เลือดต้องล้างด้วยน้ำ Pulp Fiction

จุดเริ่มต้นของเควนติน ทารันติโน ในการเป็นผู้กำกับและคนเขียนบท แท้จริงแล้วมีเส้นทางขรุขระ ยากลำบาก เจอะเจออุปสรรคขวากหนามอย่างไรบ้าง เป็นเรื่องยากจะหยั่งรู้ได้ถ้วนทั่วถ่องแท้ แต่คำเล่าขานที่ปรากฏแพร่หลายต่อสาธารณชนนั้น ชวนฝันประดุจเทพนิยาย

กาลครั้งนั้นในปี 1992 เควนติน ทารันติโนเป็นพนักงานร้าน Video Archives (ร้านเช่าวิดีโอขนาดใหญ่ในย่านแมนฮัตตัน บีช, แคลิฟอร์เนีย) เขาเขียนบทหนังเรื่อง Reservoir Dogs หมายใจว่าจะกำกับเอง และแสดงร่วมกับพรรคพวกเพื่อนฝูงคอเดียวกัน ซึ่งช่วยร่วมลงขัน ตั้งงบประมาณไว้ราวๆ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ ถ่ายทำด้วยฟิล์มขาวดำ 16 มม.

ระหว่างตระเตรียมงาน บทหนังก็ผ่านตาใครต่อใครหลายคน จนกระทั่งไปถึงมือดาราดังอย่างฮาร์วีย์ ไคเทล ซึ่งอ่านจบแล้วชอบมาก จึงเสนอตัวเป็นโปรดิวเซอร์ร่วม และช่วยสนับสนุนจนสามารถระดมทุนได้ถึง 1.5 ล้านเหรียญ เปลี่ยนสถานะจากหนังกระป๋องกระแป๋งของมือสมัครเล่น กลายมาเป็นหนังอินดี้ฟอร์มเล็กที่มีมาตรฐานการผลิตแบบมืออาชีพ

เมื่อออกฉาย Reservoir Dogs ไม่ถึงกับฮิตเปรี้ยงปร้างถล่มทลาย แต่ก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จ ทำรายได้ไปพอคุ้มทุนไม่บาดเจ็บ ทว่าสิ่งที่เกินคาดคือเสียงตอบรับจากนักวิจารณ์และผู้ชม ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ดีมาก

อานิสงส์จาก Reservoir Dogs ส่งผลให้เควนติน ทารันติโนมีเครดิตชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในวงการ หนังเรื่องต่อมาคือ Pulp Fiction ในปี 1994 จึงถือกำเนิดขึ้นด้วยความสะดวกราบรื่นกว่าเดิม

และเมื่อหนังออกฉาย เทพนิยายเรื่องเควนตินเดอเรลลา ก็อุบัติซ้ำอีกครั้ง

หากเปรียบความสำเร็จของ Reservoir Dogs ว่าเข้าข่าย ‘สามล้อถูกหวย’ นั้นก็เป็นเพียงแค่รางวัลเล็กจำพวกเลขท้ายสองตัวหรือสามตัว ขณะที่ความสำเร็จของ Pulp Fiction เป็นหวยรางวัลใหญ่ ระดับรางวัลที่สองหรือรางวัลที่สามเลยทีเดียว

จากทุนสร้างประมาณ 8 ล้านเหรียญ หนังทำรายได้สูงเกิน 200 ล้านเหรียญ กวาดคำชมจากนักวิจารณ์ไปหลายกระบุงโกย รวมถึงคว้ารางวัลมหึมาอย่างปาล์มทองคำ จากเทศกาลหนังนานาชาติเมืองคานส์ และเป็น 1 ใน 3 ตัวเก็งขับเคี่ยวชิงชัยบนเวทีออสการ์ปี 1994 แข่งกับ Forrest Gump และ The Shawshank Redemption

Pulp Fiction ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ 7 สาขา ประกอบไปด้วยหนังเยี่ยม, ผู้กำกับ, ตัดต่อลำดับภาพ, นักแสดงนำชาย (จอห์น ทราโวลตา), นักแสดงสมทบชาย (ซามูเอล แอล. แจ็คสัน), นักแสดงสมทบหญิง (อูมา เธอร์แมน) และชนะไปหนึ่ง คือเควนติน ทารันติโน ในสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม

จนถึงปัจจุบัน Pulp Fiction ขึ้นหิ้งเป็นหนังคลาสสิกร่วมสมัยไปเรียบร้อยแล้ว และกาลเวลา 31 ปีที่ผ่านมา ก็พิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าความแปลกแหวกแนว สดใหม่ และสร้างสรรค์ เมื่อครั้งสมัยแรกออกฉายยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม

จะมีสิ่งที่แตกต่างไปบ้างคือทุกวันนี้ ผู้ชมดูหนังของเควนติน ทารันติโนด้วยความคุ้นเคยกับรูปแบบวิธีการเล่าเรื่องจากงานลำดับต่อๆ มาของเขา ซึ่งยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่างๆ เอาไว้ครบครัน ตลอดจนหนังของผู้กำกับอื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน ที่รับอิทธิพลและได้แรงบันดาลใจจากทารันติโน ต่างจากในปีที่ Pulp Fiction เพิ่งออกฉาย วาระนั้นมันเป็นหนังที่ทำให้ผู้ชมตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน กับวิธีการเล่าเรื่องแบบไม่เรียงลำดับก่อนหลังตามเวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้น

เควนติน ทารันติโนไม่ใช่คนแรกหรือผู้คิดค้นวิธีเล่าเรื่องแบบเล่นสนุกกับลำดับเวลาหรอกนะครับ ก่อนหน้านั้นมีคนทำมาแล้วพอสมควร ทั้งในหนังและวรรณกรรม

ผมมีโอกาสได้ดูหนังที่บอกเล่าด้วยโครงสร้างเช่นนี้ไม่เยอะพอ รวมถึงแทบไม่รู้ข้อมูลใดๆ เลย จึงยากจะสรุปแจกแจงอย่างกระจ่างแจ้งว่าเพราะเหตุใด วิธีการเล่าเรื่องของเควนติน ทารันติโนใน Pulp Fiction จึงสร้างแรงสั่นสะเทือนมากมายดังเช่นที่ได้เกิดขึ้น เท่าที่จับสังเกตได้และค่อนข้างเป็นความเข้าใจแบบคาดเดา ผมคิดว่า มี 2 จุดปลีกย่อยที่ทำให้ Pulp Fiction แตกต่างจากการเล่าเรื่องไม่เรียงตามลำดับเวลาในหนังอื่นๆ

อย่างแรกคือไม่มีการแจ้งเตือนบอกให้คนดูรู้ตั้งแต่ต้น ปกติของหนังที่เล่าเรื่องไม่เรียงต้น กลาง ปลายตามลำดับเกิดเหตุ มักจะขึ้นข้อความระบุวันเวลาให้ผู้ชมรับทราบ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความสับสนงุนงง ทว่าสิ่งที่เป็นอยู่ใน Pulp Fiction คือพ้นจากฉากเกริ่นนำเปิดเรื่อง (คู่รักหนุ่มสาวคุยกันระหว่างมื้ออาหารเกี่ยวกับวิธีการปล้นที่ง่ายและปลอดภัย สุดท้ายก็ตัดสินใจลงมือปล้นร้านอาหารนั้น) หนังก็เล่าเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ

ความแปลกเท่าที่พบเห็น มีแค่การแบ่งเป็น 3 บท พร้อมทั้งตั้งชื่อไว้เสร็จสรรพ (ประกอบไปด้วย Vincent Vega and Marsellus Wallace’s Wife, The Gold Watch และ The Bonnie Situation) แต่ละบทมีเรื่องราวเหตุการณ์ของตนเอง ในเบื้องต้นดูเหมือนจะแยกจากกันเป็นเอกเทศ แต่แล้วก็มีตัวละครหลายรายจากเรื่องหนึ่งไปปรากฏแบบผ่านๆ ในอีกเรื่องหนึ่ง เพียงเท่านี้ผู้ชมก็พอจะนึกคะเนได้ว่าถึงบั้นปลายแล้ว ทั้ง 3 เรื่องจะต้องมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน

พูดอีกแบบคือนับตั้งแต่เริ่มเรื่อง ผู้ชมดู Pulp Fiction ด้วยความตระหนักรู้ว่าเป็นหนังที่เล่าเหตุการณ์แบบแยกส่วนเป็นหลายๆ เรื่อง และเข้าใจมาตลอดว่าเวลาเกิดเหตุในแต่ละบทแต่ละตอนเรียงลำดับเป็นเส้นตรงตามปกติ

แต่แล้วในจังหวะไม่นึกฝัน ไม่ทันตั้งตัว หนังก็เฉลยความลับว่าช่วงเวลาในแต่ละบทไม่ได้เป็นไปในลักษณะ 1 2 3 ดังเช่นที่โดนล่อหลอกให้ไขว้เขวเข้าใจผิด

น้ำหนักในการสร้างความประหลาดใจ เซอร์ไพรส์คนดูของ Pulp Fiction ออกฤทธิ์จะแจ้งรุนแรงประมาณเดียวกับหนังที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดของหักมุมเลยนะครับ

ครั้งแรกที่ดูหนังเรื่องนี้ ถึงจังหวะดังกล่าว ผมได้ยินเสียง “เฮ้ย!” จากบริเวณที่นั่งใกล้เคียง ดังสนั่นลั่นโรงหนัง

เป็นการร้อง “เฮ้ย!” ด้วย 2 สองเหตุผล ประการแรก คือการเฉลยว่าหนังไม่ได้เล่าเรื่องเรียงตามลำดับเวลา ถัดมาคือด้วยการไม่เรียงตามลำดับเวลานั้นเอง ส่งผลให้เกิดสถานการณ์ประหลาดในหนัง ซึ่งเปรียบเปรยอ้อมๆ ได้ว่า (ผู้ชม) รู้สึกเหมือนโดนผีหลอกกลางวันแสกๆ

ปัจจัยอย่างที่ 2 ซึ่งทำให้การเล่าเรื่องไม่ตรงตามลำดับเวลาของ Pulp Fiction ต่างจากหนังอื่นๆ ก่อนหน้านั้นที่ใช้โครงสร้างแบบเดียวกัน คือการใช้ประโยชน์จากเทคนิควิธีดังกล่าว โดยรวมทั่วไป การเล่าเรื่องไม่เรียงตาม ต้น กลาง ปลาย มักส่งผลให้เรื่องราวเหตุการณ์ที่อาจดูปกติธรรมดา ถ้าหากเล่าอย่างซื่อๆ ตรงไปตรงมา กลายเป็นหวือหวา ยอกย้อน ดูมีชั้นเชิงชวนให้รู้สึกทึ่ง และที่สำคัญคือทำให้เกิดความลับและบทเฉลยที่สร้างความประหลาดใจ

Pulp Fiction ใช้การเล่าเรื่องแบบไม่ตามลำดับเวลาเพื่อประโยชน์หน้าที่ข้างต้นครบถ้วน และไปไกลยิ่งกว่านั้น ด้วยการที่หลังจากเฉลยเสร็จสรรพแล้ว ยังคงเดินหน้าใช้วิธีเดิมอีกหลายครั้ง จนเพิ่มความยอกย้อนให้กับเนื้อเรื่อง

พูดง่ายๆ คือเป็นการเล่าเรื่องไม่เรียงลำดับทบซ้อนเข้าไปอีกหลายชั้น จนถึงขั้นว่าคนที่ดูรอบแรก หากคิดเร็วๆ ในเวลาอันกระชั้นสั้นว่าช่วงไหนมาก่อน ฉากไหนมาทีหลัง ก็สามารถเกิดอาการพิศวงงงงวยเอาได้ง่ายๆ

แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือวิธีเล่าเรื่องแบบ ‘เล่นไม่เลิก’ ของหนัง ยังนำไปสู่จังหวะร้อง “เฮ้ย!” อีกหลายครั้งหลายครา

นี่ยังไม่นับรวม สรรพคุณข้อใหญ่คือการเล่าเรื่องด้วยวิธีโลดโผนโจนทะยานของเควนติน ทารันติโน ทำให้น้ำเน่ากลายเป็นน้ำดี

พล็อตและเหตุการณ์ทั้งหมดของหนัง มีลักษณะตรงตามชื่อเรื่อง Pulp Fiction ซึ่งใช้เรียกขานนิยายราคาถูก พิมพ์ด้วยกระดาษเนื้อเลว เนื้อเรื่องโดยมากเกี่ยวกับนักเลงอันธพาลและอาชญากรรม มีเซ็กซ์และความรุนแรงเป็นจุดขาย และอาจถือได้ว่าเป็น ‘นิยายขยะ’ ปราศจากคุณค่าในทางศิลปะ นอกจากไม่เคยได้รับการยกย่องเชิดชูใดๆ แล้ว ยังเป็นรสนิยมระดับล่างๆ ที่โดนดูแคลน อ่านจบแล้วโยนทิ้งก็ไม่มีอันใดต้องนึกเสียดาย

เนื้อเรื่องของ Pulp Fiction นอกจากจะมี 3 บท 3 เหตุการณ์ใหญ่แล้ว บางบทยังแบ่งเป็นตอนย่อยๆ ได้อีก ทั้งบทเกริ่นนำ บทสรุปปิดท้ายของแต่ละบท และอีกหนึ่งช่วง flashback ย้อนอดีต รวมทั้งหมดแล้วน่าจะมีประมาณ 7 เหตุการณ์

Vincent Vega and Marsellus Wallace’s Wife เป็นเรื่องของคู่หูนักฆ่าวินเซนต์กับจูลส์ที่ได้รับคำสั่งจากเจ้านาย (มาร์เซลลัส วอลเลซ) ให้ปฏิบัติภารกิจช่วงชิงกระเป๋าเอกสารใบหนึ่งกลับคืนมา และจัดการเก็บทุกคนที่เอาไปให้สิ้นซาก

ในค่ำคืนนั้น วินเซนต์ยังได้รับมอบหมายให้พามีอา (ภรรยาของเจ้านาย) ไปเที่ยว ตลอดการท่องราตรี ทั้งเขาและเธอตกอยู่ในสภาพเมามายจากการเสพยา จากจุดเริ่มต้นเหินห่างแปลกหน้า สนุกสนานครื้นเครงในเวลาต่อมา สุดท้ายค่ำคืนนั้นก็จบลงด้วยความโกลาหลอลหม่านระดับวายป่วง

The Gold Watch เป็นเรื่องของบุทช์ คูลิดจ์ นักมวยที่ขึ้นชกครั้งสุดท้าย ก่อนจะแขวนนวม ได้รับการทาบทามจากนักเลงใหญ่ (มาร์เซลลัส วอลเลซ) ว่าจ้างให้ล้มมวย บุทช์ตกลงรับข้อเสนอและเงินค่าจ้าง แต่วางแผนดัดหลังเจ้าพ่อ นำเงินทั้งหมดที่มีวางเดิมพันตนเองด้วยราคาต่อรองที่ดีเยี่ยม จากนั้นก็ตั้งใจชกเพื่อเอาชนะ รวบรวมเงินพนัน หลบหนีไปพร้อมกับคนรักชื่อฟาเบียน เริ่มต้นชีวิตใหม่

ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ยกเว้นเพียงอย่างเดียว ขณะเก็บรวบรวมสัมภาระ ฟาเบียนลืมนาฬิกาทอง ซึ่งเป็นสิ่งของสำคัญและมีความหมายต่อบุทช์มากที่สุด เรื่องที่ควรจะรวบรัดและราบรื่น จึงบานปลาย เลยเถิด และนำไปสู่สถานการณ์บรรลัยจักรของใครต่อใครมากมาย

The Bonnie Situation เล่าถึงวินเซนต์กับจูลส์ หลังเสร็จสิ้นภารกิจหนึ่ง ขณะกำลังขับรถกลับ เกิดอุบัติเหตุปืนลั่น ทำให้เด็กหนุ่ม (ซึ่งเป็นสายให้กับสองคู่หู) ที่นั่งอยู่ด้านหลัง เสียชีวิต สภาพเละเทะ เลือดและเศษชิ้นส่วนสมอง สาดกระจายไปทั่วทั้งรถ

เหตุเหนือความคาดหมาย ทำให้วินเซนต์กับจูลส์เกิดอาการ ‘ไปไม่เป็น’  ตระหนกตกใจ เงอะงะ ทำอะไรไม่ถูก จึงตัดสินใจแวะไปบ้านเพื่อนของจูลส์ชื่อจิมมี เพื่อหลบซ่อนและสงบสติอารมณ์ และค่อยๆ คิดอ่านหาทางแก้ไขให้รอดพ้นจากสถานการณ์ ‘งานเข้า’ แต่เรื่องยิ่งคับขันหนักข้อขึ้นอีก เมื่อบอนนีคนรักของจิมมี ใกล้จะเดินทางกลับถึงบ้าน และหากเธอพบเห็นสภาพรถ สภาพศพ และสภาพโชกเลือดเปรอะเปื้อนไปทั้งตัวของวินเซนต์กับจูลส์ สถานการณ์อาจเลวร้ายไปถึงการฟ้องหย่าจิมมี

ท้ายที่สุด เมื่ออับจนมืดแปดด้าน จูลส์จึงต้องโทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือจากมาร์เซลลัส และความช่วยเหลือนั้นก็คือการมาถึงของวินสตัน วูลฟ์ สุดยอดนักเก็บกวาดมืออาชีพ

เรื่องย่อๆ ที่ผมเล่ามานั้น นอกจากปิดซ่อนความลับสารพัดสารพันแล้ว ยังตกหล่นอีกหลายเหตุการณ์สำคัญ แต่รวมความแล้วเหตุการณ์ทั้งหมด ล้วนเป็นเรื่องราวในแบบนิยายราคาถูกที่เรียกว่า Pulp Fiction

ความน่าทึ่งคือพล็อตแนวอาชญากรรมดาดๆ เหล่านี้ เมื่อเล่าโดยผ่านการ ‘จัดระเบียบ’ ใหม่ มีการสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งจนผิดที่ผิดทางไปหมด รวมถึงเต็มไปด้วยเจตนาอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของหนังเรื่องนี้ นั่นคือการละเมิด และแหวกขนบของเรื่องเล่าในรูปแบบที่ผู้ชมคุ้นเคย (ตัวอย่างหนึ่งในล้านของการละเมิดก็เช่น นี่เป็นหนังอาชญากรรมที่ไม่มีตำรวจปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่คนเดียว ที่พอจะใกล้เคียงสุดคือพนักงานรักษาความปลอดภัย ซึ่งกลับกลายเป็นตัวละครที่ชั่วร้ายสุดในเรื่อง)

ทั้งหมดนี้ได้ทำให้เรื่องราวที่พัวพันเกี่ยวกับนักเลง อันธพาล ยาเสพติด การพนัน การทรยศหักหลัง เรื่องชู้สาว การข่มขืน การล้างแค้น การเข่นฆ่านองเลือด กลายเป็นหนังอาชญากรรมที่ตลกอย่างร้ายกาจ สนุกไม่บันยะบันยัง ฉลาดปราดเปรื่องเท่าๆ กับติงต๊องเหลวไหล ไม่อาจคาดเดาสิ่งใดได้เลย และอาจรวมคำนิยามสรรเสริญเยินยออีกมากมาย บรรจุไว้ในถ้อยคำสั้นๆ ว่า ‘เหนือชั้น’

อีกองค์ประกอบสำคัญของ Pulp Fiction ที่สร้างความฮือฮาและกลายเป็นที่จดจำไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเล่าเรื่องแบบสับขาหลอก ก็คือฝีมือระดับมหาเทพในการเขียนบทสนทนาของเควนติน ทารันติโน

โรเจอร์ อีเบิร์ต นักวิจารณ์ใหญ่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ยกย่องความสามารถด้านนี้ของทารันติโนว่าดีเกินพอที่จะยืนต่อแถวเคียงข้างเรย์มอนด์ แชนด์เลอร์ และเอลมอร์ เลนเนิร์ดได้อย่างทัดเทียมสง่างาม

2 นักเขียนที่เอ่ยนามนี้ ขึ้นชื่อลือชาว่าเขียนบทสนทนาระหว่างตัวละครได้เก่งกาจล้ำเลิศ

บทสนทนาใน Pulp Fiction ซึ่งเป็นหนังพูดเยอะแบบน้ำไหลไฟดับ ดูเผินๆ เหมือนการพูดพล่ามไปเรื่อย ไม่เป็นโล้เป็นพาย ซ้ำยังเต็มไปด้วยคำสบถ คำหยาบ แทบทุกประโยค แต่ก็มีความโดดเด่นอยู่หลายประการ เหมือนฟังคนคุยสนุก มีความเป็นนักเล่าเรื่องชั้นยอด สามารถตรึงความสนใจของผู้ชมไว้ได้ตลอดเวลา เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน สะท้อนบุคลิกนิสัยของตัวละครต่างๆ ได้อย่างมีชีวิตชีวา

และที่ยอดเยี่ยมมากคือการใช้บทสนทนาทำหน้าที่สารพัดสารพันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมคนดูล่วงหน้า (ตัวอย่างที่โดดเด่นมากคือตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของนาฬิกาทอง) การเป็นตัวช่วยทำให้เรื่องราวที่เล่าไม่เรียงลำดับ ดูกระจัดกระจาย เกิดความเป็นระเบียบ (พูดอีกแบบคือบทพูดแทบทั้งหมดในหนังเรื่องนี้ช่วยไล่เรียงให้ผู้ชมเข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้นก่อน-หลังได้ง่ายขึ้น)

ไกลกว่านั้นคือเมื่อผสมรวมกับโครงสร้างการดำเนินเรื่องแล้ว บทสนทนาทั้งหมดไม่เพียงแต่จะยกระดับเรื่องราวดาดๆ พื้นๆ ให้กลายเป็นอีกหนึ่งในการเล่าเรื่องที่น่าประทับใจของโลกภาพยนตร์เท่านั้น ทว่าบทสนทนาหลายฉากหลายตอน รวมถึงคำพูดติดปากก่อนลงมือฆ่าของจูลส์ ยังทำให้งานชิ้นนี้นำเอานิยายขยะราคาถูกมาอยู่เคียงข้างคัมภีร์ไบเบิล จนเหมือนการอัปเกรดตนเอง และนำไปสู่เนื้อหาสาระที่เต็มไปด้วยคติธรรมสอนใจ (ในแบบทีเล่นทีจริงตามประสาเควนติน ทารันติโน)

กล่าวคือ Pulp Fiction เป็นหนังสะท้อนถึงการไถ่บาป การแสวงหาความหลุดพ้น การเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง และการให้อภัย

จำได้ว่าครั้งแรกที่ดู Pulp Fiction จบลง สาระสำคัญของหนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้ผมร้อง “เฮ้ย!”

(ปล. Pulp Fiction มีให้ดูใน max นะครับ)

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save