สมาชิกวุฒิสภา (สว.) หรือที่ใครหลายคนมักเรียกขานกันว่า ‘สภาสูง’ มีหน้าที่คอยกลั่นกรองกฎหมายจากสภาผู้แทนราษฎร ที่ผ่านมาการออกแบบที่มาและอำนาจของ สว. ในประเทศไทยแตกต่างกันไปตามลักษณะการเมืองในช่วงเวลานั้น มีทั้งการเลือกตั้ง การแต่งตั้ง และรูปแบบผสม
นอกจากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ถูกมองว่าเป็นรัฐธรรมนูญบาปแล้ว อีกหนึ่งมรดกบาปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในช่วงทศวรรษที่สูญหาย คือ ‘การแต่งตั้ง สว.ชุดพิเศษจำนวน 250 คน’ เพื่อวางกลไกสืบทอดอำนาจ หลายคนมองว่า การเลือกตั้ง สว. ที่ผ่านมา ทุกสิ่งที่คนไทยถูกช่วงชิงโดยปลายกระบอกปืนอาจถูกชะล้างใหม่จากการมี สว. ชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้กติกาที่แสนซับซ้อนนี้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทน ‘ว่าที่สมาชิกวุฒิสภา’ กว่า 200 คนนี้ บางคนก็สร้างความประหลาดใจให้ใครหลายคนได้อย่างมาก แต่ก็ถือว่าเป็นการโยนหัวก้อยอีกครั้งสำหรับการเมืองไทย
เนื่องจากวาระ ‘การเลือกตั้ง สว.’ เสร็จสิ้นลง และสังคมไทยเห็นหน้าตาของ สว. ทั้ง 200 คน 101 สนทนากับ ‘ประทีป คงสิบ’ ผู้ได้รับเลือก สว. ตัวสำรองลำดับที่ 3 กลุ่มสื่อมวลชน และคอลัมนิสต์การเมืองประจำ The101.world ถึงทิศทางการเมืองไทยหลังได้เห็นโฉมหน้าของว่าที่ สว. ชุดใหม่ อีกทั้งสนามช่วงชิงอำนาจทางการเมือง รวมถึงเจาะลึกกระบวนการคัดเลือก สว. ปี 2567
หมายเหตุ : เรียบเรียงเนื้อหาจากรายการ 101 One-on-One Ep.330 – ‘อ่านการเมืองไทยในโฉมหน้า สว. 67’ กับ ประทีป คงสิบ
หลังจากที่ได้ลงสมัครเป็นผู้ร่วมสมัคร สว. คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง
ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจ ผมได้สัมผัสกับ ‘realpolitik’ แม้ที่ผ่านมาผมก็อยู่ในแวดวงข่าวเรื่องการมองการเมืองก็จริง แต่ยังไม่เคยมีส่วนร่วมผ่านกระบวนการสมัคร ถึงแม้ว่ารอบนี้จะไม่ใช่การเลือกตั้งโดยตรงเหมือนเลือกตั้ง สส. ที่ให้ประชาชนเป็นผู้เลือก แต่ถือว่าเป็นการสัมผัสกับการเมืองที่ต้องมีการเลือก และใช้กลยุทธ์อะไรต่างๆ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ถือว่าได้ไปเรียนรู้ประสบการณ์จริง แม้ท้ายสุดอาจจะได้ สว. ชุดสำรองของกลุ่มสื่อมวลชนลำดับที่ 3 และยังไม่ถึงจุดหมายก็ตาม
เมื่อคุณได้สัมผัสกับ ‘realpolitik’ ในการคัดเลือก สว. ที่เกิดขึ้นแล้ว มีประเด็นไหนที่เหมือนหรือแตกต่างกับสิ่งที่คิดไว้หรือไม่
แรกเริ่มเดิมทีผมตั้งใจไปสมัคร เนื่องจากเห็นว่ากติกามันไม่เปิดกว้าง เห็นได้ชัดจากการกําหนดอายุของผู้สมัคร คนรุ่นใหม่หลายคนมีความคิดความอ่านที่ก้าวหน้าเยอะแยะ จึงอยากจะสนับสนุนให้พวกเขาได้ลงสมัครกัน แต่พอกติกากําหนดอายุ 40 ปี ทำให้คนรุ่นใหม่ที่เราคาดหวังให้พวกเขาเข้าสู่การเมืองก็ไม่มีโอกาสแล้ว อีกทั้งเราจะทําอย่างไรจึงจะมีส่วนในกระบวนการประชาธิปไตยให้ได้มากที่สุด ในเมื่อเรามีอายุเข้าเกณฑ์ เวลาก็พอมี เงินทองพอใช้จ่ายได้โดยไม่เดือดร้อนอก็เลยอาสาเข้าไปทําเลย
เมื่อพอเข้าไปแล้ว หลายคนก็คงเจอคล้ายๆ กัน ด้วยกติกาที่ซับซ้อน จนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็น ‘กติกาที่แย่’ เพราะไม่ตอบโจทย์เรื่องของการผลักดันประชาธิปไตยผ่านการเลือกตั้ง สว. หากดูจากคำที่ถูกบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า ‘สว. เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยคล้ายกับ สส.’ แต่กติกาของการเลือกตั้ง สว. ครั้งนี้ที่ถูกออกแบบไว้ จะให้พูดว่าเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยก็ไม่เต็มปาก เนื่องจากการกําหนดให้สมัครตามกลุ่มอาชีพ 20 กลุ่ม และต้องมีเกณฑ์อายุ ประกอบกับการเลือกก็เป็นการเลือกเฉพาะในกลุ่มผู้สมัครด้วยกัน
ฉะนั้น ถ้าบอกว่าเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยก็ไม่เต็มปากเต็มคํา เพราะเป็นผู้แทนในกลุ่มคนที่มาสมัครแล้วเลือกกันเอง และในแง่ของจํานวนคนที่มาสมัคร ถ้าจะบอกว่าเป็นผู้แทนกลุ่มอาชีพก็ไม่เต็มปากเต็มคําอีกเช่นกัน เพราะทั้งหมดแค่ 40,000 กว่าคน บางกลุ่มอาชีพก็ไม่เยอะ อย่างกลุ่มอาชีพ กลุ่ม 18 (กลุ่มสื่อสารมวลชน นักเขียน) มีตัวเลขประมาณ 800 กว่าคนเท่านั้น
ภายใต้กติกาเช่นนี้ แม้ว่าเราไม่เห็นด้วยกับกติกา แต่ก็ต้องยอมรับกติกาเพื่อเข้าไปแก้มัน ยิ่งพอไปสัมผัสจริงก็ยิ่งเห็นข้อบกพร่อง เช่น เรื่องของการเปิดให้ทําความรู้จัก กล่าวคือในการเลือกผู้สมัครในผู้สมัครด้วยกันเองนั้น อย่างน้อยต้องได้รู้จักจุดยืน รู้จักความเป็นมา ความคิดความอ่าน แต่กติกาที่กำหนดไว้ในตอนแรกคือ ห้ามแสดงจุดยืนด้วยซ้ำ อีกทั้งในใบสมัครก็ไม่สามารถเขียนจุดยืนว่า ‘ผู้สมัครมีความคิดอ่านเช่นไร’ จนตอนหลังที่มีการฟ้องร้องของบัส – เทวฤทธิ์ มณีฉาย ที่เข้าไปยื่นฟ้องเรื่องระเบียบของ กกต. จึงทําให้เปิดช่องให้ผู้สมัครสามารถแสดงจุดยืน ความคิดทางการเมือง และโพสต์ลงสื่อสังคมออนไลน์ได้
นี่คือภาพรวมของกติกา จะเห็นได้ว่าระบบถูกออกแบบอย่างซับซ้อนที่สุดในโลกแล้ว มีทั้งการเลือกในกลุ่มและการเลือกไขว้ ยิ่งพอมาถึงรอบประเทศซึ่งมีผู้สมัครจำนวนมาก ในกลุ่มหนึ่งเฉลี่ยประมาณ 150 คนที่เข้ารอบสุดท้าย ตอนเลือกในกลุ่มจะคัดจาก 150 คน ให้เหลือ 40 คน เราก็ต้องมานั่งทําความเข้าใจ ดูอ่านเอกสารนี้เป็นปึกเพื่อตัดสินใจจะเลือกเขา
เมื่อถึงรอบไขว้จะยิ่งสับสนเข้าไปอีก เพราะว่าหลังจากได้ 40 คนแล้วเข้ารอบไขว้ ก็จะมีการจับฉลากแบ่งเป็นสาย จาก 20 กลุ่ม จะถูกแบ่งเป็น 4 สาย สายละ 5 กลุ่ม ตามกติกา ซึ่งไม่รู้ล่วงหน้าว่าเราจะไปอยู่ร่วมสายหรือกลุ่มไหน ฉะนั้น การศึกษาผู้สมัคร สว. แต่ละคนที่ผ่านเข้ารอบประเทศล่วงหน้าจึงเป็นเรื่องยาก นอกจากบางคนมีชื่อเสียงอยู่แล้วก็อาจพอรู้ว่าเขามีความคิดความอ่านหรือจุดยืนเป็นอย่างไร จนทำให้เราต้องมานั่งศึกษาประวัติคนในสายที่เราร่วมอีก 160 คน เรามีเวลา 1 ชั่วโมงในการทําความเข้าใจหรือศึกษาโปรไฟล์ของคน 160 คน เพื่อที่ว่าจะลงคะแนนเลือกหรือไม่เลือกเขา
หากดูจากลําดับประมาณ 1-7 ของแต่ละกลุ่มในรอบไขว้ซึ่งมีคะแนนค่อนข้างนําและโดดจากผู้สมัครคนอื่น คุณมองประเด็นนี้อย่างไร
หลายคนเรียกสิ่งนี้ว่า ‘บล๊อกโหวต’ (block vote) สำหรับกลุ่มอื่นผมไม่ทราบ แต่กลุ่ม 18 เราเห็นว่าเป็นเบอร์ 1 -5 รอบไขว้ที่สามารถเลือกได้ 5 เบอร์ และคะแนนกลุ่มก็นําโดด ซึ่งนั่นคือการบล๊อกโหวต ในกลุ่มที่มีการบริหารจัดการที่ดี เขาจึงมีการพูดคุยกันก่อนเพื่อหาข้อสรุปว่า คนที่มีแนวคิดหรือจุดยืนเดียวกันมารวมตัวกัน เมื่อคุณเข้าสู่รอบไขว้แล้ว เพื่อให้คนในกลุ่มของตัวเองที่มีการบริหารจัดการได้เป็น สว. ควรจะเลือกใครในลําดับ 1-5 ก่อน เพื่อรับประกันคะแนนและทำให้คนนี้จะได้แน่ๆ เพราะหากไม่มีการตกลงกัน อาจส่งผลให้คะแนนกระจัดกระจาย หรืออาจจะลงผิดลงถูกด้วยเพราะจำนวนคนเยอะ เราต้องจํา 4 กลุ่ม กลุ่มละ 5 เบอร์ กลุ่มบริหารราชการแผ่นดินจะเลือกใคร กลุ่มประชาสังคมเลือกใคร เป็นต้น
จะเรียกว่าทำ primary vote ก็ได้ อย่างกลุ่ม 18 หรือกลุ่มสื่อมวลชนก็จะมีการรวมตัวกันของคนที่คิดว่าแนวคิดคล้ายกัน โดยให้คนที่เข้ารอบประเทศมาทั้งหมดมาแสดงวิสัยทัศน์ในรอบสุดท้ายว่า ใครควรจะได้เป็น สว. เพื่อแสดงวิสัยทัศน์กันเองในกลุ่ม แล้วก็โหวตกันเองว่าใครควรจะได้เป็นเบอร์ 1-10 การบล๊อกโหวตแล้วเห็นโพยก็มาจากวิธีคิดคล้ายกัน แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า การทำ Primary vote แล้วหมายไว้ว่าจะเลือกใคร มันเกิดจากแนวคิดเดียวกัน จุดยืนเหมือนกัน ไม่มีการให้อามิสสินจ้าง
ผมคิดว่าตามกติกาก็ไม่ได้ผิด แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่าที่คุณทําเช่นนี้กัน แต่มีแรงจูงใจทางอื่นหรือประโยชน์ใดใดก็ตาม อันนั้นพิสูจน์ยาก ให้ไปพิสูจน์กันเรื่องคุณสมบัติในแง่กฎหมายอาจจะง่ายกว่าด้วยซ้ำ แต่การจะบอกว่าผู้สมัครเบอร์นี้ถึงเบอร์นี้ได้มาด้วยการบล๊อกโหวต แล้วจะพิสูจน์กันอย่างไร เขาอาจจะบอกว่าที่เขาเลือกแบบนี้เหมือนกันเพราะเขาชอบคนนี้ คิดคล้ายกัน แล้วที่เห็นโพย จริงๆ มันเขียนลงในใบเขาที่เรียกว่าสมุด สว.3 เป็นตัวเอกสารแบบเดียวที่กกตเขาอนุญาตให้เราถือเข้าไปในคูหาได้ เพราะเขารู้ว่ามันไม่มีทางจําได้ หากเกิดไม่ให้ถือที่เราจดไว้เข้าไปคนนั้นจะไปจําได้ตั้ง 20 เบอร์แล้วก็ 5 กลุ่มอะไรเนี่ย
จากผลคะแนนที่ออกมา ดูเหมือนว่ากลุ่มที่บริหารจัดการได้ดี คือ ‘สว. กลุ่มสีน้ำเงิน’ คุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับประเด็นดังกล่าว
ทุกคนมีการบริหารจัดการ และบริหารจัดการได้เก่งจริงๆ ภายใต้ความเก่งของเครือข่าย จะด้วยแรงจูงใจหรืออะไรก็ตาม ทําให้คนที่เขาตระเตรียมมาในการสมัคร โหวตกันได้แบบไม่แตกแถวและเป็นเอกภาพ
เมื่อถึงเวลา ความเป็นเอกภาพของผู้สมัครที่ถูกเรียกขานว่าอยู่ในเครือข่ายสีน้ำเงิน เขาโหวตกันเป็นเอกภาพมากกว่าเยอะเลย ผมประมาณการณ์ว่าส่วนหนึ่งที่มากกว่าเยอะเพราะเขาเก่งในแง่ของการระดมคน หาคนมาสมัครจากทั่วประเทศ แล้วกระจายลงทุกจังหวัด ทุกอําเภอ เพื่อนํามาสู่บั้นปลายว่าจะได้ สว. จำนวนเท่าใด แต่ความยากคือ การหาคนเป็นหมื่นๆ เพื่อมาเริ่มต้นสมัครตั้งแต่รอบอําเภอจากกติกาตามกลุ่มอาชีพได้อย่างไร
ฉะนั้น การหาคนเพื่อมากระจายลงให้ครบตาม 20 กลุ่มอาชีพจึงเป็นเรื่องยาก ไม่ใช่แค่มี ‘น้ำมันหล่อลื่น’ ที่จะอํานวยความสะดวกทั้งหลายได้ แต่ต้องเก่งในการสรรหาคนจำนวนมากด้วย สิ่งนี้เลยนํามาซึ่งคุณสมบัติของผู้สมัครที่เราจะสามารถตีความว่าคนนี้มีคุณสมบัติจะอยู่กลุ่มอาชีพนี้จริงหรือไม่ อย่างกลุ่ม 18 ก็หายากอยู่เหมือนกัน หากดูจากจํานวนของผู้สมัครทั้งหมดที่มีเพียง 800 คน หมายความว่าคงหาหาคนที่ตรงตามกติกาได้ไม่มาก ทำให้หลายคนต้องประยุกต์คุณสมบัติให้ตรงกับกลุ่มที่ต้องการสมัครให้ได้มากที่สุด จึงเป็นที่มาของการเป็นข่าว เช่น กลุ่ม 16 (กลุ่มศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี การแสดงและบันเทิง กีฬา) ที่บอกว่าเป็นนักฟุตบอลอาวุโส ประเด็นคือการเป็นนักฟุตบอลอาวุโสซึ่งไม่ใช่นักฟุตบอลอาชีพที่เล่นฟุตบอลเป็นอาชีพ จะสามารถตีความว่าเป็นนักกีฬาได้ด้วยใช่หรือไม่ หรืออย่างในกลุ่ม 18 กลุ่ม ผู้สมัครคนหนึ่งประกอบอาชีพจริงเป็นพยาบาล แต่ลงกลุ่มสื่อโดยอ้างประสบการณ์จากการเป็นพิธีกรงานแต่ง คําถามคือ การเป็นพิธีกรงานแต่งถือว่าเป็นสื่อมวลชนด้วยหรือไม่ในความหมายของ กกต. หรือกระทั่งอีกท่านหนึ่งที่บอกว่ารับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้า แต่เขาเคยมีประสบการณ์ในการทํางานเป็นประชาสัมพันธ์เสียงตามสายของหมู่บ้านมาเกิน 10 ปี จึงใช้ช่องนี้เป็นคุณสมบัติมาลงกลุ่มสื่อมวลชน คำถามคือ กกต. จะตีความว่าการประชาสัมพันธ์ตามเสียงหมู่บ้านถือเป็นอาชีพสื่อมวลชนหรือไม่
ในมุมของคุณ นิยามของกลุ่มที่ 18 หรือกลุ่มสื่อมวลชนและนักเขียน ควรจะเป็นอย่างไร
คําว่า ‘สื่อมวลชน’ ไม่ได้หมายถึงผู้ที่ประกอบวิชาชีพเป็นนักข่าว ผู้สื่อข่าว นักวิเคราะห์ หรือพิธีกรที่สังกัดตามองค์กรและสํานักข่าวเท่านั้น เนื่องจากคำว่าสื่อมวลชนเปิดกว้าง ดังนั้น สื่อมวลชนจึงเป็นผู้รายงานข้อมูลข่าวสารสู่สาธารณะ การเป็นประชาสัมพันธ์เสียงตามสายหมู่บ้าน ผมคิดว่าเขาก็คงพอจะอนุโลมได้อยู่ ในชนบทเวลามีข่าวสารข้อมูลสําคัญที่จำเป็นก็จะแจ้งผ่านเสียงตามสาย ซึ่งการแจ้งข้อมูลข่าวสารในชุมชนลักษณะนี้ ผมก็ยังตีความว่าเป็นสื่อมวลชน แต่บางคนอาจจะบอกว่าเป็นสื่อชุมชน ซึ่งท้ายสุดก็คงขึ้นกับดุลยพินิจของกกต.
การทำงานของ กกต. ตั้งแต่การเลือกในอําเภอ จังหวัด จนถึงประเทศ กกต.ทําหน้าที่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้วหรือไม่
กกต. ก็ทำได้เต็มที่ของเขาแล้ว แต่มันอาจจะมีการทำงานธุรการบางอย่างที่ขลุกขลักอยู่บ้าง เช่น ตอนรอบของอําเภอ หรือรอบจังหวัดยังไม่เท่าไร ผมคิดว่าราบรื่น ไม่ค่อยมีประเด็นปัญหาร้องเรียนมากนัก แต่พอถึงรอบประเทศเราจะเห็นความขลุกขลัก ทั้งเรื่องของขั้นตอนของการนับคะแนน ซึ่งเป็นขั้นตอนสําคัญว่าใครได้ การลงช่องถูกหรือไม่ บางกลุ่มก็มีเครื่องมือที่ทําให้รับข้อมูลข่าวสารได้ไม่ทั่วถึง
ยกตัวอย่าง กลุ่ม 18 รอบที่เลือกในกลุ่มตัวเอง ช่วงนับคะแนนด้วยจำนวนคน 147 คน บล็อกจึงยาวพอสมควร แต่เจ้าหน้าที่ประจําตรงนั้นเขาใช้โทรโข่งในการพูด ซึ่งโทรโข่งนั้นต่างจากไมค์ คนนั่งท้ายๆ ฟังไม่รู้เรื่อง รวมถึงจอโปรเจคเตอร์และจอขยาย ซึ่งคนนั่งท้ายแถวก็จะมองไม่เห็นอยู่ดี พอมาถึงรอบไขว้ก็มีปัญหาเรื่องความความชัดเจนของจอเช่นกัน แต่รอบไขว้ดีขึ้นเนื่องจากย้ายจุด เสียงประกาศดีกว่าแต่ก็ยังไม่ดังเท่ากับกลุ่มอื่นอยู่ดี เพราะกลุ่มอื่นเขาได้ไมค์ สายที่ผมไปอยู่ในตอนรอบไขว้ไม่พ้นใช้โทรโข่ง ตอนแรกเขาได้ไมค์ แต่เป็นไมค์แบบบลูทูธ ปรากฏว่าเสียงมันไปตีกับกลุ่มอื่นจึงต้องกลับมาพึ่งโทรโข่ง นี่คือความขลุกขลักอย่างหนึ่งที่ผมเห็น
ส่วนอื่นที่มีปัญหาอาจเป็น ‘การตีความ’ สิ่งนี้เป็นตอนรับสมัครที่ผมเห็น แต่เผอิญว่าในส่วนของอําเภอที่ผมสมัครไม่ได้ประสบปัญหาเรื่องของการตีความ บางที่เจ้าหน้าที่รับสมัครเขาตีความผิด ทำให้มีปัญหาเรื่องเอกสารวุ่นวายกัน ประเด็นดังกล่าวผมไม่ตําหนิ กกต. เพราะเขาคงเดินตามกติกาที่ร่างไว้ โดยภาพรวมก็ไหลลื่นไปได้มาก
ในความจริงแล้วเจ้าหน้าที่ กกต. ระดับปฏิบัติการยังกล่าวว่าบางกติกานั้นผิดธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ให้จดโพยทั้งหลาย เขาว่าคนจะจําได้อย่างไร เนื่องจากจํานวนเบอร์เยอะ อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วว่ารอบสุดท้าย นอกจากต้องอ่านจากโปรไฟล์ เราก็ไม่มีโอกาสที่จะได้แลกเปลี่ยน ทําความรู้จักกับคนกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกันเลย กระทั่งกลุ่มที่นั่งอยู่ติดเราก็ตาม เพราะเขาต้องเข้มงวดด้วยว่ากติกาเขียนเช่นนั้น
ผมจึงบอกว่าอย่างน้อยต้องมีโพยล่วงหน้ากันมาว่าจะเลือกเบอร์ไหน และต้องทําล่วงหน้าทั้ง 20 กลุ่มด้วย เพราะเราไม่ทราบว่าเราจะได้ไปไขว้กับกลุ่มใด
ในกรณีที่คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไม่ได้เป็น สว. คุณประหลาดใจหรือไม่
ประหลาดใจมาก เพราะถ้าพูดภาษาบ้านๆ คือ คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ถือเป็น ‘บิ๊กเนม’ ยิ่งในวันที่คุณสมชายไปสมัครครั้งแรกก็เป็นข่าวใหญ่ที่ทุกคนมองคล้ายกันว่าคงผ่านฉลุยตั้งแต่อําเภอยันจังหวัด เผลอๆ อาจจองตําแหน่งประธานวุฒิสภาอย่างแน่นอน แต่พอถึงเวลาแม้แต่ตัวสํารองยังไม่ได้เลย
อีกท่านหนึ่งคือ คุณนิวัฒน์ธํารงค์ บุญทรงไพศาล ซึ่งเป็นบิ๊กเนมอีกคน ก็ตกตั้งแต่รอบเช้า ไม่ได้ผ่านไปถึงรอบไขว้เลย แม้ในทางกฎหมายผู้สมัคร สว. ต้องห้ามสังกัดการเมืองหรือพรรคการเมืองใด แต่เมื่อเอ่ยชื่อ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือ นิวัฒน์ธํารงค์ บุญทรงไพศาล หลายคนคงนึกถึงเพื่อไทย และคุณทักษิณ ชินวัตร ภาพในทางการเมืองจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่สังคมไทยจะตีความกันว่า เพื่อไทยบริหารจัดการอย่างไรถึงทําให้ผู้มีชื่อเสียงระดับนี้พลาดเก้าอี้ สว.
อนุมานได้หรือไม่ว่าเกิดจากการบริหารจัดการที่ไม่ดี
คงจะมีส่วน บางคนบอกว่าเพื่อไทยไม่ค่อยเอาจริงในสนามนี้ ผมคิดว่าไม่จริง เพื่อไทยเขาก็คงอยากจะเอาจริง แต่ในที่สุดสายสีน้ำเงินสามารถบริหารจัดการจนเข้ามาได้เยอะ ส่วนสายสีแดงไม่รู้ว่าเขาบริหารกันอย่างไร นี่ถือเป็นอีกสนามหนึ่งที่พิสูจน์ความเก่งของค่ายสีน้ำเงินในแง่ของการจัดการลักษณะเขต ประกอบกับภาพรวมคะแนนความนิยมของสีแดงยังไม่ดีขึ้นด้วย
จำนวนของกลุ่ม สว. ประชาชน ที่เข้ามาประมาณ 20 กว่าคน เป็นไปตามคาดไหมหรือไม่
ผิดคาด ส่วนตัวผมยังคิดว่าอย่างน้อยน่าจะได้สัก 50-70 คน ก่อนวันเลือกตั้งวันที่ 26 มิ.ย. มีคนในกลุ่มที่เป็นฝ่ายสว. ประชาชนได้ทำการคํานวณเชิงคณิตศาสตร์การเมืองหลังจากทํา primary vote และมั่นใจมากว่า หากทุกคนมีจุดยืนเป็นสว. ประชาชนด้วยกัน มีเอกภาพ จะสามารถได้ สว. ในสายมากถึง 100 คน
การรวมตัวกันด้วยจุดยืนทางการเมืองที่คิดว่าตรงกัน บางทีเมื่อถึงจุดหนึ่ง จากเดิมตั้งใจมาเป็นโหวตเตอร์เพื่อผลักดันคนที่มีศักยภาพและมีจุดยืนแบบเดียวกันไปทําหน้าที่แทน
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งคนที่คิดว่าอยากเป็นแค่โหวตเตอร์ก็เปลี่ยนใจ อยากจะเป็นแคนดิเดตขึ้นมา เพราะเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วมันเหลืออีกเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น และพวกเขาอาจคิดว่าตนก็มีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นเหมือนกับแคนดิเดตคนอื่น ความเป็นเอกภาพในทีแรกจึงหายไป
บางคนเขาไปหาช่องทางใหม่ อาจมีการไปเจรจาเพื่อผลักดันให้ตัวเองได้เป็น ฉะนั้น แผนการเดิมที่คิดว่าเขาควรจะต้องลงคะแนนสนับสนุนคนนั้นคนนี้ซึ่งผ่าน primary vote มาแล้วได้เข้าไป คะแนนจึงไม่เป็นตามเป้า และมีกรณีเช่นนี้เยอะอยู่พอสมควร
สิ่งนี้ส่งผลต่อเนื่องไปถึงรอบไขว้ พอแคนดิเดตเข้าไปได้ไม่มากพอตามที่วางไว้ตั้งแต่รอบคัดเลือก การไขว้จํานวนคนที่ไปสลับกันลงคะแนนโหวตก็ลดน้อยถอยลงไป จํานวนคนที่ผ่านเกณฑ์เพื่อเป็น สว. จึงไม่เป็นไปตามเป้า ต่างกับทางสีน้ําเงินที่เขาเป็นเอกภาพมากกว่า
สว. ทั้งหมด 200 คนที่กำลังรอ กกต. รับรองผลนั้นทำให้พอจะเดาภาพการเมืองข้างหน้าได้หรือไม่ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร
ตอนแรกที่เราตั้งเป้าว่าต้องการมี สว. ประชาชนที่ได้รับเลือกสัก 70 คน หรือประมาณ 1 ใน 3 ที่จะไปโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ แต่เมื่อได้ประมาณ 20 กว่าคน หากมองในเชิงคณิตศาสตร์มันเหมือนกับหมดหวัง เพราะ สว. ฝ่ายประชาชน มีจุดยืนร่วมกันคือ การแก้รัฐธรรมนูญใหม่ ทั้งฉบับ สสร. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด แต่มากันเพียงแค่ 28 คน ในเชิงคณิตศาสตร์อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเสียงในสภาฯ ที่ผลักดันจาก สว. ต้อง 1 ใน 3 หรือ 67 คนขึ้นไป
แม้จะดูเหมือนหมดหวัง แต่ผมยังมองในแง่ดีอยู่คือ ผมคิดว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง ถ้าเสียงของประชาชนทั้งประเทศเรียกร้องดังพอ ธรรมชาติของนักการเมืองเขาจะต้องฟังเสียงประชาชน ฉะนั้น ไม่อยากให้หมดหวัง และอย่าเพิ่งไปสรุปจากตัวเลขที่เราเห็นก่อนว่า สว. ที่เหลือเขาจะไม่เอาด้วยหรือจะมีธงอื่น เขาอาจจะมีความคิดแบบนั้นจริง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เสียงของประชาชนดังมากพอ มันจะเป็นตัวเรียกร้อง กดดัน แล้วทำให้เขาต้องหันมาฟังหรือยอมทําตามประชามติของสังคมอย่างแน่นอน
หรือหากมองในแง่ของอํานาจต่อรองทางการเมือง สภาล่างมีสัดส่วนแบบหนึ่ง สภาสูงว่าครึ่งหนึ่งเป็นสีน้ำเงิน คิดภาพอํานาจต่อรองทางการเมืองจะเห็นเป็นอย่างไร แน่นอนว่าถ้าเป็นเช่นนี้ ทางสีน้ําเงินกลายเป็นพรรคที่มีอํานาจต่อรองสูง หากมองในแง่ว่า บทบาทถูกกระจายแบ่ง การผลักดันหลายอย่างจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับสีน้ําเงินหรือสีแดงจะยากมาก เพราะต้องใช้เสียง ในสภาล่างก็สู้ไม่ได้ สภาสูงก็ถูกสีน้ําเงินคุมการเมืองในเชิงของการต่อสู้ในสภาฯ ฝ่ายสีน้ำเงินและสีแดงจึงคุมเบ็ดเสร็จ
แต่ในที่สุดทั้งสีแดงและสีน้ําเงิน เมื่อถึงรอบการเลือกตั้งคราวหน้า โดยธรรมชาติเขาก็ต้องแข่งกันอยู่แล้ว เพียงแต่หลังเลือกตั้งโอกาสในการจับมือเพื่อสกัดอีกสีหนึ่งก็ยัง แนวโน้มมันจะเป็นอย่างนั้น เพราะอีกสีหนึ่งเหมือนกลายเป็นศัตรูทางการเมืองของทั้งสีน้ําเงินและสีแดง
หลังเลือกตั้งเขาก็คงจับมือกันเหมือนเดิม เพียงแต่มองว่าในการเลือกตั้งสนามใหญ่ โอกาสที่สีน้ําเงินจะเป็นพรรคอันดับสองอาจมากกว่าสีแดง แต่เดิมเราคงคิดว่าพรรคสีแดงจะเป็นอันดับสอง สีน้ำเงินเป็นอันดับ 3 ตามเส้นทางที่ผ่านมา แต่เมื่อถึงจุดนี้ ทั้งเรื่องการสั่งสมองคาพยพและอํานาจบารมีทางการเมือง สีน้ำเงินก็มีแนวโน้มเช่นกัน
ตั้งแต่เข้ามาเป็นรัฐบาลที่ผ่านมา กระทั่งเห็นศักยภาพของสนามเลือก สว. ยิ่งทําให้เชื่อว่า สีน้ำเงินมีโอกาสที่จะเป็นอันดับสองมากกว่าสีแดง
สส. บ้านใหญ่อาจทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้ร้บประโยชน์จากการที่เขาเข้ามาดูแลพื้นที่ แต่ สว. หรือ สภาสูง ซึ่งมีลักษณะอีกแบบหนึ่ง แต่ก็ยังคงเชื่อมโยงกับบ้านใหญ่ คุณมองประเด็นดังกล่าวอย่างไร
ในความเป็นจริงแล้ว สว. คือ ผู้แทนปวงชนโดยหลัก เอาเข้าจริงผมยังคิดว่าควรจะกลับไปในหลักการที่ถูกต้องตามหลักประชาธิปไตย คือต้องมีการเลือกตั้งโดยประชาชน หากสังคมกังวลเรื่องที่พรรคการเมืองเข้ามาแทรกแซง หรือสภาผัวเมีย มิเช่นนั้นต้องกําหนดบทบาทให้ชัดว่า หากมี สว. จะออกแบบหน้าที่ให้แตกต่างจาก สส. อย่างไร หากยังหาความแตกต่างได้ไม่ชัด เราก็ควรจะมีสภาเดียว ส่งผลให้สังคมไทยสามารถเป็นประชาธิปไตยได้เช่นเดิม หากพิจารณาจากอำนาจการกลั่นกรองกฎหมาย ผมยังคิดว่าการมี สว. เสียอีกที่ทำให้กระบวนการออกกฎหมายนั้นล่าช้า
อย่างไร สส. ก็มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอยู่แล้ว และกระบวนการออกกฎหมายกว่าจะออกได้แต่ละ พ.ร.บ. มีถึง 3 วาระ เขาพิจารณาด้วยคนที่หลากหลาย มีความสามารถ มีคุณวุฒิเยอะแยะ กระบวนการออกกฎหมายใช้สภาเดียวก็คิดว่ารอบคอบพอแล้ว ไม่จําเป็นต้องมากลั่นกรองอีกชั้นหนึ่ง
ดังนั้น สังคมไทยอาจไม่จําเป็นต้องมี สว. แต่ที่ลงสมัคร หลายคนต่างมีแรงจูงใจเดียวคือ ต้องการเข้าไปเป็น สว. เพื่อร่วมในการร่างกติกาใหม่เท่านั้น และกติกาใหม่นั้นอาจไม่มี สว.
แต่ สว. ชุดใหม่อาจดีกว่าชุดเดิมหรือไม่
ใช่ อย่างน้อย สว. 200 คนนี้ยังมาจากการเลือกตั้ง แม้ไม่ใช่การเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนก็จริง แต่มาจากการเลือกของคน 48,000 กว่าคน เขามาตามกระบวนการและไม่ได้ผ่านการคัดเลือกจากคนเพียงไม่กี่คนที่มาจากกระบวนการที่ไม่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตยด้วยซ้ำ เพียงรัฐประหารเข้ามาแล้วใช้อํานาจร่างกติกา เลือกคนเข้ามาเป็นมาทําหน้าที่ตามหน่วยงานต่างๆ ดังนั้น หากยึดโดยหลักการแล้วจะเห็นว่า ที่มาของ สว. 200 คนนี้ยังมีความชอบธรรมตามหลักมากกว่า สว. ทั้ง 250 คนที่มาโดยโดยการแต่งตั้งจากคสช.
ทุกคนอาจจะยังติดกับเรื่องโปรไฟล์หรือเรื่องต่างๆ นานาที่เป็นประเด็นอยู่ขณะนี้ ผมคิดว่าอย่าเพิ่งไปสรุป ในเมื่อเรายอมรับกับกติกานี้ แม้ไม่เห็นด้วย แต่ต้องยอมรับกับกติกาที่เราเข้าไปร่วมแล้ว จึงต้องเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงผลงาน แสดงจุดยืนที่แท้จริง หากเกิดข่าวว่าจะไปถึงขั้นร้องเรียน ก็ต้องตรวจสอบเป็นรายบุคคลไป แต่ไม่ควรไปถึงขั้นพยายามล้มกระบวนการเลือกทั้งหมด
สว. จํานวนมากที่ได้ประโยชน์จากการเลือกในกติกาเช่นนี้ พวกเขายังคงอยากแก้กติกาหรือไม่
จุดยืนประเด็นนี้ต้องไปวัดกันอีกที แต่ก็เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทำให้ทุกคนคิดว่าใครจะต้องการกลับไปแก้กติกาที่ตัวเองได้ประโยชน์ กระนั้นผมก็ยังเชื่ออยู่ว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งมันอยู่ที่เสียงพลังของประชาชน เชื่อในเรื่องของอํานาจสูงสุดเป็นของประชาชนตามหลักประชาธิปไตย ตราบใดที่เสียงประชาชนกดดันและดังมากพอ คนที่ทําหน้าที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย เขาจะต้องมีสํานึกเรื่องพวกนี้ จนท้ายสุดก็ต้องฟัง
ฉะนั้น อย่าเพิ่งหมดหวังว่าการเปลี่ยนแปลงที่เราอยากเห็น พอเห็นสภาพของภาพรวมการเลือกครั้งนี้แล้วจะทำให้เราสิ้นหวัง หมดหวัง ผมว่าอย่างน้อย สว. ฝั่งประชาชน 28 คน ที่เราเชื่อว่าเป็นคนที่มีจุดยืนและหลักการในเรื่องของประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นนอกจากเสียงของประชาชนข้างนอกสภาฯ ที่จะร่วมกดดันแล้ว ยังมี 28 คนที่อยู่ข้างใน ผมเชื่อว่าพวกเขามีศักยภาพในการที่จะผลักดันหรือกระทั่งโน้มน้าวเพื่อนร่วมสภาฯ หรือใช้วิธีการใดใดตามครรลอง เพื่อขับเคลื่อนให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้
เรายังต้องมีความหวัง อย่างน้อยอาจได้เห็นความหลากหลายในการอภิปรายของวุฒิสภาบ้าง บางคนที่เราคิดว่าเป็น สว. ที่ไม่มีชื่อเสียง เขาอาจไม่โด่งดังในความคิดของคนทั่วไป แต่เขาเป็นที่รู้จักในชุมชนของเขา หรือในพื้นที่ของเขา สิ่งนี้อาจแจ้งเกิดดาวสภาดวงใหม่ที่มาจากความหลากหลายก็ได้ จากที่สังคมเคยเชื่อว่าเขามาจากตัวแทนเครือข่ายของสีใดสีหนึ่ง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเขาได้เข้ามาอยู่ตรงนี้ บางคนอาจมีจุดยืนทางการเมืองที่เปลี่ยนไป
เมื่อเห็นสังคม เสียงสะท้อนต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา คนเราคงเปลี่ยนแปลงกันได้ เหมือนที่หลายคนชอบพูดว่าเคยเป็น ‘สลิ่มเฟสต่างๆ’ ก็ยังเปลี่ยนได้ตั้งเยอะแยะที่เราเคยเห็น ผมมั่นใจในเรื่องของทุกอย่างมันอยู่ที่สังคม อยู่ที่ประชาชน อำนาจเปลี่ยนได้ด้วยมือของประชาชน
การเลือกตั้งนายก อบจ. จังหวัดปทุมธานีที่ผ่านมา ผลการเลือกตั้งสร้างความประหลาดใจให้กับคุณหรือไม่
หากดูจากผลการเลือกตั้ง อาจผิดโพลนิด้าไปเล็กน้อย อีกทั้งพรรคก้าวไกลไม่ได้ส่งตัวแทนลง ส่งผลให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการแข่งกันระหว่าง ชาญ พวงเพ็ชร์ จากเพื่อไทยกับ และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ซึ่งทั้งสองคนต่างแข่งขันกันอย่างสูสี ส่วนตัวผมจึงไม่ได้ผิดคาดอะไรมากนัก
สำหรับพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง จากการกระทำที่เขาชิงลาออกก่อนหมดวาระ คนไม่เห็นด้วยเยอะ คะแนนจึงไม่ได้ชนะแบบที่โพลคาดการณ์ ขณะที่ชาญ พวงเพ็ชร์ หากดูในแง่บารมีของคุณทักษิณ และพรรคเพื่อไทยก็ยังคงขลัง แต่ก็ขลังไม่มาก เพราะการระดมลงไปขนาดนั้น ไปทั้งตัวคุณทักษิณ คุณแพรทองธาร คุณพานทองแท้ ลงไปชุดใหญ่ กระจายทํากันเต็มที่ แต่ก็ยังชนะได้เพียงไม่กี่คะแนน หลายคนในพรรคเพื่อไทยดีใจกันยกใหญ่ บางคนอาจว่าคุณทักษิณกลับมาจึงช่วยทําให้พลิกมาชนะได้
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้สามารถสะท้อนไปถึงการเลือกตั้ง อบต. ช่วงต้นปีหน้าได้หรือไม่
การเลือกตั้งในแต่ละครั้งต่างมีตัวแปรต่างกันในแต่ละพื้นที่ กล่าวคือการเลือกตั้งท้องถิ่นมีตัวแปรต่างจากเลือกตั้งใหญ่ แต่อย่างน้อยที่สะท้อนได้ว่า ใครที่ชอบฉวยโอกาสชิงลาออกลาออก เพื่อหวังว่าจะได้กลับมาใหม่ ทุกคนจะมีบทเรียนจากบิ๊กแจ๊สที่ชาวบ้านเขาจะลงโทษ เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณควรจะต้องทําเช่นนี้ในทางการเมือง เหมือนฉวยโอกาสอะไรบางอย่าง แต่ชาวบ้านเขาไม่เห็นด้วย เขาก็ลงโทษ
อีกทั้งการเลือกตั้งท้องถิ่น คนหนุ่มคนสาวหลายคนทํางานอยู่กรุงเทพฯ แต่อยู่ในทะเบียนบ้านที่ต่างจังหวัด ถึงเวลาบางทีพวกเขาไม่ได้กลับและกระตือรือร้นไปใช้สิทธิ์มากเหมือนการเลือกตั้งใหญ่ ส่งผลให้คะแนนบางพื้นที่จึงได้ไม่ค่อยได้ตามเป้า
การที่คุณไปร่วมในกระบวนการเลือกตั้ง สว. คิดว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มหรือไม่
คุ้มครับ แม้ว่าจ่ายไป 2500 บาทก็จริง แถมยังมีค่าใช้จ่ายแฝงมากมาย แต่ผมว่าคุ้มในแง่ที่ว่าเราได้ไปเรียนรู้จริงในขบวนการ อีกทั้งคนตัวเล็กตัวน้อยที่เขาตื่นรู้อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นจังหวัดที่ผมไปสมัคร บางคนเป็นแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว เขายอมหยุดขายเพื่อเดินทางมาสมัคร สว. แม้ว่าเขาขายวันวันหนึ่งก็ขายได้เยอะด้วย เพราะเขาอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง หลายคนจึงยอมเสียรายได้เพื่อมามีส่วนร่วมด้วย ดังนั้น จากการเลือกตั้ง สว. ทำให้เห็นความเป็นไปได้ที่สังคมไทยจะเกิดความเปลี่ยนแปลง และยังคงไม่หมดหวัง ผมเชื่อว่าความหวังในการเปลี่ยนแปลงคงอีกไม่นาน