วิทยุกระจายฝัน Radio Days

เดือนสิงหาคมนี้ Prime Video มีหนังของวูดดี อัลเลน นักแสดง นักเขียน คนเขียนบท และผู้กำกับระดับ ‘ตำนานที่ยังมีลมหายใจ’ ของวงการหนังอเมริกัน มาให้ดูหลายเรื่อง ประกอบไปด้วย Bananas (1971), Love and Death (1975), Annie Hall (1977), A Midsummer Night’s Sex Comedy (1982), Hannah and Her Sisters (1986) และ Radio Days (1987)

ผมเลือกเรื่อง Radio Days มาเล่าสู่กันฟัง ด้วยเหตุว่างานชิ้นนี้มีความเป็นมิตรกับคนดู มีเนื้อหาที่ผู้ชมวงกว้างสามารถเข้าถึงและรู้สึกร่วมคล้อยตามได้ง่าย ต่างจากงานส่วนใหญ่ของวูดดี อัลเลน ซึ่งมีความตลกลึกแบบปัญญาชน นิยมนำเอาปรัชญา วรรณกรรมคลาสสิก และศิลปะ มายั่วล้อให้เห็นเป็นเรื่องขบขัน ให้น้ำหนักความสำคัญกับการสะท้อนภาพความไม่มั่นคงในจิตใจของตัวละคร (ซึ่งน่าจะเป็นตัววูดดี อัลเลนในชีวิตจริง) และความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนระหว่างคู่รักที่เต็มไปด้วยความเปราะบางไม่แน่นอน

พูดอีกแบบ งานมาสเตอร์พีซส่วนใหญ่ของวูดดี อัลเลน มีลักษณะ ‘เลือกคนดู’ อยู่มาก คนที่จะรักชอบได้จำเป็นต้องมีรสนิยม พื้นความรู้ และจริตนิสัย สอดคล้องตรงกันมากพอประมาณ จึงจะซึ้งในรสพระธรรมทางภาพยนตร์

Radio Days เป็นอีกฟากหนึ่งของวูดดี อัลเลน ในการทำหนังประเภท feel good เต็มไปด้วยความรื่นรมย์หรรษา อบอุ่น อ่อนโยน และมีอารมณ์สุขเศร้าถวิลหาอดีตแฝงปนอยู่อย่างงดงามน่าประทับใจ

งานอื่นๆ ของเขาที่พอจะนับเนื่องเข้ากลุ่มนี้ เท่าที่ผมนึกออกก็เช่น The Purple Rose of Cairo (1985), Sweet and Low Down (1999) และ Midnight in Paris (2011)

ความน่าสนใจแรกสุดของ Radio Days คือดูเผินๆ มันมีทีท่าเป็นหนังที่ทะเลาะกับตัวเอง ด้านหนึ่งก็พยายามเข้าหาและไม่ทอดทิ้งคนดู เล่าสะท้อนถึงอดีตและความทรงจำ ซึ่งผู้ชมทุกคนล้วนเคยมีประสบการณ์ร่วม (โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องมีรายละเอียดเหมือนกัน) ในลักษณะของการแสดงถึง ‘ความเป็นไปของชีวิต’ เกี่ยวกับความทรงจำในวัยเยาว์ การหวนระลึกถึงความหลัง เหตุการณ์และความประทับใจมากมายที่เคยเกิดขึ้นในยุคสมัยหนึ่ง แล้วต่อมากาลเวลากับความเปลี่ยนแปลงก็ทำให้สิ่งเหล่านั้นจบสิ้นลง

ขณะที่หนังเล่าถึงประเด็นหัวข้อที่เป็นสากล มีศักยภาพเหลือเฟือในการดึงดูดผู้ชมให้ตกหลุมรักได้ง่าย Radio Days กลับเป็นหนังที่ปราศจากพล็อต หรือเค้าโครงเนื้อเรื่องที่จับต้องได้ รวมทั้งไม่มีตัวละครหลักให้ผู้ชมยึดเหนี่ยวในการติดตามเรื่องราว สรุปโดยรวมคือห่างไกลจากขนบวิธีเล่าอย่างที่ผู้ชมคุ้นเคย

ตลอดความยาวประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งของ Radio Days ร้อยเรียงเรื่องเล่าสัพเพเหระสั้นๆ กระจัดกระจายจำนวนมาก แต่ละเรื่องให้ความรู้สึกเหมือนอ่านหรือฟังเรื่องเล่าขำขัน ไม่ปะติดปะต่อเชื่อมโยงกัน (ยกเว้นบางเหตุการณ์และบางตัวละคร ซึ่งมีปริมาณไม่มากนัก) วิธีเช่นนี้อาจชวนให้ผู้ชมบางท่านรู้สึกครั่นคร้ามยำเกรงตั้งแต่ก่อนดู ว่าน่าจะเป็นงานจำพวกต้องปีนบันได แต่แท้จริงแล้ว Radio Days เป็นหนังดูง่าย เข้าใจง่าย สนุกเพลิดเพลินชวนติดตาม และเป็นอีกตัวอย่างชั้นดีของงานเขียนบทที่ฉลาดปราดเปรื่อง

วูดดี อัลเลนได้รับแรงบันดาลใจในการทำหนังเรื่องนี้จากหนังอิตาลีปี 1973 เรื่อง Amarcord ผลงานกำกับของเฟเดอริโก เฟลลินี ปรมาจารย์คนสำคัญของโลกภาพยนตร์

Amarcord เป็นหนังปราศจากพล็อต มีลักษณะโน้มเอียงไปทางเป็นงานอัตชีวประวัติของเฟลลินี เล่าถึงชีวิตวัยเยาว์ของเด็กชายคนหนึ่ง คล้ายๆ การทบทวนความทรงจำหนหลัง ทั้งเรื่องราวที่ประทับใจ ผู้คนห้อมล้อมในชีวิต บ้านเกิดและสถานที่ต่างๆ เหตุการณ์ทางสังคมที่ส่งผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่ ฯลฯ

จนถึงปัจจุบัน Amarcord ขึ้นหิ้งกลายเป็นหนังคลาสสิกไปเรียบร้อยแล้ว และเป็นหนึ่งใน ‘หนังในดวงใจ’ ของวูดดี อัลเลน กระทั่งจุดประกายความคิดให้เขาทำ Radio Days (ซึ่งมีหลายคนให้นิยามว่าเป็น Amarcord ฉบับวูดดี อัลเลน)

Radio Days เป็นจดหมายรักที่มีต่อสื่อวิทยุ จับความเหตุการณ์ระหว่างช่วงท้ายๆ ทศวรรษ 1930 ถึงต้นทศวรรษ 1940 ระยะดังกล่าวถือเป็น ‘ยุคทองของวิทยุในอเมริกา’ เป็นสื่อและความบันเทิงที่สามารถเข้าถึงผู้คนทุกครัวเรือน ทุกเพศ ทุกวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าหนังสือพิมพ์ หรือภาพยนตร์ (ตอนนั้นสื่อโทรทัศน์ยังไม่ถือกำเนิด)

เรื่องมโนสาเร่ทั้งหมดใน Radio Days เล่าผ่านตัวละครชื่อโจ ในวัยผู้ใหญ่ (ให้เสียงบรรยายแบบไม่ปรากฏตัวโดยวูดดี อัลเลน) รำลึกถึงความหลังครั้งยังเด็ก (แสดงโดยเซธ กรีน)

หนังเปิดฉากเหมือนเทพนิยาย ด้วยถ้อยคำ ‘กาลครั้งหนึ่ง หลายปีมาแล้ว…’ จากนั้นเล่าถึงเหตุการณ์ขโมยสองคนแอบเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งยามวิกาลเพื่อลักทรัพย์ ขณะสามีภรรยาเจ้าของบ้านออกไปดูหนัง ระหว่ากำลังสาละวนค้นหาทรัพย์สินมีค่า จู่ๆ โทรศัพท์พลันดังขึ้น ขโมยทั้งสองเกิดอาการลังเลว่าจะรับโทรศัพท์ดีหรือไม่ ถ้ารับแล้วเป็นคนรู้จักของเจ้าบ้านโทรมา ก็จะนำมาซึ่งความเดือดร้อน ครั้นจะไม่รับ เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังต่อเนื่อง ก็อาจปลุกเพื่อนบ้านใกล้เคียงตื่น และเกิดสงสัย

ท้ายสุด คนหนึ่งในนั้นก็ตัดสินใจรับสาย แล้วโจรก็ต้องตกกระไดพลอยโจน เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังกล่าวเป็นการสุ่มเลือกจากสมุดโทรศัพท์ โดยรายการวิทยุชื่อ Guess the Tune เป็นเกมโชว์ ออกอากาศสด มีวงดนตรีบรรเลงในห้องส่งต่อหน้าผู้ชม ให้ผู้เล่มเกมทางบ้านทายชื่อเพลงจากทำนองที่บรรเลง

เหตุการณ์ที่เหลือจะเป็นอย่างไร ต้องติดตามดูกันเองนะครับ แต่ฉากเปิดเรื่องที่สนุกและตลกมากดังกล่าว ทำหน้าที่สำคัญอยู่ 2 ประการ อย่างแรกคือเป็นบทเกริ่นนำคร่าวๆ ถึงทิศทางและอารมณ์โดยรวมของหนัง ถัดมาคือเชื่อมโยงไปสู่วิทยุ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องเล่าต่อมาทั้งหมด

เรื่องราวแท้จริง เริ่มต้นด้วยเสียงบรรยายของโจ ความว่า “ฉากคือร็อกอะเวย์ ช่วงเวลาคือวัยเด็กของผม มันเป็นละแวกบ้านเก่าของผม และยกโทษให้ผมด้วย ถ้าหากว่าผมจะมีแนวโน้มทำให้อดีตโรแมนติกเกินจริง ผมหมายถึงว่า มันไม่ได้มีแต่พายุฝนฟ้าคะนองอย่างที่เห็นนี้ชั่วนาตาปี แต่ผมจำมันได้แบบนั้น เพราะว่ามันเป็นช่วงที่สวยงามที่สุด ในกาลครั้งนั้นวิทยุที่บ้านเราเปิดอยู่ตลอดเวลา…”

ว่ากันว่า (จากการอ่านเจอนะครับ) ใน Radio Days มีตัวละครมากมายร่วมๆ 150 คน แต่ตัวละครหลักที่ผู้ชมจะคุ้นหน้าจนจดจำได้ มีราวๆ 10 กว่าคนเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งในจำนวนนี้ คือสมาชิกครอบครัวของโจ

โจเป็นเด็กชายวัยประมาณ 12-13 ขวบ ครอบครัวเป็นชาวยิว-อเมริกัน พำนักอาศัยแถบชานเมืองนิวยอร์ก ในถิ่นย่านที่เรียกว่าร็อกอะเวย์ สมาชิกประกอบไปด้วยปู่ร่างเล็กกับย่าร่างยักษ์, พ่อกับแม่ที่เถียงกันได้ทุกเรื่อง (ในฉากแนะนำตัวละครคู่นี้ ทั้งสองกำลังเถียงกันว่า มหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรแอตแลนติก ที่ใดจะมีขนาดกว้างใหญ่กว่ากัน), ลุงเอ็บ ผู้ชอบแวะเวียนไปหาเพื่อนที่ท่าเรือ และมักจะได้ของฝากเป็นปลาสดๆ ติดไม้ติดมือกลับบ้านเสมอ ป้าซีล ผู้อยากจะทำอะไรต่อมิอะไรสารพัดอย่าง แต่ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในการชำแหละปลาที่สามีนำมาให้เพื่อทำกับข้าว, รูธี ลูกสาวของลุงกับป้า ซึ่งชอบสอดแนมเพื่อนบ้านผ่านการแอบฟังทางโทรศัพท์ที่บ้านตนเอง, น้าบี สาวสวยและโสด พยายามออกเดตกับผู้ชายคนแล้วคนเล่า ซึ่งเริ่มต้นมีแนวโน้มเป็นคนที่ใช่ แต่ลงท้ายก็กลายเป็นไม่ใช่อยู่ร่ำไป

พ้นจากนี้แล้ว ยังมีอีกหนึ่งตัวละครสำคัญ คือแซลลี ไวท์ สาวสวยมากฉลาดน้อย ใฝ่ฝันอยากเป็นดารา แต่เป็นได้จริงแค่สาวขายบุหรี่ในไนต์คลับหรู และโดนบรรดาคนดังหลอกเชยชมแล้วทอดทิ้งอยู่เนืองๆ ควบคู่ไปกับการตกงาน ได้งานใหม่ รวมทั้งเผชิญเรื่องประหลาดพิลึกกึกกือในทางร้ายจนเหมือนกิจวัตรประจำ

จากตัวละครเหล่านี้ หนังเชื่อมโยงแต่ละคนไปสู่ ‘ยุคทองของวิทยุ’ เริ่มจากรายการโปรดของสมาชิกครอบครัวแต่ละคน แม่ชอบฟังรายการ Breakfast with Irene and Roger ว่าด้วยคู่สามีภรรยาผู้ดำเนินรายการ กินอาหารเช้าอย่างหรูหรา พร้อมๆ กับพูดคุยเล่าเรื่องในแวดวงสังคมชั้นสูง, โจชอบฟังละครวิทยุแนวซูเปอร์ฮีโรเรื่อง The Masked Avenger, ลุงเอ็บชอบฟังรายการกีฬา, น้าบีชอบฟังรายการเพลง

ถัดจากนั้นก็เป็นเรื่องของเพลงฮิตจำนวนหนึ่งที่ได้ยินทางวิทยุ ซึ่งเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงเหล่านี้ โจจะมีความทรงจำย้อนถึงเรื่องราวต่างๆ ในอดีต มีทั้งเหตุการณ์ประทับใจ (เช่น รักแรกในวัยเด็ก, วันครบรอบแต่งงานของพ่อกับแม่, ประสบการณ์ตื่นตาตื่นใจ เมื่อได้ไปเยือน The Radio City Music Hall อันหรูหราอลังการเป็นครั้งแรก) ไปจนถึงเรื่องเล็กๆ ที่ไม่สลักสำคัญ (พฤติกรรมสัปดนของเพื่อน, เหตุการณ์ลุงข้างบ้านผู้รักสงบ เกิดอาการสติแตก วิ่งถือมีดอาละวาดไปตามท้องถนน, ภาพรูธี ลูกพี่ลูกน้องของโจ ร้องเพลงที่เธอโปรดปรานในบ้าน)

เรื่องราวเกี่ยวกับรายการวิทยุใน Radio Days อาจสรุปรวบรัด แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน อย่างแรกเป็นเรื่องแต่งสมมติขึ้น เพื่อจำลองเหตุการณ์จริง แง่มุมที่มีน้ำหนักโดดเด่นและสนุกมากคือเรื่องเล่าข่าวลือประเภทซุบซิบนินทาดาราและคนดัง

อีกกลุ่มหนึ่งคือวิทยุในแง่มุมเชื่อมโยงกับเหตุการณ์จริง เช่น ละครวิทยุเกี่ยวกับมนุษย์ดาวอังคารบุกโลก ซึ่งนำเสนออย่างสมจริง จนสร้างความแตกตื่นให้แก่ผู้ฟัง (เหตุการณ์นี้อิงกับเรื่องจริงเมื่อครั้งที่ออร์สัน เวลล์ ทำละครวิทยุเรื่อง The War of the Worlds ในปี 1938 ด้วยการเริ่มเรื่องแบบไม่มีอารัมภบทใดๆ แต่แสร้งทำทีเป็นตัดแทรกจากรายการปกติ เป็นรายงานข่าวด่วน บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพจราจลจากการบุกรุกของมนุษย์ต่างดาว จนทำให้ผู้ฟังเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เกิดความวุ่นวายโกลาหลไปทั่ว), รายงานข่าวกองทัพญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ จนเป็นเหตุให้อเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และความเปลี่ยนแปลงทั้งในรายการวิทยุและชีวิตประจำวันที่ติดตามมาหลังจากนั้น รวมถึงข่าวเด่นประเด็นร้อนเกี่ยวกับเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ตกลงไปในบ่อน้ำ และการกู้ภัยช่วยเหลือเธอ ซึ่งกินเวลายาวนานหลายชั่วโมง ท่ามกลางอุปสรรคมากมาย (หนังเปลี่ยนชื่อเด็กหญิงผู้ประสบเหตุ แต่ในเรื่องจริงคือ Kathy Fiscus)

Radio Days ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ 2 สาขา คือกำกับศิลป์และบทภาพยนตร์ อย่างแรกเด่นมากในการเนรมิตภาพอดีตของนิวยอร์ก ทั้งย่านใจกลางเมืองและชานเมือง ในช่วงรอยต่อระหว่างทศวรรษ 1930 ถึง 1940 ออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวา สมจริง สวยงาม และน่าตื่นตาตื่นใจ

อย่างหลังคือบทภาพยนตร์ เด่นมากในการเล่าเรื่องแบบ ‘เล่นท่ายาก’ ได้อย่างชาญฉลาด ท่ามกลางการเล่าเรื่องที่กระจัดกระจาย ยุ่งเหยิง ไร้ระเบียบ และไม่ปะติดปะต่อ งานชิ้นนี้ก็เต็มไปด้วยความเยี่ยมยอดอันเกิดจากฝีมือการเขียนบท เริ่มตั้งแต่ความคมคายของบทสนทนา การคิดเหตุการณ์สนุกๆ พิลึกกึกกือสารพัดสารพัน, แก๊กตลกและอารมณ์ขัน (ซึ่งหลากหลายมาก มีตั้งแต่ตลกเอะอะมะเทิ่งเป็นการ์ตูน, ตลกอันเกิดจากจังหวะที่เหมาะเจาะ, อารมณ์ขันน่ารักๆ และตลกเสียดสีเหน็บแนมอย่างแหลมคม)

ในแง่เหตุการณ์เผินๆ เหมือนนึกอะไรได้ ก็ใส่เข้ามาในหนัง

และที่ผมประทับใจมากสุด คือการเรียงลำดับในด้านอารมณ์ความรู้สึก

อารมณ์ยืนพื้นของ Radio Days เป็นหนังตลก มีอารมณ์ขันอยู่ตลอดทั่วทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ความเปลี่ยนแปลงและคลี่คลายตามรายทาง เป็นเรื่องของลักษณะวิธีการทำตลกและจำนวนปริมาณ

ช่วงต้นเรื่องนั้น ตลกกันแบบมาถี่ๆ และเป็นอารมณ์ขันจะแจ้งจำพวกฮาครืน จากนั้นจังหวะของอารมณ์ขันก็เริ่มมีระยะเว้นวรรค ควบคู่ไปกับแก๊กที่อ่อนโยนขึ้นตามลำดับ พร้อมๆ กับที่ดรามา ความซาบซึ้ง ความรู้สึกเศร้าลึกค่อยๆ แทรกปนเข้ามา และเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นสุดในตอนจบ

พูดอีกแบบคือขณะที่เรื่องเล่าต่างๆ มีความเป็นอิสระ ปราศจากโครงสร้าง อารมณ์ของหนังก็เป็นไปตามแบบแผนการเล่าเรื่องทุกประการ มีจุดหักเห มีไคลแมกซ์ เหมือนหนังเพื่อความบันเทิงตามปกติ เพียงแต่วูดดี อัลเลนไม่ได้นำเสนอออกมาเป็นภาพเหตุการณ์โดยตรง แต่เขาทำให้ผู้ชมรู้สึก

การใส่รายละเอียดเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 และเหตุการณ์เด็กหญิงตกลงไปในบ่อน้ำ (เรื่องเล่านี้คล้ายกับเหตุการณ์ในบ้านเราเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนที่เด็กๆ ทีมหมูป่าติดอยู่ในถ้ำ ต่างกันแค่ตอนจบ ซึ่งในหนังเป็นเรื่องเศร้า) เป็นสองฉากสำคัญ ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนอารมณ์ของหนัง จากทีเล่นไปสู่ทีจริง

ความเก่งของวูดดี อัลเลน คือทั้งสองเหตุการณ์ นำเสนอแบบคุมโทน ไม่ฟูมฟาย ไม่ตึงเครียด และไม่รันทดหดหู่ เป็นแค่ความเศร้าที่แฝงซ่อนปนอยู่ในเรื่องราวรื่นรมย์ อารมณ์เหลื่อมปนดังกล่าวพัฒนาถึงขีดสุด และทำให้เรื่องเล่าในลักษณะไปเรื่อยๆ มีฉากจบบทสรุปที่สวยงามน่าประทับใจ

หนังจบลงด้วยเหตุการณ์คืนส่งท้ายปีเก่า ย่างเข้าสู่ปี 1944 บรรดาคนดังรวมตัวในงานเลี้ยงที่ไนต์คลับ ซึ่งแซลลี ไวท์เคยทำงานเป็นสาวขายบุหรี่ และเหตุการณ์ที่บ้านซอมซ่อของโจ ซึ่งสมาชิกทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า

เสียงบรรยายของโจ เล่าประกอบภาพสองเหตุการณ์นี้ว่า “ผมไม่เคยลืมคืนส่งท้ายปีเก่าที่น้าบีปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาทันเจอการคืบเคลื่อนมาถึงของปี 1944  ผมไม่เคยลืมบรรดาคนเหล่านั้นหรือเสียงต่างๆ ที่เราเคยได้ยินได้ฟังทางวิทยุ แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว เมื่อวันส่งท้ายปีเก่าผ่านพ้นไป เสียงเหล่านั้นดูเหมือนจะแผ่วลง เบาลงไปเรื่อยๆ ก็ตาม”

โดยที่ไม่ต้องมีการบอกกล่าวชัดๆ ตรงไปตรงมา เสียงบรรยายข้างต้นพูดถึงจุดสิ้นสุดยุคทองของวิทยุในอเมริกาได้อย่างสวยงาม อ่อนโยน หม่นเศร้า และสุดแสนจะโรแมนติก

นอกจากจะเป็นจดหมายรักถึงวิทยุ ที่เล่าถึงความสุขและความทรงจำในอดีต (เทียบเท่ากับที่ Cinema Paradiso เป็นจดหมายรักถึงภาพยนตร์) Radio Days ยังพูดถึงความจริงกับความฝัน การหลบหนีความจริงไปสู่ความฝันที่รายการวิทยุป้อนปรนผู้ฟัง ความเป็นมายาสวยหรูที่ปรากฏผ่านรายการต่างๆ ขณะที่เบื้องหลังความจริงกลับแตกต่างผิดกันไกล (เช่น พระเอกผู้ให้เสียงเป็นซูเปอร์ฮีโรได้อย่างหล่อเหลาสง่างาม แต่ตัวจริงของคนพากย์กลับตัวเตี้ย หัวล้าน), ความผูกพันและเกี่ยวโยงที่ทุกคนสร้างฝันส่วนตัวผ่านการมีวิทยุเป็นสื่อ, ความไร้เดียงสาวัยเด็กและการเติบโตเป็นผู้ใหญ่, กาลเวลาและความเปลี่ยนแปลง ฯลฯ

โรเจอร์ อีเบิร์ต นักวิจารณ์ชื่อดังผู้ล่วงลับ แสดงความชื่นชม Radio Days และยกให้งานชิ้นนี้อยู่เคียงข้างหนังเรื่อง Amarcord ของเฟลลินี

เพราะคนทำหนังทั้ง 2 เรื่องนี้ ประสบความสำเร็จในการบอกกล่าวกับผู้ชมว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้นไม่สำคัญเท่ากับวิธีที่เราจดจำมัน

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save