แผน PDP 202x ที่หายไป กลางสมรภูมิค่าไฟแพงและโจทย์เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด

แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ‘แผน PDP’ ถือเป็นแผนแม่บทสำหรับการผลิตไฟฟ้าของประเทศในระยะยาวราว 15-20 ปี มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานและกำลังไฟฟ้าที่เพียงพอต่อการใช้งานภายในประเทศ ผ่านการพยากรณ์ความต้องการใช้งาน – ซึ่งแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนสิ่งแวดล้อม – และการวางแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้เหมาะสมกับปริมาณความต้องการดังกล่าว

โดยปกติ แผน PDP จะมีการจัดทำฉบับใหม่ทุกๆ 3 ปี และมีการทบทวนทุก 1-2 ปี เพื่อพิจารณาว่ามีปัจจัยแวดล้อมส่งผลให้การคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ รวมถึงปรับปรุงรายละเอียดของแผนให้รับมือได้ทันท่วงที

ทว่า นับจากแผน PDP ปี 2018 ฉบับปรับปรุง (Revision 1) เป็นต้นมา จนถึงตอนนี้กลับไร้วี่แววของร่างแผนฉบับล่าสุด ที่ควรเผยโฉมออกมาบังคับใช้เมื่อปี 2024 แต่อย่างใด

ในห้วงเวลาของความล่าช้านั้น ไทยต้องเผชิญกับความอลหม่านจากการเปลี่ยนแปลงด้านการเมือง ทั้งในและนอกประเทศ ศึกภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ส่งผลต่อทรัพยากรภาคพลังงาน ต้องร่วมกระโจนสู่เทรนด์เปลี่ยนผ่านจากการใช้เชื้อเพลิงแบบเดิมไปสู่การผลิตจากพลังงานสะอาด เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะที่องคาพยพในกิจการไฟฟ้ายังมีโจทย์ซับซ้อนมากมายรอการแก้ไข – โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นทุนการผลิตหลากหลายด้านที่แฝงฝังในค่าไฟให้ประชาชนต้องแบกรับ

ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเหตุผลอันหนักแน่นที่กระบวนการออกแบบแผน PDP ควรเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม แสดงความเห็นในฐานะผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่พ้นไปจากความล่าช้าแล้ว สิ่งที่น่าสังเกตคือกระบวนการรับฟังความเห็นจากสาธารณะต่อร่างแผน PDP ฉบับล่าสุดกลับมีระยะเวลาสั้นกว่าปกติ อีกทั้งยังจัดผ่านช่องทางออนไลน์เพียงอย่างเดียว ทำให้ภาคประชาชนต่างเกิดคำถาม ถึงสิทธิ์เสียงของผู้ใช้ไฟตัวเล็กตัวน้อย ถึงรายละเอียดของร่างฉบับล่าสุดที่อาจยึดติดกับแนวคิดแบบเดิมๆ ไม่เท่าทันการเปลี่ยนแปลง

ถึงสิ่งที่ควรครุ่นคำนึงถึงอนาคตภาคพลังงานไทยในอีกหลายสิบปี ซึ่งควรเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ – ในแผน PDP ที่หายไป

หมายเหตุ: สรุปเนื้อหาจากงานเสวนาสาธารณะ ‘PDP 2025 (24): ‘ความเงียบ’ ของราคาค่าไฟแพง กับการลงทุนที่ประชาชน ‘ไม่มีเสียง’’ โดย SDG Move TH และ DataHatch วันที่ 30 เมษายน 2025


ปัญหาเนื้อในแผน PDP ที่ผ่านมา (และที่กำลังจะมา)


ดร.คุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมและพลังงานแห่งประเทศไทย ชี้ว่าแผน PDP ที่ผ่านมา โดยเฉพาะแผนฉบับปี 2015 และ 2018 พยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศไม่ตรงกับความเป็นจริง ส่งผลให้มีส่วนต่างระหว่างความต้องการใช้ไฟฟ้าและกำลังการผลิตสูง ซึ่งแทนที่จะทำให้ค่าไฟถูกลง เพราะมีอุปทานมากกว่าอุปสงค์ การพยากรณ์ที่ผิดพลาดกลับทำให้รัฐลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายแห่ง และซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่จำเป็น จนกระทบถึง ‘ค่าไฟฟ้าฐาน’ – ส่วนหนึ่งของค่าไฟที่ประชาชนต้องร่วมแบกรับต้นทุนของโรงไฟฟ้าที่ถูกสร้างขึ้น และที่กำลังจะสร้างในอนาคต กลายเป็นต้นเหตุหนึ่งของปัญหาค่าไฟแพงเกินควร

ขณะเดียวกัน นับจากการประชุม COP26 ปี 2021 ที่นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศเจตนารมณ์ว่าไทยจะบรรลุเป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ยังนำมาสู่การลงทุนรับซื้อพลังงานสะอาดในเวลาต่อมา[1] โดยอาศัยอำนาจมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) นอกเหนือจากที่กำหนดในแผน PDP ทำให้ยิ่งซ้ำเติมปัญหากำลังการผลิตสูงเกินความต้องการมากขึ้น

เมื่อผนวกรวมเข้ากับกระบวนการจัดทำแผน PDP ที่มีลักษณะรวมศูนย์ กฎกติกาที่เกี่ยวข้องกับกิจการไฟฟ้าหลายเรื่องยังล้าหลัง ทั้งมีความไม่ลงตัวระหว่างนโยบายด้านความมั่นคงด้านพลังงาน ราคา และเทรนด์พลังงานสะอาด เป็นเหตุให้คุรุจิตเสนอว่าเราต้องปรับหลักคิดและกระบวนวิธีในการจัดทำแผน PDP เสียใหม่

ด้าน ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มองว่าการจัดทำแผน PDP ฉบับล่าสุด มีโจทย์ใหญ่อยู่สองข้อ

ข้อแรก คือการทำ ‘ค่าไฟ’ ให้เป็น ‘ค่าแฟร์’ – กล่าวคือราคาค่าไฟต้องมีความเป็นธรรมต่อทุกภาคส่วนทั้งผู้ผลิต ผู้ใช้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องอาศัยการปฏิรูปทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิต จัดส่ง และจำหน่ายไฟ ไม่ใช่แค่ใช้มาตรการตรึงราคาค่าไฟดังที่รัฐบาลเคยทำมา เพราะมาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบหลายด้าน ทั้งต่อสภาพคล่องของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่ต้องแบกรับต้นทุนส่วนต่างการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนและราคาขายแก่ประชาชน ต่อการใช้ทรัพยากรไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ และต่อโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กที่เผชิญปัญหาราคาขายไม่สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต

“แน่นอนว่าเราอยากให้ค่าไฟถูกลง แต่ก็ต้องถูกลงบนพื้นฐานที่ถูกต้องด้วย”

ข้อสอง คือการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยอารีพรเผยว่าร่างแผน PDP ปี 2024 กำหนดให้ไทยมีสัดส่วนไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดกว่า 51% ของไฟฟ้าทั้งหมด ภายในปี 2037 เพื่อขยับเข้าใกล้เป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนที่ท้ายสุดแล้ว ไทยต้องมีสัดส่วนไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด 74% นับเป็นความท้าทายสำคัญในเมื่อปัจจุบัน ไทยยังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดราว 19%[2]เท่านั้น

ทั้งนี้ นักวิชาการจาก TDRI ตั้งข้อสังเกตว่าเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านในแผน PDP ดังกล่าวอาจไม่ทันการณ์ หากพิจารณาจาก ‘กับระเบิด’ สองลูกที่ไทยต้องเข้าปะทะในอีกไม่กี่ปี ได้แก่ ผลกระทบต่อภาคส่งออกจากมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ของสหภาพยุโรป ซึ่งบังคับให้ผู้นำเข้าสินค้าสู่ประเทศสมาชิกต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสูง ช่วงปี 2026 และความต้องการจากภาคการผลิตของกลุ่มธุรกิจเอกชนขนาดใหญ่ เช่น สมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100) ซึ่งส่วนมากตั้งเป้าว่าจะใช้พลังงานสะอาด 100% ในกระบวนการผลิตสินค้า ภายในปี 2030

ประเมินโดยคร่าว – อารีพรมองว่าไทยควรผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในสัดส่วนอย่างน้อย 40% ในปี 2030 เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ข้างต้น อย่างไรก็ตาม เธอกล่าวเช่นกันว่าแผน PDP 2024 อาจยังติดหล่ม ‘กับดักแบบเดิมๆ’ สามประการที่ทำให้ไทยไม่สามารถเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาดได้ในเร็ววัน

ประการแรก คือแผนสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่อีก 11 แห่งจากการคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงเกินจริง ยังคงเป็นโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติถึง 8 แห่ง

ประการต่อมา คือมีการประเมินประสิทธิภาพเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดและการกักเก็บไฟฟ้าพลังงานสะอาดต่ำเกินความเป็นจริง

และประการสุดท้าย คือการยึดติดกับระบบผู้ซื้อรายเดียว (Enhanced Single Buyer) ทำให้กิจการไฟฟ้ามีผู้ผลิตน้อยราย ราคาค่าไฟไม่เป็นไปตามกลไกตลาด ภาคเอกชนและประชาชนไม่อาจมีส่วนร่วมในการเร่งผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด และแม้กระทั่งแนวคิดอย่างการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีก็ยากที่จะเกิดขึ้น

อารีพรเน้นย้ำว่าหากเราไม่ออกจากกับดักเหล่านี้ แผน PDP ที่กำลังจะมาถึงอาจส่งผลกระทบต่อสมดุลด้านราคา ความมั่นคงและยั่งยืนด้านพลังงาน ตลอดจนการมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจการไฟฟ้าระยะยาว


กระบวนการจัดทำแผน PDP ล่าช้า-ไร้การมีส่วนร่วม


สำหรับ สฤณี อาชวานันทกุล แล้ว ปัญหาสำคัญของกระบวนการจัดทำแผน PDP ฉบับล่าสุด คือประชาชนไม่มีส่วนร่วมแสดงความเห็นอย่างเต็มที่ หรืออาจมีสิทธิ์เสียงน้อยลงเมื่อพิจารณาจากระยะเวลาเปิดรับฟังความเห็นเพียง 12 วัน และจัดผ่านระบบออนไลน์ที่มีข้อจำกัดมากมาย ต่างจากกระบวนการจัดทำแผนก่อนหน้านี้ที่ใช้เวลามากกว่า ทั้งยังจัดเวทีออนไซต์ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

สอดคล้องกับ ดอน ทยาทาน อุปนายกสมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ที่เห็นด้วยในประเด็นเดียวกันว่าประชาชนยังไม่มีสิทธิ์เสียงมากพอ แม้ว่าจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากจากค่าไฟ “ซึ่งเรามองว่าตอนนี้ (ราคา) ยังไม่เป็นธรรม” โดยเสริมจากประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะคณะอนุกรรมการพยากรณ์เพื่อทำจัดแผน PDP ว่าที่ผ่านมา เขาได้แสดงความเห็นให้ปรับเปลี่ยนแผนไปหลายครั้ง แต่ก็มักจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก ดังนั้นจึงน่าตั้งคำถามเช่นกันว่าจะนำความเห็นจากประชาชนไปพัฒนาแผนมากน้อยแค่ไหน

ดอนย้ำว่าทางที่ดี กระบวนการจัดทำแผน PDP ควรเปิดเผยข้อมูลให้โปร่งใส เชิญผู้มีส่วนได้เสียมาร่วมแสดงความเห็น และควรแถลงเหตุผลให้ชัดเจนในกรณีที่ไม่ปรับเปลี่ยนรายละเอียดแผนตามข้อเสนอของประชาชน

ขณะที่ รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อาจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่าเนื่องจาก “คำสำคัญใน PDP ฉบับนี้ที่แตกต่างจากฉบับอื่น คือเรื่องการเปลี่ยนผ่านพลังงาน” และเขาเชื่อว่า “ในอนาคต ระบบไฟฟ้าอาจไม่ได้ผูกขาดกับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่อีกแล้ว อาจจะกลายเป็นโรงไฟฟ้าขนาดย่อยในชุมชน ตำบล หรือกระทั่งระดับครัวเรือน บนหลังคา” กระบวนการจัดทำแผน PDP จึงจำเป็นต้องเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพราะถึงที่สุดแล้ว กิจการไฟฟ้าควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในขั้นตอนการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดเช่นกัน

อนึ่ง ต่อประเด็นความล่าช้าในการจัดทำแผนซึ่งทิ้งช่วงนานกว่าปกติ ชาลีมองว่าอาจเป็นผลมาจากความเปลี่ยนแปลงของการเมืองภายในประเทศ เช่น การเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งพ่วงตำแหน่งประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) การเมืองภายในรัฐบาลเอง ตลอดจนความผันผวนของการเมืองเศรษฐกิจโลก เช่น สงครามการค้า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัดสินใจถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ก็ทำให้คณะจัดทำแผนต้องกลับมาพิจารณาการเติบโตเศรษฐกิจไทยใหม่ พยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าหรือการลงทุนใหม่

หรือไม่ – หากมองในแง่ดี – คือการจัดทำแผน PDP คราวนี้มีภาคประชาชนร่วมส่งเสียงกันมาก คนทำงานจึงอาจประมวลความเห็นเพื่อปรับเปลี่ยนแผนกันอยู่ก็เป็นได้ ชาลีว่า


โจทย์ลดค่าไฟ ต้องปรับใหม่ทั้งห่วงโซ่อุปทาน


สำหรับโจทย์เรื่องการปรับลดค่าไฟที่ไปไกลกว่ามาตรการตรึงราคาปลายทางของรัฐบาล อารีพรชวนเริ่มต้นมองโครงสร้างเบื้องหลังราคาค่าไฟไทย 4.15 บาทต่อหน่วยในปัจจุบัน ว่าเป็นผลมาจากต้นทุนสามส่วนใหญ่ หนึ่ง คือต้นทุนระบบการผลิต สอง คือต้นทุนระบบจัดส่ง หรือต้นทุนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ในการสร้างโครงข่ายสายส่งภาครัฐ และสาม คือ ต้นทุนระบบการจำหน่ายไฟของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)

ในบรรดาต้นทุนทั้งหมด ต้นทุนระบบการผลิต เช่น ค่าเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้า ถือว่ามีสัดส่วนมากที่สุดและเป็นส่วนที่ภาครัฐต้องเร่งปรับแก้ให้เร็วที่สุดเพื่อให้ค่าไฟเกิดความเป็นธรรม โดยอารีพรเสนอให้ปรับทั้งหมดสามส่วน ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

‘ต้นน้ำ’ คือการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ อันเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตไฟฟ้า คิดเป็นสัดส่วนราว 60-70% ในปัจจุบัน และมีที่มาจากสามแหล่ง ได้แก่ ก๊าซจากอ่าวไทย ก๊าซนำเข้าจากเมียนมา และก๊าซธรรมชาติเหลวนำเข้า (Liquefied Natural Gas: LNG) ทั้งหมดถูกนำมาถัวเฉลี่ยต้นทุนและคำนวณออกมาเป็นราคากลาง หรือ pool gas price

เนื่องจากก๊าซ LNG มีราคาแพงที่สุด ผันผวนง่ายตามราคาตลาดโลกและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ จึงมักเป็นต้นเหตุทำให้ pool gas price โดยรวมสูงขึ้น และถึงแม้ว่าจะภาครัฐจะเปิดให้มีการแข่งขันในกิจการก๊าซ ทำให้เอกชนหลายรายสามารถนำเข้าก๊าซ LNG ภายใต้เพดานราคาที่กำหนด แต่อารีพรมองว่าควรเปิดให้มีการแข่งขันด้านราคา กล่าวคือเอกชนที่นำเข้าก๊าซได้ในราคาถูกสุด สามารถนำเข้าได้มากที่สุด เพื่อทำให้ pool gas price ถูกลง

อย่างไรก็ตาม อารีพรเน้นว่าข้อเสนอดังกล่าวเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเท่านั้น ในระยะยาว รัฐบาลควรหาแหล่งเชื้อเพลิงใหม่ที่มั่นคงกว่าการนำเข้าก๊าซ LNG โดยเร่งเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาดจากทรัพยากรในประเทศอย่างลมและแสงแดดมากขึ้น

ส่วนข้อเสนอถัดมา อารีพรเจาะจงที่ ‘กลางน้ำ’ หรือต้นทุนการแปรสภาพก๊าซและจัดส่งก๊าซ ได้แก่ การเก็บค่าผ่านท่อ ซึ่งปัจจุบัน รัฐบาลยังคิดค่าผ่านท่อจากกอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนท่อก๊าซที่มีการใช้งานแล้ว อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และในโครงการที่ได้รับการอนุมัติรวมกัน แต่เพื่อความเป็นธรรม รัฐควรคิดต้นทุนเฉพาะท่อก๊าซที่ใช้งานแล้วเท่านั้น โดยคำนวณร่วมกับค่าเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน ตรวจสอบการลงทุนที่กล่าวอ้างว่าทำเพื่อยืดอายุท่อก๊าซว่าจำเป็นมากน้อยแค่ไหน รวมถึงตรวจสอบระบบจองท่อก๊าซ (Transmission System Operator) ที่เอกชนเข้ามาจับจองว่าได้ใช้งานจริงหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดต้นทุนส่วนเกินที่ประชาชนต้องแบกรับผ่านค่าไฟ

นอกจากค่าผ่านท่อ อารีพรยังตั้งคำถามถึงแผนก่อสร้างสถานีขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG Terminal แห่งที่สาม ด้วยเงินลงทุนกว่า 4.8 หมื่นล้านบาท ว่าเป็นการก่อสร้างเพื่อใช้ในภาคการผลิตไฟฟ้าหรือไม่ โดยรัฐควรแยกประเภทสินทรัพย์ให้ชัดเจนว่า LNG Terminal ส่วนใดใช้ในภาคการผลิตไฟฟ้าสำหรับประชาชน (regulatory assets) ส่วนใดใช้งานสำหรับส่วนอื่น (commercial assets) เพื่อป้องกันต้นทุนส่วนเกินเช่นกัน

ในส่วน ‘ปลายน้ำ’ หรือก็คือต้นทุนการก่อสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้า อารีพรเสนอให้ภาครัฐเร่งเจรจากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่มีอยู่เพื่อลดค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment: AP)

“ค่าความพร้อมจ่าย เกิดจากการที่ภาครัฐคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงเกินจริง ส่งผลให้มีการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม ที่ท้ายที่สุดแล้วไม่มีการใช้งาน แต่โรงไฟฟ้าเหล่านี้ไม่มีทางขาดทุน เพราะมีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ที่มีเงื่อนไขว่าแม้ไม่ได้เดินเครื่อง ก็จะได้รับเงินชดเชยที่ครอบคลุมตั้งแต่การก่อสร้าง การบำรุงรักษา และผลตอบแทนจากการลงทุน”

อารีพรเสริมว่าค่าความพร้อมจ่ายนี้นับเป็นสัดส่วนสูงถึง 20% ของค่าไฟในปัจจุบัน และจากข้อมูล 17 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2008 ประชาชนจ่ายค่าความพร้อมจ่ายแก่โรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่อง สูงถึง 5.5 แสนล้านบาท ดังนั้น รัฐบาลต้องรักษา ‘แผลเก่า’ ส่วนนี้ไปพร้อมๆ กับการหยุดสร้าง ‘แผลใหม่’ หรือก็คือยกเลิกการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ที่ไม่จำเป็น ยกเลิกการทำสัญญาซื้อขายระยะยาว และปรับรูปแบบสัญญาให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนร่วมรับผิดชอบต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าด้วย


เป็นไปได้ไหม เปลี่ยนอัตราค่าไฟราคาเดียว?


อีกหนึ่งข้อเสนอเกี่ยวกับประเด็นค่าไฟที่ ประเสริฐศักดิ์  เชิงชวโน ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการพลังงานและอดีตรองผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ฝากไว้ขบคิด คือการหันกลับมาทบทวนอัตราค่าไฟฟ้าราคาเดียวทั่วประเทศ (Uniform Tariff) อีกครั้ง โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ประชาชนทั่วไป

โดยประเสริฐศักดิ์ชี้ว่าภาคส่วนที่ต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดมากที่สุด คือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และอุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญมาตรการอย่าง CBAM ดังจะเห็นได้ว่าเอกชนหลายเจ้าเข้ามาทำสัญญาจับจองซื้อกระแสไฟฟ้าพลังงานสะอาดจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อการส่งออกแล้ว แต่ในทางกลับกัน ประชาชนทั่วไปอาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือผู้ที่สนใจใช้ไฟฟ้าประเภทดังกล่าวอาจเลือกติดตั้งโซลาร์เซลล์ไว้ใช้งานเพื่อลดต้นทุนระยะยาวเสียด้วยซ้ำ

ในเมื่อสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดของประเทศยังมีอยู่อย่างจำกัด การเข้าถึงแหล่งพลังงานดังกล่าวเพื่อใช้ประโยชน์ด้านการส่งออก จึงควรมีต้นทุนค่าไฟแพงกว่าการใช้งานตามครัวเรือนทั่วไป

ยิ่งไปกว่านั้น ประเสริฐศักดิ์เสริมว่าภาคอุตสาหกรรมส่วนมากต้องการความมั่นคงทางพลังงานสูง กล่าวคือมีการใช้กระแสไฟฟ้าตลอดเวลา ไม่สามารถเกิดเหตุขัดข้องได้ แต่หากมองประเด็นเรื่องความมั่นคงทางพลังงาน จะพบว่าก่อนเกิดแผน PDP ฉบับปรับปรุง ปี 2018 การสร้างโรงไฟฟ้าตั้งอยู่บนแนวคิดว่าจะก่อสร้างที่ใดในประเทศก็ได้ แล้วนำกำลังไฟฟ้าที่ผลิตได้มานับรวมกัน จากนั้นให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตผู้เป็นจัดทำสายส่งเชื่อมแต่ละภูมิภาค ทำให้บางพื้นที่ยังขาดสมดุลพลังงาน เช่น ขณะที่ภาคเหนือมีโรงไฟฟ้าแม่เมาะคอยจ่ายไฟ ภาคอีสานกลับต้องอาศัยการนำเข้ากระแสไฟฟ้าจากลาวเพิ่มเติม ส่วนภาคใต้ยังต้องอาศัยนำเข้ากระแสไฟฟ้าจากภาคกลาง เป็นต้น  

การขาดสมดุลความมั่นคงในบางภูมิภาค ผนวกกับความต้องการไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่มั่นคงสูงของภาคอุตสาหกรรม ทำให้ภาครัฐอาจต้องลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับจ่ายไฟจากแหล่งผลิตมากกว่าหนึ่งแห่ง หรือลงทุนในระบบสมาร์ทกริดเพิ่มเติมแก่พื้นที่เขตนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ฝั่งผู้ประกอบการต้องยอมรับว่าการใช้ไฟฟ้าที่สะอาดและมั่นคงกว่า อาจมีต้นทุนสูงกว่า และราคาค่าไฟจะแพงกว่าปกติ

“เราต้องเซกเมนต์ลูกค้าออกไปเลยว่าใครอยากได้ราคาที่ความมั่นคงเท่าไหร่” ประเสริฐศักดิ์กล่าว พร้อมสำทับว่าการแบ่งราคาค่าไฟออกตามความต้องการใช้งานและคุณภาพของกระแสไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด สำหรับภาคธุรกิจและการใช้งานตามครัวเรือน จะช่วยตอบโจทย์และเป็นธรรมมากกว่าการใช้อัตราเดียวกันทั่วประเทศอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน


ปรับหลักคิดแผน PDP ทั้งฉบับ ขยับสู่ยุคไฟฟ้าพลังงานสะอาด


สำหรับข้อเสนอในการปรับแผน PDP ที่กำลังจะมาถึง อารีพรและชาลีคิดเห็นตรงกันว่าอันดับแรก ต้องปรับการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่อาจเติบโตช้าลง และประสิทธิภาพด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่ดีขึ้น หยุดสร้างโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลขนาดใหญ่ ยุติการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว และปรับบทบาทโรงไฟฟ้าก๊าซเป็นบทบาทรอง

ต่อมาคือเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด โดยเร่งลงทุนด้านเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน (energy storage) เพื่อปิดจุดอ่อนด้านเสถียรภาพ และสุดท้าย คือต้องสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนและเอกชนในการผลิต-ซื้อขายไฟ รวมถึงเร่งเปิดตลาดไฟฟ้าพลังงานสะอาดเสรี

ขณะที่สฤณีมองว่าอีกหนึ่งปัญหาสำคัญของกิจการไฟฟ้าในไทย คือวิธีคิดแบบผูกขาดยังฝังแน่นมากในการรับซื้อพลังงาน สะท้อนผ่านกระบวนการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนกว่า 5,203 เมกะวัตต์ครั้งล่าสุดที่ยังใช้ระบบแบบเดิม คือมีผู้รับซื้อไฟฟ้าเพียงรายเดียว รวมถึงระบบสัญญาแบบ ‘ไม่ใช้ก็ต้องจ่าย’ (Take or Pay) ทำให้ตลาดไฟฟ้าเสรีเกิดขึ้นได้ยาก หากยังไม่ทลายกรอบคิดดังกล่าว

ทั้งนี้ เธอเน้นย้ำว่าภาคพลังงานไทยต้องเข้าร่วมการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดชนิด ‘ถอยไม่ได้แล้ว’ เพราะเป็นภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดกว่า 60% ของทั้งหมด หากไม่ร่วมกันเปลี่ยนผ่าน ก็ไม่มีทางที่ประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ และในการประชุม COP30 ที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2025 นี้ ไทยมีแนวโน้มจะประกาศเจตนารมณ์และแนวทางลดโลกร้อนที่เข้มข้นขึ้น ก็น่าจับตาดูว่าแผน PDP ฉบับล่าสุดนั้นจะสอดรับกับเป้าหมายดังกล่าวมากน้อยแค่ไหน

อย่างไรก็ดี ฝ่ายคุรุจิตเตือนว่า “เราต้อง Go Green อย่างมีสติ” กล่าวคือต้องลงทุนด้านพลังงานสะอาดอย่างรอบคอบ ไม่ทำเพียงเพราะตามเทรนด์ แต่ต้องมองให้รอบด้าน และอย่าเพิ่งรังเกียจการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ เพราะเขาเชื่อว่าเชื้อเพลิงดังกล่าวยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงพลังงานได้ในราคาที่ไม่แพงเกินไป อีกทั้งก๊าซธรรมชาติยังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการสร้างเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และหากต้องการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ไม่แน่ว่าไทยอาจต้องพิจารณาทางเลือกอย่างพลังงานนิวเคลียร์ไว้ด้วย

ด้านข้อเสนออื่นๆ ต่อการจัดทำแผน PDP ของคุรุจิต ได้แก่ การปรับหลักคิดจาก Just in Case เป็น Just in Time รวมถึงลดการรวมศูนย์ (decentralization), พื้นที่ใดมีกำลังผลิตล้นเกิน และมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อม ให้ลองเปิดตลาดไฟฟ้าเสรี, สร้างอำนาจต่อรองของไทยในการเจรจาซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ พร้อมกระจายแหล่งซื้อไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน, ภาครัฐไม่แทรกแซงการซื้อขายคาร์บอนเครดิตของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน, ต้องกล้าแก้ไขกฎกติกา เช่นเรื่องค่าผ่านท่อก๊าซ การลงทุนต่างๆ ของเอกชน ไม่ให้ประชาชนต้องแบกรับต้นทุนผ่านค่าไฟ ตลอดจนกำหนดบทบาทเรื่องความมั่นคงและแนวทางการเติบโตของสามการไฟฟ้า ได้แก่ กฟผ. กฟภ. และกฟน. ด้วยการเปิดให้แข่งขันได้ผ่านบริษัทลูก

สุดท้ายนี้ ประเสริฐศักดิ์เน้นว่า “PDP ควรจะศักดิ์สิทธิ์” และต้องมีความต่อเนื่องของนโยบาย เพื่อให้องค์กรต่างๆ ดำเนินงานตามแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความเชื่อมั่นในการลงทุน สมทบด้วยความเห็นจากดอน ที่ว่า “แผน PDP จำเป็นต้องมี และต้องมีให้เร็ว” เพื่อเป็นหลักยึดในการพัฒนาการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด และช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์แบบ ‘ต่างคนต่างทำ’ ต่อกิจการไฟฟ้าในภาพรวม

References
1 โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับ พ.ศ. 2565-2573 เพิ่งลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเฟสแรกจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนหลายราย รวมกำลังผลิตกว่า 5,203 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2568 และยังเหลือสัญญารับซื้ออีกครั้ง จำนวน 3,668.5 เมกะวัตต์
2 อ้างอิงจากข้อมูลสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงผลิตพลังงานไฟฟ้าในระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) มีนาคม 2568

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save