คุณค่าของการสรรหาแบบโปร่งใส – จาก ผอ. ไทยพีบีเอส ถึง ผู้ว่า ธปท.

หลังจากที่ลุ้นกันนานห้าเดือน สุดท้ายกระบวนการสรรหาผู้อำนวยการคนใหม่ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือที่คนเรียกติดปากในชื่อ ไทยพีบีเอส “สื่อสาธารณะ” หนึ่งเดียวของไทย (ในความหมายสากลว่าที่ว่า ใช้เงินสาธารณะในการดำเนินการ และถูกออกแบบมาให้เป็นองค์กรอิสระที่ปลอดการแทรกแซงของภาคการเมือง) ก็สิ้นสุดในวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เมื่อคณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. ประกาศว่าได้มีมติเลือก วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ เป็นผู้ผ่านการคัดเลือก ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการไทยพีบีเอสคนใหม่ โดยจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป มีระยะเวลาทดลองงาน 180 วัน วาระการทำงาน 4 ปี

กระบวนการสรรหาผู้อำนวยการไทยพีบีเอสในครั้งนี้เป็นที่โจษจัน ติดตามและอภิปรายถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในสังคมมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ผู้เขียนเห็นว่ามีเหตุผลหลายข้อด้วยกัน อาทิ สื่อสาธารณะถูก “เขย่า” (disrupt) ด้วยสื่อออนไลน์เหมือนกับสื่ออื่น อนาคตที่ไม่แน่นอนของใบอนุญาตทีวีดิจิทัล เป็นต้น แต่เหตุผลอีกข้อที่น่าจะมีส่วนดึงดูดความสนใจของผู้คนไม่มากก็น้อย คือข้อเท็จจริงที่ว่า กระบวนการสรรหาครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ “เปิดเผย” และ “โปร่งใส” ที่สุดในประวัติศาสตร์องค์กร ตั้งแต่การประกาศตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ก่อนเปิดรับสมัครว่า รอบนี้คณะกรรมการสรรหาฯ จะเปิดให้มีการถ่ายทอดสดการแสดงวิสัยทัศน์และแนวคิดในการเปลี่ยนผ่านไทยพีบีเอสไปสู่ภูมิทัศน์สื่อใหม่ “ซึ่งจะทำให้ผู้ชมมีส่วนร่วมได้ติดตามรับฟังวิสัยทัศน์ของผู้สมัคร และตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการสรรหาฯ ด้วย” ดังคำให้สัมภาษณ์ของ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานคณะกรรมการสรรหาฯ

ทันทีที่เปิดรายชื่อผู้สมัครทุกคนในวันที่ 31 มีนาคม 2568 หลังปิดการรับสมัคร คณะกรรมการสรรหาฯ ก็ประกาศเชิญชวนให้ประชาชนร่วมส่งข้อมูลและข้อคิดเห็น “เกี่ยวกับคุณสมบัติ ประวัติ พฤติการณ์ หรือความเหมาะสมในด้านต่างๆ ของผู้สมัคร” ระหว่างวันที่ 1-25 เมษายน 2568 โดยสามารถส่งข้อมูลโดยตรงให้กับคณะกรรมการสรรหาฯ

หลังจากนั้นในวันที่ 30 เมษายน 2568 คณะกรรมการสรรหาฯ ก็เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม สภาผู้ชม ผู้ผลิตอิสระ สื่อพลเมือง และประชาชนทั่วไป โดยมีการถ่ายทอดสดออนไลน์ในทุกช่องทางของไทยพีบีเอส รวมถึงในวันเดียวกันก็จัดการรับฟังความคิดเห็นของพนักงานไทยพีบีเอสด้วย งานวันนั้นมีคณะกรรมการสรรหาฯ เข้าร่วมรับฟังเกือบทั้งคณะ

ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการสรรหาฯ ชุดนี้ ผู้เขียนยืนยันได้ว่าคณะกรรมการสรรหาฯ ทุกคนตั้งใจรับฟังความคิดเห็น ข้อกังวล ข้อวิพากษ์ ตลอดจนความคาดหวังต่อผู้อำนวยการคนใหม่ และต่อไทยพีบีเอสในฐานะสื่อสาธารณะ จากผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ทั้งที่ส่งออนไลน์เข้ามาระหว่างวันที่ 1-25 เมษายน 2568 และในวันจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น 30 เมษายน 2568

ข้อคิดเห็นเหล่านี้ถูกนำไปใช้ประกอบการพิจารณาคุณสมบัติและวิสัยทัศน์ตามเอกสารของผู้สมัครแต่ละราย รวมถึงช่วยในการวางกรอบการตั้งคำถามของกรรมการสรรหาฯ ทั้งคำถามของกรรมการแต่ละคนและคำถามกลางซึ่งถามกับผู้สมัครทุกคน – ซึ่งสาธารณชนก็ได้ประจักษ์ว่าคำถามและคำตอบเหล่านั้นเป็นอย่างไร ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2568 เมื่อกระบวนการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้าแสดงวิสัยทัศน์ มีการถ่ายทอดสดทุกช่องทางของไทยพีบีเอส

งานหลักของคณะกรรมการสรรหาฯ จบลงอย่างเป็นทางการในเย็นวันที่ 12 พฤษภาคม 2568 เมื่อประกาศรายชื่อผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงรับรองไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการสรรหาฯ ทั้งหมด รวม 4 คน โดยเรียงตามลำดับที่ได้คะแนนเสียงรับรอง เสนอต่อคณะกรรมการนโยบาย ไทยพีบีเอส เพื่อดำเนินการคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมจะได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ในรอบสุดท้าย (ซึ่งรอบนี้ก็มีตัวแทนพนักงานมาร่วมสังเกตการณ์ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์องค์กรอีกเช่นกัน)

อาจารย์ปกป้อง จันวิทย์ หนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการสรรหาฯ ได้เขียนบันทึกเล่าประสบการณ์ รวมถึงเหตุผลเบื้องหลังการออกแบบกระบวนการ หลักเกณฑ์การพิจารณาในขั้นตอนต่างๆ ไว้อย่างละเอียด ซึ่งผู้เขียนขอแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจ

ส่วนตัวผู้เขียนอยากตั้งข้อสังเกตถึง ‘ประโยชน์’ ที่เห็นว่าเกิดจากกระบวนการสรรหาที่โปร่งใสและพยายามเปิดให้สาธารณชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อร่วมเป็นส่วนเล็กๆ ในการสร้างแรงจูงใจให้องค์กรอื่นๆ ที่ใช้ทรัพยากรสาธารณะในการดำเนินงาน รวมถึงองค์กรอิสระและหน่วยงานกำกับดูแลทั้งหลาย พิจารณานำกระบวนการสรรหาผู้อำนวยการไทยพีบีเอสครั้งนี้ ไปประยุกต์ใช้กับองค์กรของตัวเอง

ผู้เขียนเห็นว่า ความเปิดเผยโปร่งใส และเปิดให้สาธารณะมีส่วนร่วมกับกระบวนการสรรหาผู้อำนวยการไทยพีบีเอสในปี 2568 นั้น มีประโยชน์ที่ปรากฏเป็นรูปธรรมอย่างน้อย 4 ประการด้วยกัน

ประการแรก การที่คณะกรรมการสรรหาฯ ประกาศตั้งแต่เนิ่นๆ ว่า จะมีการถ่ายทอดสดการแสดงวิสัยทัศน์ เป็นแรงกระตุ้นชั้นดีให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ (รวมถึงชอบการแข่งขันและความท้าทาย) สนใจจะลงสมัคร ดังตัวอย่างความเห็น พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ภรรยาของ ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ผู้สมัครท่านหนึ่งซึ่งผ่านการคัดเลือกเข้าสู่รอบถ่ายทอดสดการแสดงวิสัยทัศน์ และรอบการคัดเลือกโดยคณะกรรมการนโยบายในขั้นสุดท้าย

พญ.ปิยวรรณ โพสเฟซบุ๊ก (ตั้งค่าเปิดสาธารณะ) แบ่งปันประสบการณ์หลังจากที่ไทยพีบีเอสได้ชื่อผู้อำนวยการคนใหม่แล้วว่า “ข้าพเจ้าผู้เป็นภรรยาเองแหละที่ยุยงส่งเสริมและบอกให้ป๊าเอก [ทพ.อรรถพร] สมัคร ทั้งๆ ที่เขาทำงานของเขาอย่างมีความสุขอยู่ดีๆ แต่ด้วยเห็นศักยภาพความสามารถและความดีของคนข้างกายมาค่อนชีวิต และเชื่อมั่นในกระบวนการสรรหาที่โปร่งใสท้าทายและน่าสนุกแบบถ่ายทอดสด (คือสมัครเองได้ก็อยากลอง 555) เป็นเวทีการสรรหาผู้นำที่คนเป็นผู้นำทั้งหลายควรประลองยุทธเป็นอย่างยิ่ง” (เน้นตัวหนาโดยผู้เขียน)

ประการที่สอง กระบวนการที่เปิดเผยโปร่งใสนี้นอกจากจะดึงดูดผู้สมัครที่มีความรู้ความสามารถแล้ว ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณะได้ระดับหนึ่งว่า จะไม่มีการ ‘ตั้งธง’ ไว้ล่วงหน้า และทำให้คนที่คุ้นเคยกับการ ‘ล็อบบี’ เพื่อตำแหน่ง ไม่อยากลงสนามแข่งขันตั้งแต่แรก

ลองนึกภาพตามว่า ผู้สมัครคนไหนก็ตามที่มั่นใจว่าตัวเองจะได้รับเลือกแน่ๆ เพราะ ‘เส้นใหญ่’ ย่อมขาดแรงจูงใจที่จะตั้งใจเขียนใบสมัคร ดังนั้นต่อให้ผ่านเข้าสู่รอบการแสดงวิสัยทัศน์ เขาหรือเธอก็น่าจะทำผลงานได้แย่กว่าผู้สมัครคนอื่นๆ ที่ ‘ไม่มีเส้น’ จนสุดท้ายต่อให้คนคนนี้ได้รับเลือกขึ้นมาจริงๆ คนที่รับชมการถ่ายทอดสดการแสดงวิสัยทัศน์ก็ย่อมโวยวาย และผู้สมัครคนอื่นก็อาจมาร้องเรียนทันทีว่า กระบวนการสรรหาน่าจะ ‘ตั้งธง’ แน่นอน เพราะคนที่ได้รับเลือกชนะชนิดค้านสายตาสังคม

ในแง่นี้ ความเปิดเผยโปร่งใสของกระบวนการจึงเท่ากับสร้าง ‘ต้นทุน’ ให้ผู้ที่คุ้นชินกับการ ‘ใช้เส้น’ ไม่อยากเข้าร่วมตั้งแต่แรก ซึ่งก็เป็นผลดีกับทุกฝ่าย

ประการที่สาม การให้ถ่ายทอดสดต่อสาธารณะสร้างแรงกดดันที่ดี ในแง่ที่ผู้สมัครทุกคนที่ผ่านเข้ารอบนี้ต้องทำงานหนัก คณะกรรมการสรรหาฯ เองก็ต้องทำงานหนัก เพราะรู้ว่าการทำงานโดยเฉพาะการซักถามในรอบแสดงวิสัยทัศน์จะตกเป็นเป้าสายตาของผู้ชม ผลลัพธ์ที่ได้จึงดีกว่าถ้าหากเป็นกระบวนการแบบปิดที่รู้เห็นกันอยู่ไม่กี่คนในห้องประชุม

ประการที่สี่และสุดท้าย กระบวนการที่เปิดเผยโปร่งใสยิ่งกว่าในอดีต ส่งผลให้ทุกภาคส่วนตื่นตัวและสนใจที่จะติดตามการทำงานของไทยพีบีเอสและบทบาทของผู้อำนวยการใหม่ ทุกคนสามารถตั้งคำถาม ถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์กันได้เต็มที่ถึงจุดเด่นและจุดด้อยของผู้สมัครแต่ละคน ข้อมูลและข้อคิดเห็นทั้งหมดนี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของไทยพีบีเอส

นอกจากนี้ การถ่ายทอดสดการแสดงวิสัยทัศน์ยังมีการบันทึกเทปและอัปโหลดในยูทูป ใครที่สนใจสามารถรับชมการแสดงวิสัยทัศน์ย้อนหลังได้ทุกเมื่อ ซึ่งก็แปลว่าเนื้อหานี้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของการถกเถียงอภิปรายเกี่ยวกับไทยพีบีเอสได้เสมอ รวมถึงเป็นตัวช่วยในการตรวจสอบติดตามการทำงานของผู้อำนวยการใหม่ด้วยว่า สามารถดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ที่ประกาศไว้มากน้อยเพียงใด

ทั้งหมดนี้คือประโยชน์ที่ผู้เขียนเห็นว่า เป็นรูปธรรมชัดเจนของการเปิดกระบวนการสรรหาให้โปร่งใสและเชื้อเชิญการมีส่วนร่วมจากสาธารณะ และก็ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ประโยชน์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับองค์กรอื่นๆ ที่ใช้ทรัพยากรสาธารณะ มีเป้าหมายสาธารณะในการดำเนินงานเช่นเดียวกับไทยพีบีเอส

ระหว่างที่กระบวนการสรรหาผู้อำนวยการไทยพีบีเอสดำเนินไปจนถึงโค้งสุดท้าย กระบวนการสรรหาผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ ก็เปิดฉาก ด้วยการประกาศรับสมัครระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม–4 มิถุนายน 2568 จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคน รวมทั้งสื่อมวลชน จะออกมาแสดงความเห็นว่า การสรรหาผู้ว่าฯ ธปท. ครั้งนี้ ควรใช้กระบวนการที่เปิดเผยโปร่งใสแบบไทยพีบีเอส

ผู้เขียนเห็นว่า ธปท. เป็นองค์กรสาธารณะก็จริง แต่มีลักษณะพิเศษบางประการที่อาจทำให้มีเหตุมีผลที่กระบวนการสรรหาต้อง ‘ปิด’ มากกว่าไทยพีบีเอส โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ว่าการสื่อสารของผู้ว่าการธนาคารกลาง (รวมถึงการไม่สื่อสารในห้วงยามที่ตลาดคาดหวังให้สื่อสาร) แม้เพียงเล็กน้อยก็อาจถือเป็นการส่ง ‘สัญญาณ’ ต่อตลาด ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจจริงได้ ด้วยความที่ธนาคารกลางมีหน้าที่รับผิดชอบนโยบายการเงินโดยตรง (สำหรับใครที่สนใจบทบาทการสื่อสารของธนาคารกลาง ผู้เขียนแนะนำบทความเชิงวิชาการเรื่อง “การสื่อสารของธนาคารกลางในยุคของข้อมูล” โดย ทศพล อภัยทาน และ ฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธ์)

อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเห็นว่ากระบวนการสรรหาผู้ว่าการ ธปท. ก็ควรเปิดเผยโปร่งใสมากกว่าที่ผ่านมา ถึงแม้อาจมีเหตุผลที่โปร่งใสไม่ได้มากเท่ากับกระบวนการสรรหาผู้อำนวยการสื่อสาธารณะ เนื่องจากความโปร่งใสมีประโยชน์หลายประการดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

อย่างน้อยที่สุด หากคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการฯ ไม่จัดให้มีการถ่ายทอดสดการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครต่อสาธารณะ คณะกรรมการคัดเลือกก็ควรเปิดเผย ‘เอกสารแสดงแนวคิดการบริหารจัดการธนาคารแห่งประเทศไทย และวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจมหภาคของประเทศและเศรษฐกิจการเงินของโลก นโยบายการเงิน นโยบายการกำกับดูแลสถาบันการเงิน และนโยบายเกี่ยวกับระบบการชำระเงิน’ (เอกสารหลักฐานประกอบการสมัคร ข้อ 12.8) ของผู้สมัครทุกราย ต่อสาธารณะ ภายหลังจากที่กระบวนการสรรหาเสร็จสิ้นลงแล้ว (โดยขอความยินยอมจากผู้สมัครก่อน)

ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความรับผิดรับชอบ (accountability) ต่อสาธารณะ ให้สังคมคล้อยตามเมื่อได้พิจารณาเอกสารนี้ว่า คณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้ดำเนินการอย่างรัดกุม คัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมที่สุดเป็นผู้ว่าการ ธปท. แล้ว รวมถึงเป็นการสร้างความรับผิดรับชอบของผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ ให้คนได้ติดตามตรวจสอบการทำงานต่อไปว่า ได้ดำเนินการตามเอกสารวิสัยทัศน์ของตัวเองมากน้อยเพียงใด 

นอกจากนี้ การเผยแพร่เอกสารวิสัยทัศน์ยังจะช่วยจุดประกายให้คนในสังคมได้แลกเปลี่ยน ถกเถียงอภิปรายกันเรื่องวิสัยทัศน์ของผู้สมัครแต่ละคน รวมถึงบทบาทที่ ‘เป็นอยู่’ และ ‘ควรเป็น’ ของ ธปท. ในยุคนี้อย่างกว้างขวาง ซึ่งก็เป็นผลดีต่อ ธปท. และผู้สมัครเองด้วย

เนื่องจากการเปิดเผยเอกสารวิสัยทัศน์ต่อสาธารณะมีประโยชน์หลายประการดังกล่าวข้างต้น โอกาสนี้ผู้เขียนจึงขอเชิญชวนผู้สมัครผู้ว่าการ ธปท. ทุกท่านว่า แม้คณะกรรมการคัดเลือกฯ ไม่สนใจแนวคิดนี้ ขอให้ทุกท่านได้พิจารณาเปิดเผยเอกสารวิสัยทัศน์ของตัวเองต่อสาธารณะ ภายหลังจากที่กระบวนการสรรหาเสร็จสิ้น

เพื่อร่วมกันเปิดประตูสู่ยุคใหม่แห่งการสรรหาผู้นำองค์กรสาธารณะในประเทศไทย ยุคที่ความโปร่งใสจะกลายเป็นค่าตั้งต้น ไม่ใช่ข้อยกเว้น

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save