EP. 1
ชัยชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของพรรคไทยรักไทยจากการเลือกตั้งในปี 2548 ที่คว้ามาได้ถึง 377 ที่นั่ง จาก 500 ที่นั่ง สร้างประวัติศาสตร์เป็นรัฐบาลพรรคเดียวครั้งแรกของประเทศ
ในสายตาคนที่รักและเข้าใจประชาธิปไตยนี่คือจุดเริ่มต้นของการมองเห็น ‘ฟ้าสีทองผ่องอำไพ’ ด้วยมั่นใจว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงเริ่มลงหลักปักฐานอย่างมั่นคง เพราะคะแนนเสียงที่ได้มาอย่างถล่มทลาย แม้ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ทักษิณ ชินวัตรเดินเกมควบรวมพรรคต่างๆ มาอยู่ภายใต้ชื่อพรรคไทยรักไทย แต่ปัจจัยสำคัญสุดคือการเอาชนะใจประชาชนด้วยนโยบายบริหารประเทศที่สัมฤทธิ์ผล
คะแนนนิยมและบารมีทักษิณในฐานะ ‘ผู้นำ’ พุ่งทะลุขีดจำกัดในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะคนรากหญ้าถึงชนชั้นกลาง ทว่าในสายตา ‘ชนชั้นนำผู้มีอำนาจเดิม’ ทักษิณและพรรคไทยรักไทยกลับถูกมองว่าเป็น ‘ภัยคุกคาม’ ที่จะมาสั่นคลอน status quo และประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ของพวกเขา
ปฏิบัติการวาดภาพ ‘ผีทักษิณ-ระบอบทักษิณ’
นั่นจึงเป็นที่มาของยุทธศาสตร์ไร้ยางอายภาคแรก จากฝ่าย เสธ. ของชนชั้นนำ
เริ่มด้วยการสร้างภาพ ‘ผีทักษิณ’ ผ่านข้อหาคลาสสิกครบสูตร ‘ทุจริตคอร์รัปชัน-ไม่จงรักภักดี-สร้างความแตกแยก-ไร้จริยธรรม-มีผลประโยชน์ทับซ้อน’ ก่อนจะจบด้วยการรัฐประหาร 2549
แต่เพราะความด้อยสติปัญญาในทางการบริหารประเทศและการเอาชนะใจประชาชน เมื่อเผชิญกับข้อเปรียบเทียบจากผลงานที่ทักษิณสร้างไว้ เลือกตั้งใหม่อีกกี่ครั้งพรรคการเมืองที่ชนชั้นนำหนุนหลังก็เอาชนะในคูหาไม่ได้ จึงสลับมาใช้นิติสงครามควบคู่กับการเดินเกมในสภาฯ ก่อนจะปิดจ็อบด้วยรัฐประหารอีกรอบในปี 2557
ทำทุกอย่างเสมือนคนไร้ยางอาย ลงทุนเผาบ้านไล่หนูที่ชื่อ ‘ทักษิณ’ จนประเทศบอบช้ำแสนสาหัส เปลี่ยนตัวผู้นำในฝ่ายพวกเขามาหลายคน คนล่าสุดเช่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีเวลาสร้างผลงานผ่าน ‘ระบอบประยุทธ์’ ภายใต้อำนาจที่แทบจะเบ็ดเสร็จและกติกาที่เขียนเพื่อพวกเขากันเอง
แต่ถึงเวลาคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสิน ตามหลักการประชาธิปไตยขั้นพื้นฐานก็ยังไม่มีปัญญาชนะเลือกตั้งเช่นเดิม ต้องอาศัยช่องตีความเพื่อกุมอำนาจรัฐต่อไป เพื่อจัดการ ‘ผีทักษิณ-ระบอบทักษิณ’
ยุทธศาสตร์ไร้ยางอายภาคแรกจบแบบยังรักษาอำนาจรัฐไว้ได้ แต่ไร้ความชอบธรรมทางการเมืองและล้มเหลวในการสร้างคะแนนนิยมจากประชาชน
จุดเปลี่ยนหลอมรวม ‘ระบอบทักษิณ-ระบอบประยุทธ์’
การสู้รบระหว่างชนชั้นนำกับทักษิณและเครือข่าย ผ่านไปกว่าทศวรรษก็เริ่มมีเค้าลางยุติลง หลังเกิดภัยคุกคามใหม่ที่ชื่อ ‘พรรคอนาคตใหม่’ จากนโยบายและจุดยืนทางการเมืองที่ก้าวหน้าและกล้าหาญสำหรับประชาชนส่วนใหญ่ มากกว่าที่ทักษิณและพรรคไทยรักไทยแผ้วทางไว้
แต่ขณะเดียวกันก็ ‘ก้าวล่วง’ ต่อ status quo ของชนชั้นนำยิ่งกว่าที่ทักษิณและไทยรักไทยนำร่องไว้ (โดยไม่ตั้งใจ)
ดีลหย่าศึกที่ริเริ่มปูทางไว้ตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ (หลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่งคือเสียงคุยทางโทรศัพท์ระหว่างคนเสียงคล้ายคนแดนไกลกับคนเสียงคล้ายนายพลเอกคนหนึ่งที่เกษียณแล้ว) แม้จะชะงักจนนำไปสู่การรัฐประหาร 2557 แต่ก็ถูกรื้อฟื้นปะติดปะต่อใหม่หลังเกิดการชุมนุมการเมืองครั้งใหญ่ปี 2563-2564 ที่มีเยาวชนคนหนุ่มสาวเป็นแกนนำ (ชนชั้นนำเชื่อว่าเชื้อไฟการประท้วงมาจากการขายความคิดและอุดมการณ์ในแบบ ‘อนาคตใหม่’)
ดีลครั้งนี้มีข้อตกลงคือภารกิจสกัดการเติบโตของพรรคก้าวไกลที่แปลงร่างมาจากอนาคตใหม่ที่เพิ่งถูกยุบไป
EP. 2
ชนชั้นนำเลือกหย่าศึกทักษิณและเครือข่าย เพราะมั่นใจในผลงานและฐานคะแนนนิยมของทักษิณว่าจะทำให้ปีกการเมืองที่เขาหนุนหลังลบข้อครหาจากสังคมและจากก้นบึ้งหัวใจตัวเองที่ชอกช้ำกับคำเสียดสีเย้ยหยัน ‘ไม่มีปัญญาชนะเลือกตั้ง’ ได้เสียที
อีกเหตุผลหนึ่ง เพราะชนชั้นนำอ่านทางทักษิณขาดว่าไม่ใช่นักการเมืองสายพันธุ์ยึดมั่นอุดมการณ์ เช่น พรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล
ทักษิณเป็นนักธุรกิจการเมือง หากเสนอเงื่อนไขต่อรองที่สมประโยชน์ (ส่วนตัว) เขาก็พร้อมตกลงโดยหวังว่าจะใช้ความสามารถในแง่วิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจของตัวเองตอบแทนคืนคนส่วนใหญ่ในภายหลังเพื่อชดเชยการเปลี่ยนจุดยืนทางการเมืองในบางเรื่อง
แต่ปฏิบัติการแรกในยุทธศาสตร์ไร้ยางอายภาคสองกลับล้มเหลวชนิดพลิกความคาดหมาย พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งเป็นพรรคอันดับหนึ่ง นอกจากสร้างความผิดหวังให้กับชนชั้นนำแล้วยังสร้างความอับอายทวีคูณให้กับทักษิณและเครือข่ายที่พรั่งพร้อมในทุกด้าน แต่กลับแพ้เลือกตั้งเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปีให้กับพรรคที่มากไปด้วยนักการเมืองปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แต่อุดมด้วยจุดยืน ‘เจ้านายคือประชาชน’
เกมการเมืองไร้ยางอายจึงต้องฉายเป็นชุดๆ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จและต้องหาทางตัดตอนการขยายพันธ์ุเติบโตก่อนจะหยุดยั้งไม่ไหว
ตีรวนชิงตำแหน่งประธานสภา, ทำลายจารีตที่วางไว้ตามหลักประชาธิปไตย, ตระบัดสัตย์จัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว (ตามแผนเดิมที่คิดไว้ก่อนหน้า), ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหาร 10 ปี จากความผิดล้มล้างการปกครองฐานเสนอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112
ทุกอย่างดูเหมือนเข้าทางว่า การฆ่าตัดตอนพรรคที่ชนชั้นนำมองว่าเป็นภัยคุกคามใหม่ที่ร้ายแรงกว่าภัยคุกคามเดิมเช่นทักษิณและเครือข่ายกำลังเดินไปด้วยดี เพราะระยะเปลี่ยนผ่านจากพรรคก้าวไกลสู่พรรคประชาชนสร้างความอ่อนเปลี้ยทั้งต่อพรรคและผู้สนับสนุน
แต่เพราะความด้อยประสิทธิภาพของรัฐบาลเพื่อไทย ทั้งภายใต้การนำของเศรษฐาและเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การนำของแพทองธาร นอกจากไม่สามารถสร้างผลงานเพื่อดึงคะแนนนิยมกลับคืนมาได้ กลายเป็นส่อแววทำลายคะแนนนิยมที่เคยมีอยู่เดิมให้ลดลงไปอีก
ความไม่พร้อมสำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเศรษฐาว่าแย่แล้ว แต่ความสามารถที่ไม่ถึงขั้นไม่ว่าจะมองจากด้านสติปัญญา, ความพยายามเรียนรู้, ภาวะผู้นำ, ความขยัน จนถึงความสามารถในการสื่อสารเรื่องยากๆ และมีสาระเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนนั้นแพทองธารทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานของ ‘ผู้นำประเทศ’
กระทั่งล่าสุดเกิดความสับสนอลหม่านในรัฐสภาจากประเด็นแก้รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ แพทองธารในฐานะนายกฯ ผู้เคยแถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่าจะผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ กลับแสดงความเห็นราวดูหนังดูละครบอกว่า “สนุกดี”
รัฐบาลแพทองธารจึงตกอยู่ในสถานการณ์ล้มเหลวทั้งการบริหารการเมืองและบริหารเศรษฐกิจ ซึ่งล่าสุดธนาคารโลกปรับลดประมาณการณ์จีดีพีประเทศไทยเหลือ 2.9 จากเดิม 3.0 ต่ำกว่าประเทศส่วนใหญ่ในกลุ่มอาเซียน
ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ตัวชี้วัดสำคัญว่าด้วย trust – confidence – sentiment ทั้งต่อรัฐบาลและต่อประเทศตกต่ำหนักในรอบสามปี เทียบอาการราวคนป่วยกำลังร่อแร่
เมื่อบวกเข้ากับพรรคประชาชนที่เริ่มตั้งหลักได้หลังจากช่วงเปลี่ยนผ่านก็สร้างผลงานในฐานะฝ่ายค้านอย่างโดดเด่น เช่น เปิดโปงรากเหง้าปัญหาค่าไฟฟ้าแพงผิดปกติ, ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ทำร้ายคนไทยมาหลายปี, การแสดงเจตจำนงมุ่งมั่นแก้รัฐธรรมนูญปี 2560 มรดกบาป คสช. ตามสัญญาประชาคม
เชือด 44 สส. อีกหมากเกมไร้ยางอาย
เมื่อเป็นเช่นนี้แม้จะเหลือเวลาอีกสองปีกว่าจะถึงการเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไป เพื่อความมั่นใจว่าจะลบล้างความอับอายจากข้อครหา ‘ไม่มีปัญญาชนะเลือกตั้ง’
หมากเกมที่ชนชั้นนำจะขยับต่อคือกรณี ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาต่ออดีต สส. พรรคก้าวไกล 44 คนว่ามีความผิดทางจริยธรรม จากการร่วมลงรายชื่อเสนอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 (ที่เป็นเหตุยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิพิธากับกรรมการบริหารพรคไปก่อนหน้านี้)
หากตัดสินว่าผิดจริง โทษอาจถึงขั้นตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต เช่นที่พรรณิการ์ วานิชเคยถูกเล่นงานมาก่อน
นี่คือหมากที่จะฆ่าตัดตอนพรรคประชาชนอย่างเลือดเย็นและไร้ยางอาย เพราะในจำนวน 44 คนมีหลายคนที่ถือเป็นกำลังสำคัญ มีความโดดเด่นทางการเมือง เป็นที่รู้จักชื่นชมจากประชาชน
ทั้งที่ข้อกล่าวหาเป็นเรื่องเกินความจริงอันปกติไปมาก เพราะการเสนอแก้ไขกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติตามระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งในช่วงก่อนเลือกตั้ง พรรคก็เคยเสนอเป็นนโยบายต่อ กกต. และ กกต. ก็เห็นชอบอนุมัติ
รวมทั้งในอดีตก็เคยมีการแก้ไขกฎหมายมาตรานี้สำเร็จมาแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรก
ชนชั้นนำจึงต้องชั่งน้ำหนักให้ถี่ถ้วนว่า เกมไร้ยางอายที่สุดโต่งและกระทำซ้ำๆ ในสถานการณ์ที่ประเทศอ่อนแอแทบทุกด้านอาจเกิดแรงเหวี่ยงกลับ จุดไฟความอยากเปลี่ยนแปลงโครงสร้างให้ปะทุร้อนแรง เป็นภูเขาไฟระเบิดครั้งใหม่ เพื่อตอบโต้การมองไม่เห็นหัวประชาชน
ถึงวันนั้น ไม่ว่าคุณจะชนะในห้องพิจารณาคดี ในรัฐสภา หรือแม้กระทั่งในท้องถนน (ถ้าเกิดขึ้นอีก) ก็ไร้ประโยชน์ (ล้อจากคำพูดของธงชัย วินิจจะกูล วาระ 92 ปี 24 มิ.ย. 2475)
เพราะพวกคุณอาจอยู่กับฝันร้าย ‘ไม่มีปัญญาชนะเลือกตั้ง’ ต่อไปอีกหลายสมัย
เว้นแต่คุณมั่นใจว่าประเทศนี้อยู่ได้โดยไม่ต้องมีการเลือกตั้ง