สื่อใหม่ และกระแสการเปลี่ยนแปลงความรู้โลกนิเทศศาสตร์ ในสายตา กาญจนา แก้วเทพ

การสื่อสารเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารจึงใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันและส่งผลสะเทือนต่อมนุษย์ ในทุกๆ ครั้งที่เกิดความเปลี่ยนแปลงมาแต่ไหนแต่ไร

จากยุคแรกเริ่มที่มีเพียงการสื่อสารระหว่างบุคคล ขีดกั้นกันและกันด้วยระยะห่างและกาลเวลา มาพลิกผันเมื่อโลกได้รู้จักนวัตกรรมสื่อสารต่อมวลชนอย่างวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งได้กลายเป็นสื่อกระแสหลักครองอำนาจนำในสังคมอยู่หลายปี เป็นที่มาของการศึกษา วางรากฐานความรู้ด้านนิเทศศาสตร์ ทั้งคำอธิบายปรากฏการณ์ด้านการสื่อสาร อิทธิพลของสื่อมวลชน ตลอดจนหลักคิดและบรรทัดฐานของสื่อในฐานะสถาบันทางสังคม

ล่วงเลยเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 วิทยาการก้าวหน้าไปอีกขั้น โลกเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งจากการถือกำเนิดและรุ่งโรจน์ของบรรดาสื่อดิจิทัล หรือที่เรียกกันด้วยคำกว้างๆ ว่า ‘สื่อใหม่’ (New Media) แน่นอนว่านอกจากมันจะเปลี่ยนวิถีชีวิต วิธีคิด การมองโลกของมนุษย์แตกต่างจากคนเสพสื่อดั้งเดิม สื่อใหม่ยังส่งผลต่อโลกวิชาการให้ต้องเร่งทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมใหม่ๆ จากเครื่องมือชิ้นนี้ และเฟ้นหาคำอธิบายเพิ่มเติมจากที่เคยมีอยู่

จนถึงทุกวันนี้ ยุคสมัยของสื่อใหม่ยังไม่จบลง และตัวมันเองมีทีท่าว่าจะพัฒนาต่อไปในอีกหลากหลายด้าน ในวาระครบ 60 ปี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงเชิญนักวิชาการผู้คร่ำหวอดแวดวงทฤษฎีสื่อสาร รศ.ดร.กาญจนา แก้วเทพ มาร่วมฉายภาพเคลื่อนไหวของโลกฝั่งวิชาการในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา และแนวโน้มขององค์ความรู้ด้านนิเทศศาสตร์ในอีกทศวรรษข้างหน้า

ก่อนอื่น กาญจนาชวนย้อนกลับไปทบทวนภาพรวมการเปลี่ยนแปลงของความรู้สายนิเทศศาสตร์ หรือ Knowledge Shift ว่าที่ผ่านมา สามารถแบ่งออกได้คร่าวๆ สามรูปแบบตามคำเรียกขานของเธอ ประกอบด้วย ‘การลอกคราบ’ หรือการทิ้งชุดความรู้เก่า เมื่อมีความรู้ใหม่เกิดขึ้น ‘การคบซ้อน’ หรือการใช้ชุดความรู้เดิมควบคู่ไปกับชุดความรู้ใหม่ แต่มีลักษณะแยกกันอยู่ ไม่เชื่อมโยงผสมผสานกัน และ ‘การบูรณาการ’ ชุดความรู้ทั้งเก่าและใหม่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน

โดยรูปแบบสุดท้าย กาญจนามองว่าเป็น ‘พิมพ์นิยม’ ของสาขาวิชาสื่อใหม่ (New Media Studies) กล่าวคือนิยามที่ใช้อธิบาย New Media Studies นี้มักมีคำสำคัญอย่าง ‘joint project’ ‘crossroad’ หรือ ‘จุดตัด’ แสดงถึงความสามารถของสื่อใหม่ในการเชื่อมโยงความรู้ที่เคยถูกแยกขาดจากกันมาหลายร้อยปี ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ ศิลปะ ความเชื่อทางศาสนา ฯลฯ เข้ามาอยู่ด้วยกันอย่างแยบยล และก่อเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ร่วมกัน

เธอยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ เช่น โทรศัพท์สมาร์ตโฟนที่เป็นนวัตกรรมจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ภาพหน้าจอเป็นพระพิฆเนศหรือเทพเจ้าสักองค์ที่เป็นความเชื่อมานานนับพันปี หรือในแง่การตลาด ก็มีการใช้ชุดความรู้เดิมที่ศึกษามานาน ผสานกับชุดความรู้เรื่องธรรมชาติและการใช้สื่อใหม่

ด้วยเหตุนี้ “คีย์เวิร์ดเด่นของมัน คือการเชื่อมโยง โดยเฉพาะการเชื่อมโยงสิ่งที่ไม่น่าจะเชื่อมโยงกันได้ ให้มาพบกันและทำอย่างชนิดไร้รอยต่อ” และนับตั้งแต่สื่อใหม่ถือกำเนิด จนถึงเฟื่องฟูแพร่หลาย มันได้กลายเป็นชนวนการเปลี่ยนแปลงความรู้สายนิเทศศาสตร์ที่ยังคงดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ในทัศนะของกาญจนา การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแบ่งแยกย่อยออกเป็นสี่ด้าน ได้แก่

1.การทำความรู้จักกับ ‘สื่อใหม่’ ที่เกิดขึ้นให้กระจ่าง

2.การเปลี่ยนระดับทฤษฎี

3.การเปลี่ยนแปลงระเบียบวิธีวิจัย (Research Methodology)

4.การเปลี่ยนแปลงของหัวข้อการศึกษา (Study Topic)


‘สื่อใหม่’ ยังคงมีสิ่งใหม่ให้เรียนรู้


คำว่า ‘สื่อ’ หรือ ‘Media’ ในตำราเรียนนิเทศศาสตร์สมัยก่อน มักถูกพิจารณาในบทบาท ‘ช่องทางการสื่อสาร’ (channel) ตามทฤษฎีการสื่อสารขั้นพื้นฐานของ เดวิด เค. เบอร์โล (David K. Berlo) อันประกอบไปด้วย S- Sender ผู้ส่งสาร, M-Message สาร, C-Channel ช่องทางการสื่อสาร และ R-Receiver ผู้รับสาร แต่ปัจจุบัน กาญจนาชี้ว่าเราได้เห็นสาขาวิชาการศึกษาสื่อหรือ Media Studies เกิดขึ้นมากมาย แสดงให้เห็นว่า Media ได้ขยับขยายขอบเขตของความหมายและหน้าที่มากกว่าเป็นตัวกลางส่งสาร โดยเข้าไปเชื่อมโยงและส่งผลกระทบทั้งต่อผู้ส่งสาร ตัวสาร ผู้รับสาร กระทั่งบริบทต่างๆ ที่แวดล้อมการสื่อสารด้วย

แง่นี้ สื่อใหม่คือสิ่งที่ชัดเจนว่าตัวมันเองเป็นมากกว่าตัวกลาง ซึ่งกาญจนาอธิบายคุณลักษณะของสื่อใหม่อ้างอิงตามทัศนะของโรเบิร์ต เค. โลแกน (Robert K. Logan) ว่ามีทั้งหมด 16 ประการ ได้แก่

1. เป็นการสื่อสารสองทาง (Two-way communication)

2. เข้าถึงง่าย เผยแพร่ง่าย (Ease of access and dissemination)

3. สร้างการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (Continuous Learning)

4. เอื้อต่อการบูรณาการของเนื้อหาความรู้ (Alignment and Integration)

5. สามารถสร้างชุมชน (Creation of community)

6. เคลื่อนย้ายง่าย พกพาสะดวก (Portability)

7. สื่อใหม่มีลักษณะหลอมรวมกัน (Convergence)

8. สื่อใหม่มีลักษณะปฏิบัติงานร่วมกันได้ (Interoperability)

9. รวบรวมและประมวลเนื้อหาจากหลายแหล่ง (Aggregation of Content)

10. มีความหลากหลายและมีทางเลือกมากมาย (Variety, Choice Longtail)

11. ผู้ผลิตและผู้บริโภคข่าวสารหวนกลับมาประสานกัน (Reintegration of Consumer and Producer)

12. เกิดการรวมกลุ่มทางสังคมและความร่วมมือทางไซเบอร์ (Social Collectivity Cyber – cooperation)

13. เกิดวัฒนธรรมแบบผสมผสาน (Remix culture)

14. เปลี่ยนจากผลผลิต (สินค้า) มาสู่การบริการ (From Products to Services)

15. อนุญาตให้ผู้ใช้งานเปลี่ยนแปลงเนื้อหาได้ (User-based Transformation)

16. ข้อสรุปคุณลักษณะทั้ง 15 ข้อ อาจมีในสื่อเดิมบางข้อ แต่สื่อใหม่มีรวมกันครบทุกข้อข้างต้น (Comparison to Old Media)

คุณลักษณะข้างต้น กล่าวได้ว่าแทบจะแตกต่างจากสื่อมวลชนยุคเก่าเช่นวิทยุและโทรทัศน์โดยสิ้นเชิง ไม่ว่าการแบ่งสถานะผู้ส่งสารและผู้รับสารออกจากกันอย่างเด็ดขาดยากยิ่งขึ้น จำเป็นต้องพิจารณาบทบาทเฉพาะห้วงขณะ (moment) ที่ใช้งาน นำมาสู่แนวคิดใหม่เช่น ‘Prosumer’ ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตและบริโภคในคราวเดียว หรือเรื่องของการหลอมรวมที่สื่อใหม่พร้อมเชื่อมต่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลกับสื่ออื่นๆ ที่เข้ารหัสแบบดิจิทัลได้อย่างง่ายดาย

ในยุคที่ ‘สื่อใหม่ครองเมือง’ ใกล้ตัว เป็นที่แพร่หลาย และยังพัฒนาไม่หยุดหย่อน กาญจนาเน้นย้ำว่าเรายิ่งต้อง “ทำความรู้จักให้กระจ่าง รอบด้าน ถ้วนทั่วทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง” เพราะ “ยิ่งรู้มาก เราก็ยิ่งสามารถใช้ประโยชน์สิ่งนั้นได้มาก”


ทฤษฎีสื่อกำลังถูกท้าทาย ปรับเปลี่ยน และกำเนิดใหม่ (อีกครั้ง)


เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงด้านทฤษฎีสื่อ กาญจนาเกริ่นว่าก่อนอื่นเราควรทำความเข้าใจระดับขั้น ตำแหน่ง และขนาดของทฤษฎี เพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับโจทย์ที่สนใจศึกษา ไล่จากขนาดเล็กที่สุดถึงใหญ่ที่สุด จากทฤษฎีกลุ่ม Symbolic สนใจเรื่องสัญลักษณ์ใช้ปฏิสัมพันธ์ของคนในสังคม, กลุ่ม Audience ศึกษาเรื่องผู้รับสาร, กลุ่ม Distribution ช่องทางกระจายการสื่อสาร, กลุ่ม Form ศึกษาตัวสาร หรือผลผลิต, กลุ่ม Organization ศึกษาระดับสถาบันหรือองค์กร, กลุ่ม Normative บรรทัดฐานของสังคม, กลุ่ม Effect of Media ผลของสื่อ และ Macro Theories ที่ศึกษาระดับมหภาค

ถัดมา เธออธิบายว่าในจักรวาลทฤษฎีสื่อสารนั้น มีหลายทฤษฎีเกิดขึ้นก่อนการมาถึงของสื่อใหม่ ดังนั้นคำถามที่น่าสนใจคือ “ทฤษฎีเดิมที่มีอยู่ในยุคสื่อมวลชน (mass media) สามารถใช้อธิบายสื่อใหม่ได้ไหม?” “ถ้าใช้ได้ ต้องปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง?” และ “หากทฤษฎีสื่อสารที่มีอยู่ไม่เพียงพอ เราจำต้องหาทฤษฎีใหม่มาเพื่ออธิบายเพิ่มเติมหรือเปล่า?”

กาญจนาชวนพิจารณาแต่ละทฤษฎีซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง และเป็นที่คุ้นเคยกันสำหรับนักเรียนนิเทศศาสตร์ เริ่มต้นจากทฤษฎีตระกูล ‘Impact Theory’ ที่เชื่อกันว่าสื่อมีอิทธิพลหรือผลกระทบต่อผู้รับสาร ในด้านความคิด พฤติกรรม และค่านิยม เธอกล่าวว่าเป็นทฤษฎีดังกล่าวมีเงื่อนไขพิเศษ เพราะเกิดมาในช่วงวิกฤตสงคราม และการสื่อสารยังมีลักษณะรวมศูนย์อยู่มาก ดังนั้น ในยุคสื่อใหม่ที่ผู้ใช้สื่อกระจายตัว มีนวัตกรรมและช่องทางหลากหลาย เบื้องต้นมีงานศึกษาที่ค้นพบแล้วว่าผลกระทบของสื่อในแง่การโน้มน้าวชักจูงอาจไม่มีประสิทธิภาพเท่าในอดีตอีกต่อไป แต่ยังช่วยส่งเสริมการสร้างอัตลักษณ์ (Identity Building) ได้

เช่นกันกับภาวะผู้ใช้สื่อกระจายตัว เมื่อผู้ส่งสารเริ่มมีหลากหลาย ไม่ว่าใครก็เป็นผู้ผลิตเนื้อหาได้ ย่อมทำให้ทฤษฎีสายบรรทัดฐาน Normative Theory ที่ใช้กำกับควบคุมสื่อมวลชนแต่เดิม อาจถูกท้าทายและต้องปรับเปลี่ยนมุมคิดไม่ต่างกัน ขณะที่ทฤษฎีสาย Functionalism ว่าด้วยเรื่องหน้าที่ของสื่อต่อสังคม กาญจนาก็มองว่าต้องเพิ่มหน้าที่ใหม่ๆ ของสื่อเข้าไป

ทั้งนี้ นักวิชาการสื่ออาวุโสกล่าวว่ามีทฤษฎีจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือน ‘มีเคมีเข้ากันได้กับสื่อใหม่’ ตัวอย่างเช่น ทฤษฎี Uses and Gratification ที่มีแก่นสำคัญว่าผู้ใช้งานเลือกใช้สื่อเพื่อสนองความพอใจของตนเอง มักถูกหยิบยกมาอ้างอิงในงานวิจัยช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สะท้อนธรรมชาติของผู้ใช้งานสื่อใหม่ที่เสพติดและมีพัฒนาการวิธีการใช้งานไปเรื่อยๆ

“อีกทฤษฎีที่น่าจับตาดูคือ Toronto ซึ่งเกิดขึ้นมาพร้อม Impact Theory” กาญจนาว่า “ตอนเกิดมาสองถึงสามทศวรรษแรกไม่ค่อยรุ่งเท่าไหร่ เพิ่งมารุ่งในช่วงสื่อใหม่ เพราะเนื้อหาสำคัญไม่ได้พูดถึงผลกระทบในแง่การโน้มน้าวชักจูง (persuasion) แต่เป็นผลกระทบต่อเวลาและพื้นที่ ซึ่งลักษณะสื่อใหม่คือไม่มีเวลาและไม่มีพื้นที่”

นอกจากนี้ ยังมีทฤษฎีที่เกิดมาพร้อมยุคของสื่อใหม่ เช่น Cultural Studies และ Semiology (สัญวิทยา) ที่สะท้อนว่าโลกของสื่อใหม่นั้นเต็มไปด้วยการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์หรือการสื่อสารภายใต้วัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มมากมาย และจากประสบการณ์การศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับสื่อใหม่ของกาญจนา เธอพบว่าเราสามารถแบ่งทฤษฎีเกี่ยวกับสื่อใหม่ได้คร่าวๆ สองกลุ่ม โดยพิจารณาจากตัวแปรสองตัว คือบริบทของสังคม (social context) และสื่อใหม่ (หรือสื่อประเภทอื่นๆ) ที่มีความสัมพันธ์แบบกำหนดซึ่งกันและกัน

กล่าวคือ หากใช้บริบทสังคมเป็นตัวตั้ง เช่น การปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการหรือประชาธิปไตย จะส่งผลต่อการบริหารจัดการสื่อใหม่อย่างไร กลุ่มทฤษฎีเหล่านี้จะเรียกว่า ‘Social Shaping of Technology’ ในทางกลับกัน หากใช้สื่อใหม่เป็นตัวแปรต้น ไปกำหนดบริบททางสังคม อย่างโจทย์ว่าถ้าเด็กเล่นเกมออนไลน์มากๆ จะมีผลกระทบอย่างไร จะเรียกว่ากลุ่มทฤษฎี ‘Social effect / Impact of Technology’

โดยพ้นไปจากทฤษฎีสองกลุ่มใหญ่ กาญจนายังตบท้ายว่าอีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจในฐานะ ‘น้องใหม่มาแรง’ คือทฤษฎีสาย Game Theory เธออธิบายว่า “มันคือบทกลับของคติพจน์ประจำใจของบรรดาจอมยุทธ์ทั้งหลาย บรรดาจอมยุทธ์มักพูดว่ามนุษย์เราเป็นผู้กระทำ แต่ฟ้าดินเป็นผู้กำหนด Game Theory จะพูดในทางกลับกันว่าถึงแม้ฟ้าดิน หรือกฎกติกามารยาทในการเล่นเกมเป็นผู้กำหนด แต่มนุษย์เราก็เป็นผู้เลือกกดปุ่มเสมอว่าเราจะเลือกใคร” แนวคิดนี้ก็มีผู้สนใจใช้อ้างอิงเพื่อศึกษาสื่อใหม่จำนวนมากเช่นกัน


‘ลงไปสัมผัส’ ผสานหลักคิดใหม่ในการศึกษาสื่อ


ในแง่ประเด็นการเปลี่ยนแปลงระเบียบวิธีวิจัย (Shift in Research Methodology) ตามที่ได้อ่านงานวิจัยจากต่างประเทศมามาก กาญจนากล่าวว่ายังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงเรื่องวิธีการศึกษาจากสื่อใหม่อย่างชัดเจน จะมีอยู่เล็กน้อยแค่เรื่องอำนวยความสะดวกในการศึกษา เช่น เปลี่ยนจากการกรอกแบบสอบถามบนกระดาษมาเป็นแบบสอบถามออนไลน์ ใช้การโฟกัสกรุ๊ปแบบวิดีโอคอลกลุ่ม เป็นต้น และอีกเรื่องหนึ่งคือเปลี่ยนวัตถุ (material) ของการศึกษา อาทิ เปลี่ยนจากหนังสือพิมพ์เป็นหน้าเพจ

อย่างไรก็ตาม เธอพบว่าสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในงานวิจัยต่างประเทศจำนวนมาก คือการผสมผสานหลักคิดทำงานแบบชาติพันธุ์วรรณา (Ethnography) จากศาสตร์มานุษยวิทยา กล่าวคือ ผู้วิจัยลงไปสัมผัสพื้นที่สื่อใหม่ที่เป็นเป้าหมายการศึกษา เพื่อซึมซับประสบการณ์ในฐานะส่วนหนึ่งของสังคมผู้ใช้งานจริง เช่น ถ้าสนใจกลุ่มคนเล่นเกมออนไลน์ ก็จำเป็นต้องลงไปเล่นเกมออนไลน์นั้นด้วย เปรียบได้กับนักมานุษยวิทยาต้องลงพื้นที่จริง เข้าไปอยู่ ‘ด้านหลัง’ ผู้ที่ศึกษา เพื่อมองโลกแบบเดียวกันกับที่พวกเขามอง รับรู้แบบเดียวกันกับที่พวกเขารับรู้


โจทย์สื่อใหม่ ชวนให้ค้นหาไม่สิ้นสุด


ประเด็นการเปลี่ยนแปลงของหัวข้อการศึกษา (Shift in Study Topic) กาญจนาชี้ว่าเพราะสื่อใหม่ทะลุทะลวงสู่ผู้ใช้งานทุกระดับ ทั้งบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กร สังคม โจทย์ศึกษาใหม่จึงเกิดได้ทุกระดับเช่นกัน แต่มากไปกว่านั้นคือเธอตั้งข้อสังเกตว่าแหล่งที่มาของโจทย์วิจัยมีความหลากหลายยิ่งขึ้น แบ่งออกกว้างๆ ได้แก่

หนึ่ง ส่วนของโจทย์จากสายสังคมศาสตร์ เช่น เรามักเห็นหัวข้อการศึกษาเรื่องตัวตน (self) หรืออัตลักษณ์ (identity) ซึ่งถือเป็น “หัวข้อยอดฮิตของด้านสังคมศาสตร์ในศตวรรษที่ 21” และสอดคล้องกับเรื่องที่ “สื่อใหม่มีศักยภาพสูงมากในการสร้างอัตลักษณ์”

“หรือช่วงศตวรรษที่ 20 สังคมศาสตร์มักศึกษาพวกโครงสร้างสังคม สถาบันทางสังคม แต่ตอนนี้หน่วยในการศึกษาย้ายมาที่ชีวิตประจำวัน และเชื่อมโยงสู่การใช้สื่อในปัจจุบันที่เราอาจอยู่ในโลกเสมือนจริงมากกว่าโลกจริงเสียอีก” กาญจนายิ้มกล่าว

สอง เป็นโจทย์ที่เกี่ยวกับสื่อและสาขาวิชานิเทศศาสตร์เอง กาญจนาพบว่ามีทั้งหมดสามรูปแบบ รูปแบบแรกยังมีความคล้ายคลึงกับโจทย์สมัยศึกษาสื่อดั้งเดิม เปลี่ยนแค่มาใช้กับสื่อใหม่เท่านั้น เช่น โจทย์เรื่องสื่อกับอิทธิพลความรุนแรง

รูปแบบที่สองเป็นการพลิกแง่มุมคล้ายเดิมออกมาเป็นโจทย์ใหม่ เช่น สมัยสื่อดั้งเดิมหรือสื่อมวลชน นักวิชาการมักสนใจศึกษาเรื่องการเข้าถึงสื่อ หรือข้อมูลหายาก (Rare Information) ปัจจุบันเมื่อธรรมชาติของสื่อใหม่เปลี่ยนแปลงไป โจทย์ที่ว่าจึงพลิกโฉมไปศึกษาเรื่องการเข้าถึงที่มากเกินไป สิทธิส่วนบุคคล ภาวะข้อมูลล้น (Overload Information) และการคัดกรองข้อมูลแทน

รูปแบบสุดท้าย กาญจนาเรียกว่า ‘โจทย์ใหม่เอี่ยมถอดด้าม’ หรือเป็นโจทย์ที่เกิดขึ้นจากสื่อใหม่โดยเฉพาะ อย่างเรื่องความเสี่ยงในยุคดิจิทัล (Risk in Digital Age) เช่น การถูกเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัว เป็นต้น

“เราจะเห็นได้ว่าโจทย์ใหม่ๆ มาจากรอบทิศทาง มาจากศาสตร์ความรู้สาขาอื่น มาจากสายนิเทศศาสตร์เอง มีทั้งของใหม่ๆ มีทั้งการยกระดับของสิ่งเดิม”

ทั้งนี้ เธอทิ้งท้ายว่านอกจากโจทย์ข้างต้น หากมองในภาพรวมจะพบว่าสื่อใหม่ทุกวันนี้ได้เข้าไปสัมพันธ์กับมิติต่างๆ ของสังคม เช่น มิติเศรษฐกิจ (Digital Capitalism) มิติการรวมกลุ่มทางสังคมในรูปแบบต่างๆ (New Media & New Ties) ในรูปแบบต่างๆ มิติสิ่งแวดล้อม (New Media & Environmental Issue) ฯลฯ

กล่าวได้ว่าแม้แต่วินาทีนี้ สื่อใหม่ก็ยังคงเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการศึกษาอย่างไม่หยุดนิ่ง เชื่อมโยงศาสตร์แต่ละศาสตร์เข้าด้วยกันเพื่อพาเราไปสู่ขอบเขตความรู้ใหม่ๆ – ขึ้นอยู่กับว่าใครจะหยิบจับแง่มุมใดมาตั้งคำถามและออกไปค้นหาคำตอบ


หมายเหตุ : สรุปจากส่วนหนึ่งของเนื้อหางานสัมมนา Unlock 60: Keys to the Betterverse of Communication ปลดล็อก 60 คีย์เวิร์ดสู่อนาคตการสื่อสาร เมื่อวันอังคารที่ 16 กันยายน 2568 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save