประเทศชาติ[5] โดยเฉพาะการสร้างชาติที่ยิ่งใหญ่ พรรคชูแนวทางสำคัญ 3 ประการ คือ 1) อาศัยภูมิปัญญาบรรพบุรุษเพื่อสร้างชาติที่สงบสุขโดยมีจักรพรรดิเป็นศูนย์กลาง 2) ธำรงเอกราช สร้างญี่ปุ่นให้รุ่งเรือง และมีส่วนร่วมในการพัฒนามนุษย์ และ 3) สร้างต้นแบบสังคมอันกลมเกลียวด้วยจิตวิญญาณและประเพณีญี่ปุ่น[6] นโยบายเหล่านี้สะท้อนอุดมการณ์ชาตินิยมสุดขั้วทั้งการเชิดชูจักรพรรดิ การยกย่องจิตวิญญาณบรรพบุรุษ และการเสริมความมั่นคงชาติ ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในสังคมญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
นอกจากชาตินิยมแล้ว พรรคซันเซโตยังมีนโยบายที่สะท้อนอุดมการณ์ขวาจัดในหลายมิติ โดยเฉพาะแนวคิดต่อต้านโลกาภิวัตน์ (Anti-globalization) เช่น รณรงค์ไม่ฉีดวัคซีนโควิด-19 และไม่สวมหน้ากากในช่วงแพร่ระบาด ต่อต้านกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ไม่ส่งเสริมสิทธิความเท่าเทียมของสตรี รณรงค์สร้างเสริมสุขภาพแบบธรรมชาติและการบริโภคอาหารออแกนิก และยังรณรงค์ ‘สร้าง’ รัฐธรรมนูญใหม่ที่ระบุบทบาทกองกำลังป้องกันตัวเองให้ชัดเจน ไม่ใช่เพียง ‘แก้ไข’ รัฐธรรมนูญอย่างที่พรรคการเมืองอื่นรณรงค์ และแสดงจุดยืนว่าจักรพรรดิญี่ปุ่นต้องเป็นผู้ชาย แต่เสนอให้มีพระสนมได้เพื่อแก้ไขปัญหาการสืบสันตติวงศ์
นโยบายเหล่านี้เคยถูกพูดถึงในกลุ่มการเมืองขวาจัดของญี่ปุ่นมาแล้ว บางส่วนก็สังกัดอยู่พรรค LDP ด้วย อย่างไรก็ตาม ภาพลักษณ์ขวาจัดในช่วงก่อนหน้านี้ทำให้พรรคซันเซโตได้รับความนิยมในระดับจำกัด สะท้อนจากที่นั่งในสภาที่มี สว. 1 คน และ สส. 3 ที่นั่งจากการเลือกตั้งในปี 2022 และ 2024
จุดเปลี่ยนสำคัญ: คนญี่ปุ่นต้องมาก่อน
สโลแกนที่สร้างกระแสนิยมอย่างสูงให้พรรคซันเซโตในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดคือ ‘คนญี่ปุ่นต้องมาก่อน’ หรือ Japanese First (Nipponjin First) คะแนนสนับสนุนพรรคก่อนการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 1.1% ในเดือนพฤษภาคม ทะยานขึ้นไปที่ 5.9% ในกลางกรกฎาคม นับว่าสูงเป็นอันดับ 3 รองจากพรรค LDP แกนนำรัฐบาล (24.0%) และพรรค CDP แกนนำฝ่ายค้าน (7.8%)[7]
ความสำเร็จของคะมิยะถูกเชื่อมโยงกับการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ในปีที่ผ่านมา สำนักข่าวบางแห่งอ้างว่าคะมิยะศึกษาและเดินตามแนวทางการหาเสียงของทรัมป์ เขาเรียนรู้การหาเสียงด้วยการกระตุ้นอารมณ์มากกว่าให้ข้อเท็จจริง โดยใช้กลยุทธ์ ‘การตลาดทางการเมือง’ ในการประชาสัมพันธ์แบรนด์พรรค และสร้างวาทกรรมการเมืองแหวกแนวแบบเดียวกับทรัมป์ ทั้งยังอ้างว่าคะมิยะเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาคือ ‘ทรัมป์เวอร์ชันญี่ปุ่น'[8]
อย่างไรก็ดี คะมิยะเพิ่งเริ่มใช้สโลแกน ‘คนญี่ปุ่นต้องมาก่อน’ อย่างจริงจังในการเลือกตั้งเมื่อกรกฎาคม ปี 2025 นี้เอง ที่จริงซันเซโตมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและนโยบายบางส่วนตั้งแต่หลังการเลือกตั้งวุฒิสภา ปี 2022 สมาชิกก่อตั้งอีก 4 คนลาออกจากพรรคหมดแล้ว เหลือเพียงคะมิยะคนเดียว ด้านนโยบายการหาเสียงก็เปลี่ยนไป เน้นสร้างความนิยมจากประชาชนทั่วไปมากกว่าแสดงจุดยืนขวาจัดเพียงอย่างเดียว ในระยะหลัง พรรคซันเซโตเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อคนญี่ปุ่นเป็นหลัก ลดการพูดถึงสถาบันจักรพรรดิหรือการต่อต้านสิทธิความเท่าเทียมระหว่างชาย-หญิงที่ไม่ช่วยสร้างคะแนนนิยมในวงกว้าง บทบาทของสตรีในพรรคก็เพิ่มขึ้นมาก เห็นได้จากผลการเลือกตั้งสภาสูงครั้งล่าสุดที่ได้ที่นั่งเพศชายและหญิงเท่ากันที่ 7 ที่นั่ง
ถึงกระนั้น ซันเซโตยังคงนโยบายต่อต้านความหลากหลายทางเพศและแรงงานต่างชาติ สองประเด็นนี้สอดคล้องกับปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และอุดมการณ์ชาตินิยมของพรรค เนื่องจากญี่ปุ่นภายใต้การนำของพรรครัฐบาล LDP มีแนวโน้มเปิดรับแรงงานต่างชาติมากขึ้น ทั้งที่คนญี่ปุ่นระดับล่างยังประสบปัญหาการจ้างงาน ขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ให้การรณรงค์เพื่อเสรีภาพทางเพศมากขึ้น สมาชิกพรรค LDP บางคนถึงกับสนับสนุนการรณรงค์กฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งเป็นประเด็นที่กลุ่มอนุรักษนิยมยอมรับไม่ได้ พรรคซันเซโตเห็นว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียมขัดแย้งกับ ‘ความเป็นญี่ปุ่น’ เพราะชายหญิงต่างมีหน้าที่สร้างครอบครัว ซึ่งเป็นรากฐานวัฒนธรรมและความเป็นชาติ คะมิยะยืนกรานว่าการรักษาอัตลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นก็คือความหลากหลายเช่นกัน[9]
ขณะเดียวกัน คะมิยะย้ำว่าสโลแกน ‘คนญี่ปุ่นต้องมาก่อน’ ไม่มีเจตนาเหยียดเชื้อชาติหรือขับไล่คนต่างชาติที่อาศัยในญี่ปุ่นอย่างถูกกฎหมาย แต่มีพื้นฐานจากแนวคิดต่อต้านโลกาภิวัตน์เดิมของพรรค เขาเรียกร้องว่านักการเมืองต้องให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของญี่ปุ่นมากกว่าประเทศอื่น[10] ความนิยมต่อสโลแกนนี้จึงสะท้อนความไม่พอใจของประชาชนต่อสภาพการเมืองปัจจุบัน เพราะรู้สึกว่าไม่ได้รับประโยชน์จากนโยบายของญี่ปุ่นที่เดินตามแนวทางโลกาภิวัตน์ หรือแม้กระทั่งเสียประโยชน์ด้วยซ้ำ



โปสเตอร์หาเสียงที่ใช้วัฒนธรรมร่วมสมัยสร้างสโลแกน ‘ต่อไปถึงคราวของพวกเราแล้ว’ ‘ความรักกับการเมือง’ และ ‘อย่าดูถูกญี่ปุ่น’
เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มฟื้นแต่ประชาชนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
หากมองจากอีกด้านหนึ่ง การเพิ่มขึ้นของความนิยมพรรคซันเซโตเป็นภาพสะท้อนความตกต่ำของพรรค LDP ที่ครองเสียงฝ่ายอนุรักษนิยมและกลุ่มขวาจัดมายาวนาน สาเหตุสำคัญที่ทำให้พรรค LDP เสื่อมความนิยมคือ LDP ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ตกอยู่ใน ‘ทศวรรษที่สูญหาย’ นานถึง 3 ทศวรรษ โดยเฉพาะปัญหาค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นและไม่สอดคล้องกับรายได้นั้นสร้างความลำบากให้ชาวญี่ปุ่นระดับล่างมาก นอกจากนี้ พรรค LDP ยังประสบปัญหาภายในพรรค ทั้งการสูญเสียความน่าเชื่อถือจากกรณีทุจริตเงินบริจาค การเปลี่ยนแนวทางนโยบายที่เปิดเสรีมากขึ้น และความอ่อนแอของผู้นำพรรค
ที่จริงสถานการณ์เศรษฐกิจญี่ปุ่นคล้ายคลึงกับสหรัฐอเมริกา คือกำลังฟื้นตัวจากภาวะตกต่ำหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 จีดีพีของประเทศ ค่าจ้างแรงงาน และราคาที่ดินในเขตตัวเมืองเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย สัญญาณทางเศรษฐกิจเหล่านี้กำลังสะท้อนว่าญี่ปุ่นเริ่มเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจขาขึ้นแล้ว ทว่าประชาชนทั่วไปกลับไม่รู้สึกถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายใต้การนำของพรรค LDP เลย ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวแบบรูปตัวเค (K-Shape) เช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่งทั่วโลก ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มคนที่อยู่ฝั่งเคขาบนกับเคขาล่าง
กลุ่มเคขาบนได้แก่บริษัททุนขนาดใหญ่ที่ทำการค้ากับต่างประเทศ และชนชั้นกลางบนที่ทำงานในบริษัทเหล่านี้ กลุ่มนี้ได้รับประโยชน์จากนโยบายผ่อนคลายการเงินที่ทำให้เงินเยนอ่อนค่า ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของการส่งออกและได้กำไรจากการลงทุนในต่างประเทศ ในทางตรงข้าม กลุ่มเคขาล่างได้แก่บริษัทขนาดเล็กและชนชั้นล่างที่มีรายได้จากภายในประเทศ นอกจากไม่ได้รับประโยชน์จากนโยบายผ่อนคลายการเงินแล้ว ยังได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากการปรับขึ้นของค่าครองชีพ โดยเฉพาะค่าพลังงานและสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากเงินเยนอ่อนค่า
การอ่อนค่าของเงินเยนอย่างยาวนานส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก นำไปสู่ปัญหา ‘นักท่องเที่ยวล้นเกิน’ (overtourism) นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเพราะเงินเยนอ่อนค่าจนรู้สึกว่าค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวถูกลงอย่างมาก แม้ว่าธุรกิจท่องเที่ยวในญี่ปุ่นได้ปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการถึงเกือบ 2 เท่าแล้วเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซ้ำร้าย การปรับขึ้นค่าครองชีพสำหรับนักท่องเที่ยวส่งผลกระทบทางอ้อมต่อผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นด้วย ค่าอาหารและที่พักในเมืองท่องเที่ยวสำคัญปรับสูงขึ้น ส่งผลให้คนญี่ปุ่นไม่อยากเดินทางไปท่องเที่ยวภายในประเทศ
นอกจากนี้ เงินเยนอ่อนค่ายังทำให้ต้นทุนสินค้าปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะวัตถุดิบจากต่างประเทศ ร้านค้าในแหล่งท่องเที่ยวสามารถผลักภาระต้นทุนเหล่านี้ให้นักท่องเที่ยวได้ แต่ร้านค้าในย่านชุมชนที่ห่างไกลจากตัวเมืองต้องอดทนปรับขึ้นค่าสินค้าบริการให้น้อยที่สุดเพื่อรักษาลูกค้าชาวญี่ปุ่น สถานการณ์นี้เพิ่มความรู้สึกเชิงลบต่อชาวต่างชาติและสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเมืองแบบชาตินิยม เพราะพรรค LDP ไม่สามารถจัดการปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความตกต่ำของพรรค LDP
นอกจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจแล้ว ปัญหาภายในของพรรค LDP ก็มีส่วนอย่างมากต่อความตกต่ำของความนิยม ปัญหาใหญ่อันดับแรกคือการทุจริตเงินบริจาคพรรคการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่กลางปี 2022 มีการรับ ‘เงินทอนจากการบริจาค’ (kickback) ในงานเลี้ยงระดมทุนของพรรคหลายสิบล้านเยนในกลุ่มนักการเมืองบางมุ้งของพรรค แต่จนถึงตอนนี้พรรค LDP ยังไม่มีบทลงโทษและมาตรการป้องกันที่ทำให้ประชาชนญี่ปุ่นยอมรับ[11] ความไร้ประสิทธิภาพและไร้ความน่าเชื่อถือในการจัดการปัญหาทุจริตนี้ส่งผลให้คะแนนนิยมของพรรคลดต่ำกว่าระดับ 40% เรื่อยมา
ความเปลี่ยนแปลงภายในพรรค LDP เองก็ส่งผลให้คะแนนนิยมตกต่ำลงเช่นกัน ฐานเสียงหลักของพรรค LDP เป็นกลุ่มคนสูงอายุวัย 50 ปีขึ้นไปและส่วนใหญ่มีแนวคิดแบบอนุรักษนิยม ทว่าในระยะหลัง พรรค LDP พยายามปรับนโยบายให้เป็นเสรีนิยมมากขึ้น เช่น ยอมรับความหลากหลายทางเพศ ยอมรับแรงงานข้ามชาติเพิ่มมากขึ้น และการเปิดกว้างทางวัฒนธรรม ทำให้ฐานเสียงอนุรักษนิยมรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากยุคของอาเบะ ชินโซที่ถูกลอบสังหารในปี 2022 ผู้นำพรรค LDP ส่วนใหญ่มีภาพลักษณ์อ่อนแอและขาดเสน่ห์ทางการเมือง โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน อิชิบะ ชิเงรุ ซึ่งถูกมองว่าขาดความหนักแน่นและไม่โดดเด่นในเวทีโลก[12]
ในขณะที่พรรค LDP ยังสับสนกับการแก้ไขปัญหาทั้งของประเทศและภายในพรรค พรรคซันเซโตกลับนำเสนอนโยบายแบบประชานิยมที่ตรงไปตรงมา จับต้องได้และง่ายต่อการเข้าใจ ยิ่งไปกว่านั้น คะมิยะเป็นบุคคลที่มีภาวะผู้นำอย่างโดดเด่น กล้าพูดในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าพูด และมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับอนาคตญี่ปุ่น รอยยิ้มที่อาบบนใบหน้าของคะมิยะอยู่เสมอยามที่ขึ้นปราศรัยสร้างความรู้สึกเป็นมิตรและความน่าไว้วางใจมากกว่าหน้าตาบึ้งตึงและเฉยชาแบบนักการเมืองญี่ปุ่นทั่วไป เขาเน้นย้ำเสมอว่านักการเมืองต้องให้ความสนใจกับประชาชนชาวญี่ปุ่นก่อน ไม่ใช่สนใจแต่เศรษฐกิจของประเทศแต่ละเลยประชาชน บุคลิกและการตลาดการเมืองของคะมิยะจึงสามารถดึงดูดความนิยมจากคนญี่ปุ่นที่เบื่อหน่ายกับการเมืองแบบเดิมของ LDP ได้เป็นอย่างมาก

อนาคตของพรรคซันเซโตและการเมืองญี่ปุ่น
กระแสนิยมของพรรคซันเซโตอาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเมืองครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี พรรคซันเซโตเพิ่งขยายตัวกลายเป็นพรรคการเมืองขนาดกลางที่มีเก้าอี้ สส. 3 ที่นั่ง และ สว. 15 ที่นั่งเท่านั้น ด้านความนิยมสนับสนุนก็ยังอยู่ที่ระดับไม่เกิน 10% จากการสำรวจความเห็นหลังการเลือกตั้ง ยังไม่ใกล้เคียงกับการท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับพรรค LDP คนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่ากระแสนิยมของพรรคซันเซโตเพิ่มสูงขึ้นเป็นเพราะความย่ำแย่ของพรรค LDP เองเสียมากกว่า
แม้พรรค LDP จะประสบความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งถึงสองครั้งติดต่อกัน จนมีเสียงเรียกร้องจากภายในพรรคให้นายกรัฐมนตรีอิชิบะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง แต่ประชาชนกลับยังคงสนับสนุนให้อิชิบะดำรงตำแหน่งต่อไป ผลการสำรวจความเห็นช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาพบว่า มีเสียงสนับสนุนให้อิชิบะดำรงตำแหน่งต่อไปสูงถึง 47% รวมทั้งคะแนนสนับสนุนพรรค LDP ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยที่ระดับ 37% ผลการสำรวจความเห็นหลังการเลือกตั้งนี้สะท้อนว่าประชาชนกลับมาให้การสนับสนุนอิชิบะมากขึ้นทั้งที่เพิ่งจะล้มเหลวในการเลือกตั้ง
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งอาจเป็นเพราะพรรค LDP ยังไม่มีตัวแทนเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคที่เหมาะสมมากกว่าอิชิบะ การสำรวจความเห็นเฉพาะกลุ่มผู้สนับสนุนพรรค LDP พบว่ายังคงสนับสนุนให้อิชิบะเป็นหัวหน้าพรรคสูงถึง 46% ทิ้งห่างจากคู่แข่งอีกสองคน ได้แก่ ทะคะอิชิ ซะนะเอะ (16%) และโคอิซุมิ ชินอิจิโร (13%)[13] ดังนั้น สถานการณ์การเมืองของญี่ปุ่นภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจึงอาจยังไม่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แม้พรรคฝ่ายรัฐบาลจะพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างย่อยยับก็ตาม
กระนั้น สิ่งที่ควรจับตามองต่อไป คือ พรรคซันเซโตจะรักษากระแสนิยมของตนเองต่อไปในระยะยาวได้หรือไม่ หากพรรค LDP ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ที่มองว่าพวกตนถูกทอดทิ้งและไม่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล ความนิยมของพรรคซันเซโตก็อาจจะเพิ่มสูงยิ่งขึ้น และแย่งคะแนนเสียงของคนญี่ปุ่นที่มีอุดมการแบบอนุรักษนิยมหรือขวาจัด จนกลายเป็นพรรคขนาดใหญ่ได้ในอนาคต
นอกจากนี้ จำนวนที่นั่งในทั้งสองสภาของพรรคซันเซโตที่เพิ่มขึ้นมาจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ทำให้พรรคซันเซโตได้รับสิทธิอภิปรายรัฐบาลโดยตรงในสภาเพิ่มมากขึ้น นั่นหมายความว่าคะมิยะและสมาชิกพรรคจะได้รับโอกาสให้ซักถามเพื่อโจมตีรัฐบาลและแสดงวิสัยทัศน์ต่อหน้าสาธารณะมากยิ่งขึ้น สถานการณ์เศรษฐกิจของญี่ปุ่นและการอภิปรายในสภาจะช่วยผลักดันกระแสประชานิยมขวาจัดของพรรคซันเซโตต่อไปได้มากเพียงใดจึงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามกันต่อไป
↑1 | Senkyo.com. (2025).「第27回参議院議員選挙 2025年 」https://go2senkyo.com/sangiin/20376. |
---|---|
↑2 | Takai Chitose. (2023). 「今更ですが、参政党のロゴについて. https://go2senkyo.com/seijika/184798/posts/644201?utm_source=chatgpt.com. |
↑3 | Sanseito. (n.d.). 「参政党ってどんな党?」.https://sanseito.jp/why_sanseito. |
↑4 | Ibid. |
↑5 | Kota Hatachi and Keita Aimoto. (2022).「演説とSNSで支持伸ばした「参政党」とは。どんな党?」https://www.buzzfeed.com/jp/kotahatachi/sanseito. |
↑6 | Sanseito. (n.d.). 「参政党ってどんな党?」.https://sanseito.jp/why_sanseito. |
↑7 | CSR Services. (2025). 「第788回 時事世論調査 (2025年4月結果). https://www.crs.or.jp/backno/No811/8110.htm. และ NHK. (2025). 「内閣支持率:2025年7月14日」. https://www.nhk.or.jp/senkyo/shijiritsu. |
↑8 | Business+IT. (2025). 「参政党・神谷代表も参考にした……米トランプ広報から学ぶ『共感マーケティング』戦略」. https://www.sbbit.jp/article/cont1/168578. |
↑9 | ニコニコニュース.(2024). 「【衆院選2024 選挙公約プレゼン】参政党 神谷宗幣 代表が登壇」. https://www.youtube.com/watch?v=HyvJWyGc2Cs. |
↑10 | TBS News DIG. (2025). 「差別煽るリスクは?参政党・神谷代表『日本人ファーストは選挙の間だけ』」. https://www.youtube.com/watch?v=5b5-Km8KM24. |
↑11 | Chunichi Shimbun. (2025). 「政治とカネ自民の無反省、目に余る」 https://www.tokyo-np.co.jp/article/407699. |
↑12 | ABEMA Prime. (2025). 「神谷宗幣氏を直撃!なぜ躍進?無党派の支持獲得?党の“顧問”田母神俊雄&石井雄己と考える」https://youtu.be/86eN8kUIAdI?si=m7fZqHeNWvd-DR-k. |
↑13 | 野原大輔. (2025). 「毎日調査、次の首相も「石破氏」はなぜ?」https://mainichi.jp/articles/20250807/k00/00m/010/113000c. |