จากการเลือกตั้งนายก อบจ.โดยตรงที่มีมาแล้ว 5-6 ครั้ง (ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับแต่ละจังหวัด เช่น เชียงรายมีแล้ว 6 ครั้ง สืบเนื่องจากการที่นายก อบจ. ถูกศาลสั่งเพิกถอนสิทธิทางการเมืองจึงเกิดการเลือกตั้งขึ้นก่อน) นับแต่การเลือกตั้งของ อบจ.บุรีรัมย์ ช่วงปลายปี 2546 ซึ่งถือเป็นแห่งแรก ก่อนที่ อบจ. ในพื้นที่อื่นอีก 74 แห่งจะจัดให้มีการเลือกตั้งพร้อมกันในวันที่ 14 มีนาคมของปีถัดมา (ณ ตอนนั้นยังมี 75 จังหวัด บึงกาฬเพิ่งตั้งเป็นจังหวัดปี 2554)
พอพูดได้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งครั้งที่สื่อมวลชนให้ความสนใจมากที่สุดด้วยหลายเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นเพราะบทบาทผู้ช่วยหาเสียงคนสำคัญ โดยเฉพาะการเดินสายขึ้นเวทีปราศรัยในพื้นที่หลายจังหวัดของอดีตนายกรัฐมนตรีอย่างทักษิณ ชินวัตร หรืออดีตแคนดิเดตนายกฯ อย่างพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ การส่งผู้สมัครในนามพรรคประชาชน โดยเจาะจงเฉพาะจังหวัดที่มีความเป็นไปได้ (ครั้งก่อนส่งสมัครในสังกัดคณะก้าวหน้าแบบปูพรม) หลายจังหวัดมีลักษณะของการแข่งขันที่ประหนึ่งภาพสงครามตัวแทนการเมืองระดับชาติ ทั้งเป็นผู้สมัครจากพรรคร่วมรัฐบาลต้องลงแข่งกันเอง (ภูมิใจไทย vs เพื่อไทย) หรือผู้สมัครจากพรรคฝ่ายค้านชนกับพรรคฝั่งรัฐบาล (เพื่อไทย vs ประชาชน)
สำหรับพรรคการเมือง ความสำคัญของการเลือกตั้งคราวนี้เปรียบไปก็คล้ายกับการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐอเมริกา แม้ไม่ใช่การเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ก็เป็นโอกาสที่ประชาชนจะได้แสดงความเห็นทางอ้อมต่อการทำหน้าที่ของประธานาธิบดีตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้การเลือกตั้ง อบจ. ของไทย เป็นการเลือกตั้งที่พรรคการเมืองอาจนำไปใช้ประเมินฐานความนิยมของพรรคตัวเองในแต่ละพื้นที่ได้อยู่บ้าง เนื่องจากการเลือกตั้งนายก อบจ. ใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง ซึ่งเท่ากับรวมเอาเขตเลือกตั้ง สส.ทุกเขตของทั้งจังหวัดนั้นเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะกับพรรคการเมืองที่พลาดหวังที่นั่งไปในคราวเลือกตั้งใหญ่ นี่คือโอกาสสำคัญที่จะแก้ตัวเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและปูทางสู่การทวงที่นั่งคืนในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า
จากการเฝ้าติดตามสถานการณ์การเลือกตั้งนายก อบจ. มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งมีนายกฯ ชิงลาออกก่อนรวม 25 แห่ง มาจนถึงการเลือกตั้งครั้งใหญ่ในปีนี้อีก 47 แห่ง เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผมขอตั้งข้อสังเกตรวมๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้งหนนี้ ดังนี้
(1) การแข่งขันลดลง
ดูได้จากจำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ. โดยรวม เมื่อปี 2563 อยู่ที่ 335 คน ตัวเลขคราวนี้ลดลงเหลือ 264 คน พอแยกดูกลุ่ม อบจ. ที่จัดเลือกตั้งก่อนยิ่งเห็นชัดเจนว่า ในปี 2563 เฉลี่ยมีผู้สมัคร 4 คนในแต่ละจังหวัด แต่ในปี 2567 กลับเหลือเฉลี่ยจังหวัดละ 2.72 คน ขณะที่กลุ่ม อบจ.ที่จัดเลือกตั้งหลังครบวาระตามปกติ ซึ่งจัดเลือกตั้งพร้อมกันกับสมาชิกสภา อบจ. ค่อนข้างคึกคักกว่า ปี 2563 เฉลี่ยมีผู้สมัครแต่ละจังหวัด 4.34 คน ปี 2568 เฉลี่ย 4.08 คน/จังหวัด ต่างกันแต่ไม่มาก
อบจ. ที่มีผู้สมัครมากที่สุดของประเทศคือ อบจ.สงขลา มีผู้สมัครถึง 9 คน ในทางกลับกันมีอยู่ 4 จังหวัดที่มีผู้สมัครเพียงคนเดียวปราศจากคู่แข่ง ได้แก่ อ่างทอง ชุมพร อุทัยธานี และสิงห์บุรี
อุทัยธานีน่าสนใจตรงที่วันแรกของการสมัครมีผู้ไปแสดงตัวว่าจะลงสมัคร 2 คน แต่หลังมีโทรศัพท์สายลึกลับเข้ามาถึงผู้สมัครทั้งคู่ทำให้ยังไม่มีใครกล้าสมัคร เมื่อได้เคลียร์กันแล้ว วันรุ่งขึ้นจึงเหลืออดีตนายกฯ คนเดิมเพียงรายเดียวมาสมัคร ภายใต้ภาวะไร้คู่แข่งขันเช่นนี้ กฎหมายกำหนดเงื่อนไขไว้ว่าผู้ชนะจะต้องได้คะแนนร้อยละ 10 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดขึ้นไป และต้องได้มากกว่าคะแนนไม่ประสงค์เลือกผู้ใด ซึ่งไม่เป็นปัญหาของผู้สมัคร 4 รายนี้เลย
(2) การผูกขาดเพิ่มขึ้น
หากสำรวจในภาพรวม สัดส่วนของนายก อบจ. ระหว่างคนเดิมกับคนใหม่รอบนี้ทั้งหมดอยู่ที่ 44 คนกับ 28 คน (คิดบนฐาน 72 จังหวัด ไม่รวม อบจ. 4 แห่งที่มีเลือกตั้งไปก่อนตั้งแต่ปี 2565 คือกาฬสินธุ์กับร้อยเอ็ด และปี 2566 คือสระแก้วกับกาญจนบุรี) คิดเป็นร้อยละ 61.11 กับร้อยละ 38.88 สวนทางกับตัวเลขรอบก่อนซึ่งสัดส่วนระหว่างคนเดิม/คนใหม่อยู่ที่ 32 คนกับ 44 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 42.10 ต่อ 57.89 หากกล่าวโดยสรุป เมื่อก่อนเราได้นายกฯ ใหม่เข้ามามากกว่านายกฯ เก่า ถึงตอนนี้เราได้นายกฯ เก่ากลับมาเป็นมากกว่านั่นเอง
หากเจาะดูในรายละเอียดจะพบว่า การเลือกตั้งรอบนี้นับรวมปี 2567-2568 มีนายก อบจ. คนเดิมตัดสินใจลงสมัครอีกเพิ่มมากขึ้นถึง 62 คน แพ้ไป 18 คน คิดเป็น 29.03%
ถ้าลองแยกกรณีที่นายกฯ ชิงลาออกก่อนเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบออกจากกรณีที่มีการเลือกตั้งเมื่อครบวาระ กลุ่มแรกประสบความสำเร็จมากกว่า นั่นคือในบรรดา อบจ. 20 แห่งที่มีอดีตนายกฯ ลงป้องกันแชมป์มีเพียง 5 แห่ง หรือ 1 ใน 4 เท่านั้นที่แพ้ ได้แก่ ชัยภูมิ ระนอง ขอนแก่น สุรินทร์ และนครศรีธรรมราช
ขอยกตัวอย่างโซนเหนือล่าง ประกอบด้วย 8 จังหวัด (สุโขทัย พิษณุโลก ตาก กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี และเพชรบูรณ์) นายก อบจ. ชิงลาออกเกือบครบทุกแห่ง (ยกเว้นที่เดียวคือ พิจิตร) แน่นอน นายกฯ ทุกคนสามารถป้องกันเก้าอี้ได้สำเร็จ 100%
ส่วนกลุ่มหลังมี อบจ. 42 แห่งที่นายกฯ คนเดิมลงสมัครอีกและแพ้ไปรวม 13 แห่ง ได้แก่ นครนายก นครพนม พังงา พิจิตร มหาสารคาม มุกดาหาร ลำพูน สกลนคร สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย และหนองบัวลำภู
แล้วคนเดิมแพ้ใคร? สรุปอย่างรวบรัดคร่าว ๆ ได้ว่า
1) แพ้ผู้สมัครที่เดิมเคยอยู่ขั้วเดียวกันมาก่อน ได้แก่ นครนายก สุพรรณบุรี
2) แพ้ผู้สมัครที่มาจากตระกูลการเมืองเดียวกันลงแข่งกันเอง ได้แก่ สุรินทร์ พิจิตร
3) แพ้ผู้สมัครที่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองสำคัญๆ เช่น พังงา (อดีตนายก อบจ.) ขอนแก่น (อดีต สส.)
4) แพ้ผู้สมัครที่ลงสมัครในสังกัดพรรคหรือมีพรรคการเมืองหนุนหลัง พรรคเพื่อไทย เช่น นครพนม มหาสารคาม สกลนคร หนองคาย พรรคภูมิใจไทย เช่น ระนอง ชัยภูมิ พรรคประชาชนคือ ลำพูน
ข้อสังเกตคือ นายกที่เป็นมาหลายๆ สมัยย่อมมีความได้เปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผลงานในอดีต กล่าวคือโอกาสที่คนเหล่านี้จะสอบตกค่อนข้างน้อย อบจ. ที่นายกฯ เคยเป็นมามากสมัยจริงๆ (ระดับ 3 สมัยขึ้นไป) แล้วต้องแพ้พ่าย เห็นจะมีแค่ขอนแก่น (6 สมัย) สุพรรณบุรี (5 สมัย) และหนองคาย (5 สมัย) เท่านั้น
ทำให้จาก 44 นายก อบจ.คนเดิมที่ชนะการเลือกตั้งและกำลังจะได้เป็นอีกในคราวนี้ พบถึง 26 คนที่ดำรงตำแหน่งมานานเกิน 3 สมัยขึ้นไป (นับรวมสมัยล่าสุดแล้ว ถึงแม้ทาง กกต.ยังรับรองไม่ครบทั้งหมด) หรือกว่า 2 ใน 3 เลยทีเดียว เรียงชื่อตามวาระสมัยได้ดังนี้
8 สมัย
1. สมศักดิ์ กิตติธรกุล นายก อบจ.กระบี่
7 สมัย
2. วิชิต ไตรสรณกุล นายก อบจ.ศรีสะเกษ
3. อัครเดช ทองใจสด นายก อบจ.เพชรบูรณ์
6 สมัย
4. กูเซ็ง ยาวอหะซัน นายก อบจ.นราธิวาส
5. ธนภณ กิจกาญจน์ นายก อบจ.จันทบุรี
6. วิเชียร ทรัพย์เจริญ นายก อบจ.ตราด
5 สมัย
7. ชัยยะ อังกินันทน์ นายก อบจ.เพชรบุรี
8. ชัยศิริ ศุภรักษ์จินดา นายก อบจ.อุตรดิตถ์
9. ธงชัย เย็นประเสริฐ นายก อบจ.นนทบุรี
10. เผด็จ นุ้ยปรี นายก อบจ.อุทัยธานี
11. มุขตาร์ มะทา นายก อบจ.ยะลา
12. วิทยา คุณปลื้ม นายก อบจ.ชลบุรี
4 สมัย
13. บำรุง ปิยนามวาณิช นายก อบจ.พังงา
14. ปิยะ ปิตุเตชะ นายก อบจ.ระยอง
15. มนู พุกประเสริฐ นายก อบจ.สุโขทัย
16. เศรษฐ์ อัลยุฟรี นายก อบจ.ปัตตานี
17. สมทรง พันธุ์เจริญวรกุล นายก อบจ.พระนครศรีอยุธยา
18. สุรเชษ นิ่มกุล นายก อบจ.อ่างทอง
19. สัมฤทธิ์ เลียงประสิทธิ์ นายก อบจ.สตูล
20. อนุวัธ วงศ์วรรณ นายก อบจ.แพร่
21. อัครเดช วันไชยวงศ์ นายก อบจ.แม่ฮ่องสอน
3 สมัย
22. กานต์ กัลป์ตินันท์ นายก อบจ.อุบลราชธานี
23. มนต์ชัย วิวัฒน์ธนาฒย์ นายก อบจ.พิษณุโลก
24. วิสุทธิ์ ธรรมเพชร นายก อบจ.พัทลุง
25. สุนทร รัตนากร นายก อบจ.กำแพงเพชร
26. อรพิน จิระพันธุ์วาณิช นายก อบจ.ลพบุรี
แน่นอน ใช่ว่านายกคนเก่าซึ่งเป็นมาอย่างยาวนานไม่ดี หลายท่านสั่งสมประสบการณ์ ทำผลงานเป็นที่ประจักษ์ ประชาชนรักและศรัทธา เรื่องนี้จึงยังมีประเด็นให้ต้องถกเถียงกันอีกมากว่าสุดท้ายเราจะให้น้ำหนักไปทางไหน ไม่ว่าปัญหาการผูกขาดอำนาจ การแข่งขันอย่างเป็นธรรม เจตจำนงของประชาชน หรือความต่อเนื่องในการทำงาน
อย่างไรก็ดี ภายใต้บริบทกฎหมายปัจจุบัน นายก อบจ.เหล่านี้จะได้ดำรงตำแหน่งอีกเพียงวาระสมัยเดียวเท่านั้น (แล้วจะต้องเว้นวรรคไปอีก 4 ปี ถึงจะสามารถลงได้อีก) ถ้าไม่มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อปลดล็อควาระผู้บริหารท้องถิ่นเกิดขึ้น (ตามข้อเสนอของพรรคภูมิใจไทย) เสียก่อน
(3) พรรคการเมืองมีบทบาทเด่นชัด
ต้องเข้าใจก่อนว่ากฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครว่าจะต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเฉกเช่นเดียว สส. แต่ก็ปฏิเสธมิได้ว่าพรรคการเมืองเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการเลือกตั้ง อบจ.ครั้งนี้ แม้ว่าในช่วงการเลือกตั้งเห็นเพียงพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน สองพรรคเท่านั้นที่ประกาศส่งผู้สมัครนายก อบจ. ในนามพรรคอย่างเป็นทางการ
พรรคเพื่อไทยเปิดตัวก่อน ประกาศครั้งแรก 9 จังหวัด ต่อมาจึงเพิ่มเป็น 16 จังหวัด (ไม่รวมกับจังหวัดที่มีการเลือกตั้งไปในระลอกแรก เช่น พะเยา อุดรธานี) เน้นภาคเหนือตอนบนกับภาคอีสาน โดยในจำนวนนี้มีอยู่ 4 จังหวัดคือ ขอนแก่น อุบลราชธานี เชียงใหม่ และอำนาจเจริญ นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าเหตุใดถึงเรียกว่าเป็นการส่งสมัครรับเลือกตั้งในนามสมาชิกพรรค ไม่ได้ลงในนามพรรคเช่นเดียวกับ อบจ.ส่วนใหญ่ ซึ่งบอกไม่ได้มันต่างกันอย่างไร ทั้งที่ก็ได้คุณทักษิณไปลงพื้นที่หาเสียงให้ผู้สมัครเหมือนๆ กัน โดยเฉพาะเชียงใหม่ เขาถึงกับเดินทางมาซ้ำ ตอกย้ำให้เลือกผู้สมัครพรรคเพื่อไทยเพื่อเชื่อมต่อนโยบายระหว่างรัฐบาลกับทาง อบจ.
พรรคประชาชน (หรือพรรคก้าวไกลเดิม) ประกาศไล่หลังมา 6 จังหวัด ต่อมาเพิ่มเป็น 17 จังหวัด (ไม่นับจังหวัดที่มีการเลือกตั้งไปก่อนแล้ว เช่น ราชบุรี อุบลราชธานี) เน้นส่งในจังหวัดที่มีฐาน สส. อยู่เป็นทุนเดิม ค่อนข้างกระจุกอยู่แถบภาคกลางและภาคตะวันออก โดยปล่อยชุดนโยบายแกนกลางของพรรคที่ใช้กับทุก อบจ.ทั่วประเทศ ได้แก่ อบจ.โปร่งใส น้ำประปาดื่มได้ โรงเรียนคุณภาพ สาธารณสุขบริการทั่วถึง
หากที่ไหนเป็นการวัดกันระหว่างผู้สมัครของสองพรรคนี้โดยตรง สื่อมักทุ่มเทความสนใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตัวอย่างเช่นที่อุดรธานี เชียงใหม่ เป็นต้น
ทว่าหลังรู้ผลการเลือกตั้งแล้ว เรากลับได้เห็นพรรคการเมืองอื่นออกมาแสดงตัวผ่านคำสัมภาษณ์ ภาพถ่ายร่วมกัน และการแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นคน/เครือข่ายของพรรค รวมไปถึงการที่มี สส. ที่ร่วมยินดี และตัวผู้สมัครเองเอ่ยปากขอบคุณ
ภูมิใจไทย: ระนอง นครศรีธรรมราช กระบี่ ศรีสะเกษ เชียงราย บึงกาฬ ฯลฯ
รวมไทยสร้างชาติ: แยกเป็นผู้สมัครที่ใกล้ชิดกับพรรค ได้แก่ สุราษฎร์ธานี พัทลุง ชุมพร และเครือข่ายของพรรค อาทิ ภูเก็ต นราธิวาส นครศรีธรรมราช ราชบุรี พิษณุโลก
ชาติไทยพัฒนา: สุพรรณบุรี และนครปฐม
จากข้อมูลดังกล่าว พอเห็นได้ว่าสำหรับหลายจังหวัดยังไม่เคลียร์ว่าผู้สมัครอยู่กับพรรคใดกันแน่ ถ้าดูจากแผนที่ประเทศไทยที่แต่ละจังหวัดถูกแบ่งออกเป็นสีๆ ตามสีของพรรคการเมือง ซึ่งสื่อชอบทำออกมาหลังเลือกตั้งก็พอสะท้อนว่าการจับคู่ความสัมพันธ์นั้นทำได้ลำบาก กล่าวคือหลายจังหวัดไม่ตรงกัน เช่น แม่ฮ่องสอนถูกจัดเป็นทั้งเครือข่ายประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย และอิสระ นนทบุรีเป็นทั้งอิสระกับเพื่อไทย ราชบุรีมีทั้งพรรคพลังประชารัฐ พรรคกล้าธรรมและอิสระ
ในต่างประเทศ สื่อนิยมใช้วิธีประเมินจากความเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ถ้าไม่มีก็ถือว่าอิสระ แม้ในทางพฤตินัยจะไม่ใช่ก็ตาม
อนึ่ง เป็นไปได้ว่าพรรคการเมืองเหล่านี้รู้ดีว่าแบรนด์พรรคตัวเองขายไม่ได้ การให้ผู้สมัครแสร้งว่าลงสมัครอิสระย่อมเป็นการดีกว่า พยายามรักษาระยะห่างกับพรรคการเมืองนั้นๆ โดยเลือกใช้ธีมสีที่แตกต่างออกไป และไม่จำเป็นต้องให้ผู้หลักผู้ใหญ่มาช่วยหาเสียง แถมยังไม่ตกเป็นที่สนใจของสื่อ จึงทำให้ผู้สมัครกลุ่มนี้ถูกจับจ้องน้อยกว่าผู้สมัครที่สังกัดพรรคการเมือง
ในที่นี้ยังไม่พูดถึงผู้สมัครที่แม้ไม่ได้ลงสมัครในนามพรรคการเมือง แต่ก็ใช้วิธีการหาเสียงอิงแอบพรรค และได้คนสำคัญของพรรคนั้นไปช่วยหาเสียงให้ กรณีพรรคประชาชน เช่น ชัยนาท พิษณุโลก กรณีพรรคเพื่อไทย เช่น สุพรรณบุรี กรณีภูมิใจไทย เช่น อำนาจเจริญ (ใช้ชื่อกลุ่มภูมิใจไทอำนาจ) โดยอาศัยความเกี่ยวพันในฐานะสมาชิก ทีมงาน อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือสนิทสนมกับแกนนำของพรรค
(4) ประชาชนตื่นตัวน้อย
สถิติฟ้องว่าจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งลดลงจากปี 2563 เฉลี่ย 62.25% โดยในปี 2567 ซึ่งแต่ละแห่งจัดการเลือกตั้งไม่พร้อมกัน เหลือเพียง 49.99% พอถึงปี 2568 ที่ถือเป็นการเลือกตั้งพร้อมกันทั่วประเทศและพร้อมกับการเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ. ตัวเลขจึงกระเตื้องขึ้นมาอยู่ที่ 58.45% ตามรายงานแถลงข่าวของทาง กกต. (ต่ำกว่าตัวเลขที่ผมคำนวณเองซึ่งได้ 59.90%) ทั้งนี้ต้องมิลืมว่าการเลือกตั้งครั้งก่อนคนตื่นตัวสูงเนื่องด้วยความรู้สึกอัดอั้นที่ คสช. สั่งห้ามไม่ให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นยาวนานถึงกว่า 7 ปี
การเลือกตั้งนายก อบจ. 24 แห่งตลอดปี 2567 กำหนดให้มีขึ้นในวันอาทิตย์เป็นหลัก โดยมีเพียงครั้งเดียวของ อบจ.สุรินทร์ที่จัดเลือกตั้งกันวันเสาร์ สัดส่วนผู้มาใช้สิทธิ 52.90% อย่างไรก็ตาม หลายจังหวัดถึงแม้นจัดวันอาทิตย์ แต่ตัวเลขคนออกไปใช้สิทธิน้อยกว่าของสุรินทร์ก็เยอะ เช่น นครสวรรค์ (37.59%) ชุมพร (47.95%) อุบลราชธานี (43.32%)
วันเป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจไป/ไม่ไปใช้สิทธิของประชาชน แต่ไม่ใช่ทั้งหมดยังมีปัจจัยอื่นอีกมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่ไม่มีมาตรการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มิได้อาศัยอยู่ในภูมิลำเนาซึ่งมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ไม่ว่าการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตและนอกเขตเลือกตั้ง รวมถึงการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร ดังเช่นที่มีในการเลือกตั้ง สส.
นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นที่เป็นข้อสันนิษฐานของผมคือ
1) กลุ่มคนรุ่นใหม่ไปจนถึงชนชั้นกลางไม่อินกับการเมืองท้องถิ่นเท่าใดนัก เนื่องจากความต้องการทางการเมืองเป็นเรื่องอุดมการณ์ ความเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างระดับชาติ ซึ่งการเมืองท้องถิ่นไม่ตอบโจทย์
2) ภารกิจของ อบจ. ค่อนข้างมีระยะห่างกับประชาชนทั่วไป คนไม่ได้รู้สึกใกล้ชิดผูกพันเหมือนท้องถิ่นขนาดเล็กอย่าง อบต.หรือเทศบาล
3) การแข่งขันไม่สูสี ผู้เสนอตัวลงแข่งยังคงเทียบคนเดิมไม่ได้ บางแห่งมีผู้สมัครรายเดียว พรรคการเมืองที่ตนชื่นชอบไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ถ้าจะต้องเดินทางกลับไปเพียงเพื่อรักษาสิทธิ์ก็มองว่าไม่คุ้มกัน
4) ขาดการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เชิงรุก เช่น แนวทางของ กกต.มุ่งรณรงค์ให้คนแจ้งเหตุก่อนวันเลือกตั้ง แทนที่จะเชื้อเชิญให้คนไปเลือกตั้งกันเยอะๆ ก่อน ยังไม่พูดไปถึงมาตรการเอื้ออำนวยประชาชน เช่น ลดราคาค่าตั๋วรถไฟ/รถทัวร์ เพิ่มเที่ยวรถโดยสาร ฯลฯ ซึ่งพูดได้เลยว่าแทบไม่มีใครผลักดันออกมา ด้วยมีปัญหาอุปสรรคจากค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับไปเลือกตั้งที่สูงมาก
5) เป็นเหตุผลส่วนตัว โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงาน การศึกษาเล่าเรียน ตลอดจนภาระครอบครัว
(5) ผลการเลือกตั้งยึดโยงกับการเมืองใหญ่
ผลการเลือกตั้งโดยรวมค่อนข้างสัมพันธ์กับผลการเลือกตั้งระดับชาติ นั่นคือหากพรรคใดชนะเลือกตั้งและได้จำนวน สส.ไปมากที่สุด ตำแหน่งนายก อบจ. ก็ย่อมไม่พ้นเป็นของผู้สมัครที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพรรคนั้น เช่น แพร่ น่าน กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ สุพรรณบุรี อุดรธานี นครราชสีมา บุรีรัมย์ ตรัง ยะลา
ทว่าในหลายจังหวัดกลับกลายเป็นแบบคู่ขนาน สส.ส่วนใหญ่เป็นของพรรคหนึ่ง ขณะที่นายก อบจ.เป็นของคนละพรรค เช่น เชียงใหม่ สมุทรปราการ ระยอง มุกดาหาร ภูเก็ต ปรากฎการณ์ทำนองนี้บ่งชี้ว่าประชาชนมีพฤติกรรมการเลือกตั้งแบบคู่ขนานใช่หรือไม่ สมมติฐานในใจผมคือในการเลือกตั้งระดับชาติ Voter พิจารณาพรรคการเมือง (loyalty to a political party) ที่สังกัด ดูจากหัวหน้าพรรค อุดมการณ์ นโยบาย ภาพลักษณ์ประกอบกัน ส่วนการเลือกตั้งท้องถิ่นให้น้ำหนักไปที่ตัวผู้สมัคร (personal background) เช่น ชื่อเสียง ผลงานในอดีต ครอบครัว ซึ่งก็คงจะต้องรอดูผลการเลือกตั้ง สส.ในบรรดาจังหวัดเหล่านี้ต่อไปในคราวหน้า
คำถามต่อไปอันเป็นที่มาของชื่อบทความตอนนี้ อะไรเป็นปัจจัยที่มีผลต่อ ‘ชัยชนะ’ ของนายก อบจ.เหล่านี้ ผมพยายามสรุปจุดร่วมที่สำคัญออกเป็นข้อๆ ซึ่งอาจใช้สะท้อนว่าการเมืองท้องถิ่นของไทยโดยภาพรวมยังไม่เปลี่ยน
(1) มักเป็นคนในตระกูลการเมืองสำคัญของจังหวัดนั้นๆ ส่วนใหญ่ไม่พ้นมีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติกับนักการเมืองระดับชาติที่มีฐานอยู่ในพื้นที่ โดยเฉพาะในปีกของพรรคร่วมรัฐบาล
(2) นายกคนเดิมได้เปรียบ หรือไม่ก็ต้องอยู่ในซีกอำนาจเก่า ด้วยหลายปัจจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการใช้จ่ายงบประมาณ และจากโครงการต่อเนื่องต่างๆ
(3) จังหวัดที่มีการแข่งขันสูงและประชาชนตื่นตัวกันมาก ลักษณะเช่นนี้อาจเอื้อให้คนใหม่สามารถสอดแทรกเข้ามาได้อยู่บ้าง
(4) หากได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองซึ่งไม่เป็นที่นิยมชมชอบของคนในพื้นที่ การประกาศตัวว่าลงอิสระย่อมส่งผลดีกว่า
(5) ศักยภาพในการรวบรวมฐานเสียงจากเครือข่ายยังจำเป็น ไม่ว่าทางการเมือง ทั้งระดับเหนือขึ้นไป (สส.) หรือระดับล่างลงมา (เทศบาล, อบต.) ทางสังคม เช่น กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน อสม. สมาคมกีฬาจังหวัด ทางเศรษฐกิจ เช่น หอการค้า สมาคมศิษย์เก่า เครือข่ายวิชาชีพ เป็นอาทิ
ท้ายที่สุด ผลการเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งนี้ยังคงพอสะท้อนถึงการครองอำนาจของตระกูลการเมือง (บ้านใหญ่) ซึ่งยึดโยงตัวเองเข้ากับหลายพรรคการเมืองในปีกของรัฐบาลผสาน โดยไม่มีผู้ใดชนะอย่างเด็ดขาด แนวทางการเมืองแบบปฏิรูปยังยากจะประสบความสำเร็จ อย่างน้อยก็ในสมรภูมินี้
ตารางที่ 1 สรุปข้อมูลสำคัญในการเลือกตั้งนายก อบจ.ในรอบปี 2567[1]
ลำดับที่ | อบจ. | ลาออก | เลือกตั้ง | นายกฯ คนเดิม (ลง/ไม่ลง) | ผู้ชนะการเลือกตั้ง | คนเดิม/คนใหม่ | จำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้ง | สัดส่วนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง | ความสัมพันธ์กับพรรคการเมือง/พื้นฐานทางการเมือง | ||
ปี 2563 | ปี 2567 | ปี 2563 | ปี 2567 | ||||||||
1 | เลย | 6 ก.พ. | 31 มี.ค. | นายธนาวุฒิ ทิมสุวรรณ (ลง) | นายชัยธวัช เนียมศิริ | คนใหม่ | 6 | 4 | 66.33 | 51.18 | อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด |
2 | นครสวรรค์ | 1 พ.ค. | 23 มิ.ย. | พลตำรวจเอกสมศักดิ์ จันทะพิงค์ (ลง) | พลตำรวจเอกสมศักดิ์ จันทะพิงค์ (2 สมัย) | คนเดิม | 4 | 2 | 59.93 | 37.59 | – |
3 | อ่างทอง | 3 พ.ค. | 23 มิ.ย. | นายสุรเชษ นิ่มกุล (ลง) | นายสุรเชษ นิ่มกุล (4 สมัย) | คนเดิม | 2 | 1 | 64.74 | 46.83 | – |
4 | ปทุมธานี | 3 พ.ค. | 30 มิ.ย. | พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง (ลง) | นายชาญ พวงเพ็ชร์ | คนใหม่ (อดีตนายก อบจ.) | 3 | 4 | 67.61 | 49.77 | พรรคเพื่อไทย / อดีตนายก อบจ. |
เลือกตั้งใหม่ | 22 ก.ย. | พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง (2 สมัย) | คนเดิม | เลือกตั้งใหม่ | 37.52 | – | |||||
5 | พระนครศรีอยุธยา | 14 มิ.ย. | 4 ส.ค. | นางสมทรง พันธุ์เจริญวรกุล (ลง) | นางสมทรง พันธุ์เจริญวรกุล (4 สมัย) | คนเดิม | 3 | 2 | 66.66 | 59.48 | มารดา สส. พรรคภูมิใจไทย |
6 | ชัยนาท | 11 มิ.ย. | 4 ส.ค. | นายอนุสรณ์ นาคาศัย (ไม่ลง) | นางจิตร์ธนา ยิ่งทวีลาภา | คนใหม่ | 2 | 3 | 63.58 | 51.92 | พี่สาว สส. พรรครวมไทย สร้างชาติ/อดีตรองนายก อบจ. |
7 | พะเยา | 13 มิ.ย. | 4 ส.ค. | อัครา พรหมเผ่า (ไม่ลง) | นายธวัช สุทธวงค์ | คนใหม่ | 4 | 2 | 67.28 | 61.76 | พรรคเพื่อไทย/อดีตรองนายก อบจ. |
8 | ชัยภูมิ | 17 มิ.ย. | 11 ส.ค. | นายอร่าม โล่วีระ (ลง) | นางสาว สุรีวรรณ นาคาศัย | คนใหม่ | 4 | 5 | 60.79 | 58.24 | ภรรยา สส. พรรคภูมิใจไทย |
9 | พิษณุโลก | 20 มิ.ย. | 18 ส.ค. | นายมนต์ชัย วิวัฒน์ธนาฒย์ (ลง) | นายมนต์ชัย วิวัฒน์ธนาฒย์ (3 สมัย) | คนเดิม | 5 | 3 | 63.37 | 53.40 | – |
10 | ราชบุรี | 11 ก.ค. | 1 ก.ย. | นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา (ลง) | นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา (2 สมัย) | คนเดิม | 3 | 2 | 68.13 | 67.31 | สามี สส. พรรคพลังประชารัฐ |
11 | ชุมพร | 31 ก.ค. | 22 ก.ย. | นายนพพร อุสิทธิ์ (ลง) | นายนพพร อุสิทธิ์ (2 สมัย) | คนเดิม | 3 | 1 | 68.16 | 47.95 | พี่เขย อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ |
12 | ระนอง | 15 ส.ค. | 6 ต.ค. | นายธนกร บริสุทธิญาณี (ลง) | นายสีหราช สรรพกุล | คนใหม่ | 3 | 3 | 64.89 | 50.20 | อดีตผู้ใหญ่บ้าน |
13 | ยโสธร | 16 ส.ค. | 6 ต.ค. | นายวิเชียร สมวงศ์ (ลง) | นายวิเชียร สมวงศ์ (2 สมัย) | คนเดิม | 3 | 4 | 61.86 | 50.10 | พรรคเพื่อไทย |
14 | อุทัยธานี | 22 ส.ค. | 6 ต.ค. | นายเผด็จ นุ้ยปรี (ลง) | นายเผด็จ นุ้ยปรี (5 สมัย) | คนเดิม | 1 | 1 | 58.90 | 47.58 | – |
15 | ขอนแก่น | 12 ก.ย. | 3 พ.ย. | นายพงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์ (ลง) | นายวัฒนา ช่างเหลา | คนใหม่ | 10 | 3 | 59.35 | 50.29 | พรรคเพื่อไทย/ อดีต สส. พรรคพลังประชารัฐ |
16 | สุโขทัย | 19 ก.ย. | 3 พ.ย. | นายมนู พุกประเสริฐ (ลง) | นายมนู พุกประเสริฐ (4 สมัย) | คนเดิม | 2 | 3 | 61.70 | 50.92 | พี่ชายภรรยารัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย |
17 | สุรินทร์ | 26 ก.ย. | 23 พ.ย. | นายพรชัย มุ่งเจริญพร (ลง) | นางสาวธัญพร มุ่งเจริญพร | คนใหม่ | 7 | 5 | 55.52 | 52.90 | ภรรยา สส. พรรคภูมิใจไทย |
18 | เพชรบุรี | 27 ก.ย. | 24 พ.ย. | นายชัยยะ อังกินันทน์ (ลง) | นายชัยยะ อังกินันทน์ (5 สมัย) | คนเดิม | 1 | 2 | 63.14 | 64.41 | สามี สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ |
19 | นครศรีธรรมราช | 30 ก.ย. | 24 พ.ย. | นางกนกพร เดชเดโช (ลง) | นางสาววาริน ชิณวงศ์ | คนใหม่ | 8 | 4 | 64.09 | 55.81 | – |
20 | อุดรธานี | 1 ต.ค. | 24 พ.ย. | นายวิเชียร ขาวขำ (ไม่ลง) | นายศราวุธ เพชรพนมพร | คนใหม่ | 7 | 3 | 56.72 | 52.16 | อดีต สส. พรรคเพื่อไทย |
21 | กำแพงเพชร | 11 ต.ค. | 1 ธ.ค. | นายสุนทร รัตนากร (ลง) | นายสุนทร รัตนากร (3 สมัย) | คนเดิม | 3 | 2 | 57.86 | 45.08 | พี่ชายอดีต สส.พรรคเพื่อไทย |
22 | ตาก | 21 ต.ค. | 15 ธ.ค. | นายณัฐวุฒิ ทวีเกื้อกูลกิจ (ไม่ลง) | นางอัจฉรา ทวีเกื้อกูลกิจ | คนใหม่ | 4 | 2 | 64.06 | 54.15 | ภรรยาอดีต สส.พรรคพลังประชารัฐ |
23 | อุตรดิตถ์ | 26 ต.ค. | 22 ธ.ค. | นายชัยศิริ ศุภรักษ์จินดา (ลง) | นายชัยศิริ ศุภรักษ์จินดา (5 สมัย) | คนเดิม | 4 | 3 | 61.81 | 52.16 | – |
24 | อุบลราชธานี | 26 ต.ค. | 22 ธ.ค. | นายกานต์ กัลป์ตินันท์ (ลง) | นายกานต์ กัลป์ตินันท์ (3 สมัย) | คนเดิม | 7 | 4 | 63.03 | 43.32 | พรรคเพื่อไทย |
25 | เพชรบูรณ์ | 28 ต.ค. | 15 ธ.ค. | นายอัครเดช ทองใจสด (ลง) | นายอัครเดช ทองใจสด (7 สมัย) | คนเดิม | 4 | 4 | 56.01 | 46.16 | บิดา สส. พรรคพลังประชารัฐ |
รวม/ข้อสังเกต | คนเดิม 15 คน คนใหม่ 10 คน | เฉลี่ย 4 คน | เฉลี่ย 2.72 คน | เฉลี่ย 62.62 | เฉลี่ย 49.99 | ส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองในฝั่งรัฐบาล |
ตารางที่ 2 สรุปข้อมูลสำคัญในการเลือกตั้งนายก อบจ.ในรอบปี 2568
ลำดับที่ | อบจ. | ลาออก/ครบวาระ | นายกฯ คนเดิม (ลง/ไม่ลง) | ผู้ชนะการเลือกตั้ง | คนเดิม/คนใหม่ | จำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้ง | สัดส่วนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง | ความสัมพันธ์กับพรรคการเมือง/พื้นฐานทางการเมือง | ||
ปี 2563 | ปี 2568 | ปี 2563 | ปี 2568 | |||||||
1 | กระบี่ | ครบวาระ | นายสมศักดิ์ กิตติธรกุล (ลง) | นายสมศักดิ์ กิตติธรกุล (8 สมัย) | คนเดิม | 1 | 3 | 67.11 | 56.29 | มีหลานชายเป็น สส.พรรคภูมิใจไทย |
2 | จันทบุรี | ครบวาระ | นายธนภณ กิจกาญจน์ (ลง) | นายธนภณ กิจกาญจน์ (6 สมัย) | คนเดิม | 3 | 5 | 65.08 | 59.81 | – |
3 | ฉะเชิงเทรา | ครบวาระ | นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ (ไม่ลง) | นายกุลยุทธ ฉายแสง | คนใหม่ | 2 | 3 | 69.39 | 58.97 | น้องชาย สส.พรรคเพื่อไทย (บัญชีรายชื่อ)/อดีตนายกเทศมนตรีเมือง |
4 | ชลบุรี | ครบวาระ | นายวิทยา คุณปลื้ม (ลง) | นายวิทยา คุณปลื้ม (5 สมัย) | คนเดิม | 4 | 3 | 53.55 | 45.25 | – |
5 | ตรัง | ครบวาระ | นายบุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ (ลง) | นายบุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ (2 สมัย) | คนเดิม | 3 | 3 | 69.18 | 59.20 | พี่ชายอดีต สส. และลุง สส.พรรคประชาธิปัตย์ |
6 | ตราด | ครบวาระ | นายวิเชียร ทรัพย์เจริญ (ลง) | นายวิเชียร ทรัพย์เจริญ (6 สมัย) | คนเดิม | 5 | 5 | 63.33 | 60.47 | – |
7 | นครปฐม | ครบวาระ | นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ (ลง) | นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ (2 สมัย) | คนเดิม | 4 | 2 | 71.66 | 51.62 | พี่ชาย สส. และหลานชาย สส.พรรคชาติไทยพัฒนา |
8 | นครนายก | ครบวาระ | นายจักรพันธ์ จินตนาพากานนท์ (ลง) | นางสาวนิดา ขนายงาม | คนใหม่ | 6 | 5 | 75.79 | 73.00 | อดีตรองประธานสภา อบจ. |
9 | นครพนม | ลาออก 16 ธ.ค. 67 | นางสาวศุภพานี โพธิ์สุ (ลง) | นายอนุชิต หงษาดี | คนใหม่ | 5 | 8 | 62.80 | 62.14 | พรรคเพื่อไทย/อดีต ส.อบจ. และนายก อบต. |
10 | นครราชสีมา | ลาออก 12 ธ.ค. 67 | นางยลดา หวังศุภกิจโกศล (ลง) | นางยลดา หวังศุภกิจโกศล (2 สมัย) | คนเดิม | 5 | 4 | 62.43 | 54.71 | พรรคเพื่อไทย/มารดารัฐมนตรี และ สส.พรรคเพื่อไทย (บัญชีรายชื่อ) |
11 | นนทบุรี | ครบวาระ | พันตำรวจเอกธงชัย เย็นประเสริฐ (ลง) | พันตำรวจเอกธงชัย เย็นประเสริฐ (5 สมัย) | คนเดิม | 4 | 3 | 50.02 | 41.12 | – |
12 | นราธิวาส | ครบวาระ | นายกูเซ็ง ยาวอหะซัน (ลง) | นายกูเซ็ง ยาวอหะซัน (6 สมัย) | คนเดิม | 3 | 3 | 70.34 | 68.42 | น้องชาย สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ |
13 | น่าน | ครบวาระ | นายนพรัตน์ ถาวงศ์ (ลง) | นายนพรัตน์ ถาวงศ์ (2 สมัย) | คนเดิม | 5 | 5 | 66.66 | 65.02 | พรรคเพื่อไทย |
14 | บึงกาฬ | ลาออก 17 ธ.ค. 67 | นางแว่นฟ้า ทองศรี (ลง) | นางแว่นฟ้า ทองศรี (2 สมัย) | คนเดิม | 5 | 3 | 63.20 | 61.16 | ภรรยารัฐมนตรี และ สส.พรรคภูมิใจไทย (บัญชีรายชื่อ) |
15 | บุรีรัมย์ | ลาออก 16 ธ.ค. 67 | นายภูษิต เล็กอุดากร (ลง) | นายภูษิต เล็กอุดากร (2 สมัย) | คนเดิม | 8 | 5 | 55.76 | 50.89 | หลานชายนายเนวิน ชิดชอบ |
16 | ประจวบคีรีขันธ์ | ครบวาระ | นายสราวุธ ลิ้มอรุณรักษ์ (ลง) | นายสราวุธ ลิ้มอรุณรักษ์ (2 สมัย) | คนเดิม | 2 | 2 | 62.61 | 53.75 | – |
17 | ปราจีนบุรี | ครบวาระ | นายสุนทร วิลาวัลย์ (ไม่ลง) | นางณภาภัช อัญชสาณิชมน | คนใหม่ | 4 | 4 | 64.29 | 66.39 | พรรคเพื่อไทย/อดีต ส.อบจ. |
18 | ปัตตานี | ครบวาระ | นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี (ลง) | นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี (4 สมัย) | คนเดิม | 2 | 3 | 70.99 | 62.03 | – |
19 | พังงา | ครบวาระ | นายธราธิป ทองเจิม (ลง) | นายบำรุง ปิยนามวาณิช (4 สมัย) | คนใหม่ | 3 | 4 | 68.02 | 61.10 | อดีตนายก อบจ. |
20 | พัทลุง | ครบวาระ | นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร (ลง) | นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร (3 สมัย) | คนเดิม | 3 | 5 | 78.04 | 72.53 | บิดา สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ และน้าของ สส.พรรคประชาธิปัตย์ |
21 | พิจิตร | ครบวาระ | พันตำรวจเอกกฤษฎา ภัทรประสิทธิ์ (ลง) | นายกฤษฏ์ เพ็ญสุภา | คนใหม่ | 5 | 4 | 61.93 | 59.22 | หลานชายนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ |
22 | ภูเก็ต | ครบวาระ | นายเรวัต อารีรอบ (ลง) | นายเรวัต อารีรอบ (2 สมัย) | คนเดิม | 5 | 3 | 58.72 | 46.08 | – |
23 | มหาสารคาม | ลาออก 16 ธ.ค. 67 | นางคมคาย อุดรพิมพ์ (ลง) | นายพลพัฒน์ จรัสเสถียร | คนใหม่ | 4 | 6 | 61.90 | 59.56 | พรรคเพื่อไทย/น้องชายอดีต สส.พรรคเพื่อไทย |
24 | มุกดาหาร | ครบวาระ | พันตำรวจโทจิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงศ์ (ลง) | นายวีระพงษ์ ทองผา | คนใหม่ | 5 | 5 | 68.12 | 68.03 | พี่ชาย สส.พรรคพลังประชารัฐ |
25 | ยะลา | ครบวาระ | นายมุขตาร์ มะทา (ลง) | นายมุขตาร์ มะทา (5 สมัย) | คนเดิม | 2 | 2 | 69.02 | 58.19 | น้องชาย สส.พรรคประชาชาติ (บัญชีรายชื่อ) |
26 | ระยอง | ลาออก 18 ธ.ค. 67 | นายปิยะ ปิตุเตชะ (ลง) | นายปิยะ ปิตุเตชะ (4 สมัย) | คนเดิม | 4 | 3 | 61.17 | 54.63 | พี่ชายอดีตรัฐมนตรี และ สส.พรรคประชาธิปัตย์ |
27 | ลพบุรี | ครบวาระ | นางอรพิน จิระพันธุ์วาณิช (ลง) | นางอรพิน จิระพันธุ์วาณิช (3 สมัย) | คนเดิม | 5 | 5 | 65.72 | 60.77 | พี่สะใภ้ สส.พรรคภูมิใจไทย |
28 | ลำปาง | ลาออก 17 ธ.ค. 67 | นางสาวตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร (ลง) | นางสาวตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร (2 สมัย) | คนเดิม | 7 | 4 | 67.17 | 63.42 | พรรคเพื่อไทย/พี่สาว สส.พรรคเพื่อไทย |
29 | ลำพูน | ครบวาระ | นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ (ลง) | นายวีระเดช ภู่พิสิฐ | คนใหม่ | 3 | 2 | 77.86 | 73.43 | พรรคประชาชน/ลูกชายอดีตนายก อบจ. |
30 | ศรีสะเกษ | ครบวาระ | นายวิชิต ไตรสรณกุล (ลง) | นายวิชิต ไตรสรณกุล (7 สมัย) | คนเดิม | 4 | 8 | 56.87 | 59.19 | ลูกสาวเป็นเลขานุการรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย |
31 | สกลนคร | ครบวาระ | นายชูพงศ์ คำจวง (ลง) | นางนฤมล สัพโส | คนใหม่ | 6 | 5 | 59.62 | 57.49 | พรรคเพื่อไทย/ภรรยา และมารดา สส.พรรคเพื่อไทย |
32 | สงขลา | ครบวาระ | นายไพเจน มากสุวรรณ์ (ไม่ลง) | นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม | คนใหม่ | 4 | 9 | 67.22 | 62.51 | อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร |
33 | สตูล | ครบวาระ | นายสัมฤทธิ์ เลียงประสิทธิ์ (ลง) | นายสัมฤทธิ์ เลียงประสิทธิ์ (4 สมัย) | คนเดิม | 4 | 4 | 74.29 | 63.47 | ลุง สส.พรรคภูมิใจไทย |
34 | สมุทรปราการ | ครบวาระ | นางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย (ไม่ลง) | นายสุนทร ปานแสงทอง | คนใหม่ | 5 | 4 | 61.82 | 51.91 | อดีตรัฐมนตรี และรองนายก อบจ. |
35 | สมุทรสงคราม | ครบวาระ | นางสาวสุกานดา ปานะสุทธะ (ลง) | นายเจษฎา ญาณประภาศิริ | คนใหม่ | 6 | 6 | 63.11 | 61.85 | อดีตประธานสภา อบจ. |
36 | สมุทรสาคร | ครบวาระ | นายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ (ลง) | นายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ (2 สมัย) | คนเดิม | 6 | 2 | 54.42 | 47.18 | อดีต สส.สังกัดหลายพรรค |
37 | สระบุรี | ครบวาระ | นายสัญญา บุญ-หลง (ลง) | นายสัญญา บุญ-หลง (2 สมัย) | คนเดิม | 8 | 6 | 67.68 | 62.72 | ลูกชายอดีตรองนายกรัฐมนตรี และ สส.พรรคชาติไทย |
38 | สิงห์บุรี | ครบวาระ | นายศุภวัฒน์ เทียนถาวร (ลง) | นายศุภวัฒน์ เทียนถาวร (2 สมัย) | คนเดิม | 4 | 1 | 65.06 | 60.35 | น้องชายอดีตนายก อบจ. |
39 | สุพรรณบุรี | ครบวาระ | นายบุญชู จันทร์สุวรรณ (ลง) | นายอุดม โปร่งฟ้า | คนใหม่ | 4 | 4 | 61.93 | 58.95 | พรรคชาติไทยพัฒนา |
40 | สุราษฎร์ธานี | ครบวาระ | นายพงษ์ศักดิ์ จ่าแก้ว (ลง) | นางโสภา กาญจนะ | คนใหม่ | 7 | 6 | 66.84 | 66.55 | อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ |
41 | หนองคาย | ครบวาระ | นายยุทธนา ศรีตะบุตร (ลง) | นายวุฒิไกร ช่างเหล็ก | คนใหม่ | 3 | 3 | 58.00 | 58.18 | พรรคเพื่อไทย |
42 | หนองบัวลำภู | ครบวาระ | นายวุฒิพงษ์ ศิริสถิตย์ (ลง) | นางศรัณยา สุวรรณพรหม | คนใหม่ | 6 | 6 | 57.56 | 56.54 | อดีตรองนายก อบจ. |
43 | อำนาจเจริญ | ครบวาระ | นางสาววันเพ็ญ ตั้งสกุล (ไม่ลง) | นายพนัส พันธุ์วรรณ | คนใหม่ | 5 | 6 | 63.72 | 61.33 | อดีตรองนายก อบจ. |
44 | เชียงราย | ครบวาระ | นางอทิตาธร วันไชยธนวงค์ (ลง) | นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ (2 สมัย) | คนเดิม | 3 | 3 | 67.60 | 64.70 | ญาติอดีต สส.พรรคเพื่อไทย |
45 | เชียงใหม่ | ลาออก 17 ธ.ค. 67 | นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร (ลง) | นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร (2 สมัย) | คนเดิม | 6 | 3 | 71.95 | 66.11 | พรรคเพื่อไทย |
46 | แพร่ | ครบวาระ | นายอนุวัธ วงศ์วรรณ (ลง) | นายอนุวัธ วงศ์วรรณ (4 สมัย) | คนเดิม | 3 | 2 | 66.03 | 63.55 | พรรคเพื่อไทย |
47 | แม่ฮ่องสอน | ครบวาระ | นายอัครเดช วันไชยวงศ์ (ลง) | นายอัครเดช วันไชยวงศ์ (4 สมัย) | คนเดิม | 3 | 2 | 71.10 | 65.80 | – |
รวม/ข้อสังเกต | คนเดิม 29 คน คนใหม่ 18 คน | เฉลี่ย 4.34 คน | เฉลี่ย 4.08 คน | 65.03 | 59.90 | โดยมากมีความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองฟากรัฐบาล |
[1] หมายเหตุ: ในปี 2565 มีการเลือกตั้งนายก อบจ.จำนวน 2 แห่งที่จังหวัดกาฬสินธุ์ (14 ส.ค.) และที่จังหวัดร้อยเอ็ด (25 ก.ย.) กรณีแรกเนื่องจาก กกต.สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) ขณะที่กรณีหลัง กกต.สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (แจกใบแดง) ต่อมาในปี 2566 มีการเลือกตั้งนายก อบจ.อีก 2 แห่งที่จังหวัดสระแก้ว (26 มี.ค.) กับที่จังหวัดกาญจนบุรี (22 ต.ค.) แทนนายกฯ คนเดิมซึ่งลาออกไป กรณีแรกลาออกเพื่อลงสมัคร สส. กรณีหลังลาออกเพื่อรับตำแหน่งรัฐมนตรี