ท่ามกลางศึกเลือกตั้งของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ที่กำลังคุกรุ่น คงไม่มีประเด็นใดน่าจับตามากไปกว่าการลอบยิงโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีและผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปีนี้ ไปจนถึงการประกาศถอนตัวจากการชิงตำแหน่งของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นติดๆ กันในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และยิ่งทำให้กระแสการเมืองสหรัฐฯ ร้อนแรงขึ้นทวีคูณ
ถ้าพูดให้ชัดขึ้น การลอบสังหารที่ไม่สำเร็จครั้งนี้กลับกลายเป็นเหมือนแรงส่งที่ทำให้ทรัมป์มีโอกาสเข้าใกล้ชัยชนะครั้งที่สองมากขึ้น ทว่าขึ้นชื่อว่าการเมืองย่อมมีตัวแปรสำคัญเสมอ คดีความของทรัมป์ที่ค้างคาผสมกับการส่งไม้ต่อของไบเดนให้รองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส กลายเป็นประเด็นที่หลายคนรอจับตาว่า จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ทรัมป์ค้างคาไปไม่ถึงฝั่งฝันในครั้งนี้หรือไม่
ย้อนกลับมาดูการเมืองไทย หลายคนกำลังรอจับตาคดียุบพรรคก้าวไกลว่าจะซ้ำรอยพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ ถ้าพูดให้ถึงที่สุด หนังม้วนเดิมจะถูกฉายซ้ำด้วยการใช้นิติสงคราม หรือจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปครั้งนี้
101 ชวนอ่านบทวิเคราะห์การเมืองสหรัฐฯ ที่ส่งต่อถึงการเมืองไทย ผ่านบทสนทนากับ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล อดีตผู้ดำเนินรายการวอยซ์ทีวี
การเมืองสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะเป็นอย่างไร ทรัมป์จะเป็นผู้ชนะและพาสหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งอย่างที่กล่าวอ้างหรือไม่ หรือจะเป็นแฮร์ริสที่ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรก กลไกนิติสงครามทำงานกับการเมืองสหรัฐฯ และไทยอย่างไร ชวนหาคำตอบได้ในบรรทัดถัดจากนี้
หมายเหตุ: ถอดความบางส่วนจาก 101 One-on-One Ep.333 – ส่องเกมนิติสงครามในสมรภูมิ ‘การเมืองโลก-การเมืองไทย’ กับ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ออกอากาศวันที่ 23 กรกฎาคม 2567
มองก้าวต่อไปการเมืองสหรัฐฯ เมื่อไบเดนส่งไม้ต่อให้แฮร์ริส
จากการลอบสังหารทรัมป์สู่การเปลี่ยนตัวแคนดิเดตของพรรคเดโมแครตจากไบเดนเป็นแฮร์ริส คำถามสำคัญคือเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นภาพใดในการเมืองสหรัฐฯ และที่สำคัญไปกว่านั้นทั้งสองเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกับการเลือกตั้งที่ดุเดือดต่อจากนี้อย่างไร
“สิ่งที่คนอเมริกันเฝ้าดูอยู่ตอนนี้คือการปรากฏตัวของไบเดน” ม.ล.ณัฏฐกรณ์กล่าวพร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า แม้จดหมายถอนตัวของไบเดนที่โพสต์ลงใน X จะถือว่าสมบูรณ์เรียบร้อย ทว่าสถานการณ์รายรอบทำให้ทุกคนสงสัยว่าการประกาศถอนตัวครั้งนี้มาจากเจตจำนงของไบเดนจริงหรือไม่ เพราะการถอนตัวในครั้งนี้ดูขัดกับการแสดงออกของไบเดนที่ประกาศให้โลกรู้เสมอว่า เขาจะเดินหน้าสู้ศึกเลือกตั้งนี้ต่อไป
“ตอนนี้มีกระแสในสหรัฐฯ ที่มองว่า ไบเดนถูกบังคับให้ลาออก ซึ่งเป็นสิ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง และถ้าไบเดนไม่ปรากฏตัวและแถลงความจริงอย่างตรงไปตรงมา คำถามนี้จะมีไปตลอดจนถึงวันเลือกตั้ง เพราะตั้งแต่แกนนำในพรรคอย่างแนนซี เพโลซี (ประธานสภาผู้แทนราษฎร) หรือบารัก โอบามา (อดีตประธานาธิบดี) เริ่มแสดงออกว่าไม่สนับสนุนไบเดน หรือการที่ไบเดนเกิดป่วยโควิดกะทันหันจนไม่ได้ปรากฏในงานใหญ่ ทำให้คนเริ่มสงสัยถึงขั้นว่าป่วยจริงหรือไม่ และก็มีจดหมายร่อนออกมาเลย”
หากกล่าวโดยสรุป ตอนนี้ประชาชนอเมริกันกำลังเคลือบแคลงสงสัยว่า การถอนตัวของไบเดนไม่ได้เกิดจากความต้องการของเจ้าตัวจริงๆ แต่มาจากแรงบีบบังคับของแกนนำระดับอาวุโสในพรรคเดโมแครตที่บังคับให้เขาถอนตัว
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือตัวแทนของไบเดนอย่างแฮร์ริส ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ซึ่ง ม.ล.ณัฏฐกรณ์ มองว่า การที่แฮร์ริสขึ้นมาเป็นตัวแทนของไบเดนสะท้อนถึงกลไกที่ไม่สมบูรณ์ เพราะเป็นกลไกที่ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน เนื่องจากแฮร์ริสไม่เคยชนะในการเลือกตั้งขั้นต้น (primary vote) และไม่ใช่นักการเมืองที่สมาชิกพรรคเดโมแครตนิยมเท่าไรนัก
“ประเด็นอยู่ที่ว่า เมื่อแฮร์ริสไม่เคยเป็นตัวเต็งหรือเป็นผู้สมัครระดับท็อปที่คนมองว่าเป็นดาวรุ่ง แต่ตอนนี้สื่อกระแสหลักกลับยืนยันว่าเธอน่าจะเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงชิงตำแหน่งแล้ว แถมยังลือกันอีกว่าแฮร์ริสคุยกับเพโลซีหรือโอบามา รวมถึงกรรมการบริหารพรรคระดับอาวุโสเรียบร้อยแล้ว คำถามคือประชาชนอยู่ตรงไหนในสมการนี้”
ถ้าให้มองในระยะยาว ม.ล.ณัฏฐกรณ์ทำนายว่า แม้จะมีการเปลี่ยนตัวจากไบเดนเป็นแฮร์ริสแล้ว ทว่าทรัมป์ก็ยังเป็นผู้ที่น่าจะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้อยู่ดี
“จุดอ่อนของแฮร์ริสสำหรับผมคือภาพลักษณ์ของเธอเอง ต้องบอกก่อนว่าแฮร์ริสเป็นลูกครึ่ง มีทั้งเชื้อสายอินเดียและจาไมกา แต่บุพการีของเธอก็เป็นครูบาอาจารย์ พูดง่ายๆ คือมีการมีงานทำ ตัวเธอก็เรียนที่ฮาร์วาร์ดและมีเครือข่ายทางการเมือง
“แต่พอเธอหาเสียงในช่วงแรกๆ แฮร์ริสกลับใช้วิธีหาเสียงเสมือนว่าเธอเป็นเหมือนคนผิวดำที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก อีกทั้งหลายครั้งที่เธอหาเสียงโดยสวมบทเป็นคนเชื้อสายอินเดียวันหนึ่ง เป็นคนดำวันหนึ่ง ทั้งที่ชีวิตแฮร์ริสไม่ได้ลำบากขนาดนั้น แต่เธอกลับนำสิ่งนี้มาใช้เสมือนหนึ่งว่านี่เป็นข้อด้อยและถูกกดขี่ คล้ายเรื่องของโอบามา แต่รายนั้นเขาเข้าใจพื้นเพคนแอฟริกัน-อเมริกันจริงๆ ซึ่งแฮร์ริสไม่มี และไม่เคยแก้ได้”
สำหรับ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ นี่คือจุดสำคัญ เพราะไม่เคยมีใครมองว่าเรื่องราวของแฮร์ริสเป็นของแท้ (authentic) และนี่จะเป็นจุดที่ทำให้เธอไม่มีทางชนะได้
สำหรับก้าวต่อไป ม.ล.ณัฏฐกรณ์ มองว่าคือการจัดการประชุมเปิด (open convention) เพื่อเสนอชื่อแคนดิเดตคนอื่นที่น่าจะเป็นที่นิยมกว่าขึ้นมา ซึ่งเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 1952 และ 1968 หรืออีกกรณีหนึ่งคือหากแฮร์ริสไม่สามารถตีตื้นทรัมป์ได้ เธอก็อาจจะถูกเปลี่ยนตัวโดยพรรคเช่นกัน
“ผมมองว่า สาเหตุที่ไบเดนถอนตัวก็เพราะเขาแพ้ทรัมป์ในโพล โดยเฉพาะยิ่งเมื่อทรัมป์รอดจากการลอบสังหาร คะแนนในโพลก็ยิ่งกระเตื้องขึ้นอีก หากเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วแฮร์ริสยังแพ้ทรัมป์ยิ่งกว่าที่ไบเดนแพ้ ก็อาจจะเปลี่ยนตัวได้”

มองนิติสงครามสหรัฐฯ สู่นิติสงครามในไทย
ขยับมาที่ฝั่งรีพับลิกัน ม.ล.ณัฏฐกรณ์คาดการณ์ว่า หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี นโยบายของเขาคงจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก กล่าวคือทรัมป์ยังคงจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเอเชียอย่างมโหฬารมากกว่าไบเดน โดยเฉพาะสินค้าจากจีน รวมถึงมีมาตรการคว่ำบาตรจีนอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับชิป (chip) หรือเซมิคอนดักเตอร์ (semiconductor)
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังมีแนวโน้มจะยึดหลักการโดดเดี่ยว (isolationist) เพราะไม่อยากให้งบหรืออาวุธเทไปที่ยูเครนมาก ม.ล.ณัฏฐกรณ์มองว่าเราจะค่อยๆ เห็นขั้นตอนการลดงบประมาณทหารในเรื่องยูเครนลง เพราะทรัมป์ยึดอุดมการณ์ที่ไม่อยากส่งทหารอเมริกันไปรบที่ต่างแดน อีกประเด็นคือเรื่องการควบคุมพรมแดนตรงฝั่งเม็กซิโก ที่การควบคุมน่าจะเข้มงวดเพิ่มขึ้นกว่าในยุคของไบเดน
“ผมคิดว่าไม่มีสงครามโลกครั้งที่ 3 หรอก ถ้าทรัมป์เป็นประธานาธิบดี อย่างมากก็ลดโควตาผู้อพยพและมีเรื่องภาษี ตรงนี้อาจจะเป็นประโยชน์กับฝั่งไทยก็ได้ถ้าเราสามารถดึงดูดบริษัทข้ามชาติที่ลงทุนในจีนมาไทยได้ แต่ก็ต้องแข่งกับเวียดนามหรืออินโดนีเซียให้ได้ด้วย”
อีกหนึ่งวาทกรรมที่คนมักพูดถึงทรัมป์คือ ความกังวลว่าทรัมป์จะเป็นภัยต่อประชาธิปไตย ซึ่ง ม.ล.ณัฏฐกรณ์มองว่า ปัญหาเดียวที่จะเกิดขึ้นคือการมีม็อบที่ไม่พอใจ แต่นี่ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะกันไม่ให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งได้ และสำหรับเขา ตอนนี้ไม่มีภัยใดที่จะคุกคามระบอบประชาธิปไตยในสหรัฐฯ ได้ แต่เป็นการสร้างเรื่องราวขึ้นมาเพื่อกันไม่ให้ประชาชนเลือกผู้นำมากกว่า
“ถามว่าทรัมป์มีทำผิดไหม มีนะครับ เช่น กรณี 6 มกราคม (January Six) มีการปลุกปั่นให้คนไม่เคารพผลการเลือกตั้ง ใช้วาจาไม่เหมาะสม แต่ประเด็นคือศาลสูงของสหรัฐฯ มีคำวินิจฉัยแล้วว่า การกระทำของประธานาธิบดีที่อยู่ในตำแหน่งจะได้รับการคุ้มครอง คือศาลวินิจฉัยแบบปลายเปิด แต่คำวินิจฉัยนี้สะท้อนว่าสหรัฐฯ จะไม่เป็นประเทศที่ทำให้อดีตประมุขแห่งรัฐติดคุกเพื่อไล่ล่ากันทางการเมือง”
ม.ล.ณัฏฐกรณ์ชี้ว่า ในบางประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนามีช่องว่างที่เปิดให้ฝ่ายผู้ถือกฎหมายสามารถใช้กลไกในศาลเพื่อไล่ล่าเอาผิดนักการเมืองคู่แข่ง นำไปสู่การไล่ล่ากันไม่รู้จบ
“หลายคนจะบอกว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย แต่เรื่องนี้มันไม่ใช่ เพราะเราจะไม่ใช้กฎหมายเพื่อไล่ล่ากันทางการเมือง สาเหตุที่การทำนิติสงครามในสหรัฐฯ รอบนี้ไม่ได้ผล เพราะกระบวนการยุติธรรมเขาไม่เล่นการเมือง อันนี้ไม่นับกรณีความผิดในตนเอง (mala in se) นะ”
ทว่าประเด็นน่าสนใจที่ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ชี้ให้เห็นคือ การที่สหรัฐฯ ไม่มีการทำรัฐประหาร ไม่ฉีกรัฐธรรมนูญ และไม่มีนิติสงคราม ทำให้สหรัฐฯ มีการลอบสังหารบ่อยกว่าประเทศอื่น เช่น การลอบสังหารทั้งอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดีที่ต่อต้านสงครามเวียดนามชัดเจน หรือน้องชายอย่างโรเบิร์ต เคนเนดี ชูนโยบายจุดจบของสงคราม (the end to the war) ในปี 1968 จนทำให้เกิดเสียงร่ำลือว่านี่เป็นคำสาปของครอบครัว เนื่องจากทั้งสองคนไปขัดขวางกลไกแห่งรัฐที่มีอำนาจที่แท้จริง
“ถามว่าทรัมป์ขวางสงครามไหม เขาก็ขวางนะ แต่ขวางด้วยวาทกรรม คือใช้โดรนโจมตีแทนเพราะอยากชนะและประหยัดบุคลากรทางการทหาร อันนี้ก็คือเขาอยู่เป็นด้วย”
ขยับกลับมาที่ประเทศไทย ม.ล.ณัฏฐกรณ์ชี้ว่า ประเด็นน่าสนใจที่เมืองไทยแตกต่างจากต่างประเทศคือ ในหลายประเทศจะมีการปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังนักการเมืองมากกว่าสิ่งที่นักการเมืองได้กระทำจริงๆ เป็นการสร้างเรื่องราวจากทั้งฝั่งสื่อผสมกับนักวิชาการ ทว่าในไทย สื่อหลายแห่งปลดแอกตนเองออกมา ทำให้ปัญหาจริงๆ ของไทยกลับไปอยู่ที่กลไกตุลาการ กล่าวคือไทยมีกลไกตุลาการภิวัตน์ที่เกินความควบคุม (out of control) และไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของสังคม โจทย์สำคัญจึงอยู่ที่การทลายกลไกนี้เพื่อนำไปสู่การพัฒนาของสังคม
“ปัญหาของไทยคือการอิงกฎหมายตลอดเวลา แต่อิงเฉพาะเวลาต้องการจำกัดคน และเราก็กรองนักการเมืองที่มีเสน่ห์ จนคนอยากเลือกออกไปเรื่อยๆ ย้อนไปตั้งแต่ยุคคุณทักษิณ (ชินวัตร) ถึงคุณธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ) มีกี่คนที่เป็นเหยื่อของตุลาการภิวัตน์ สรุปแล้วเราตอนนี้เราจะเหลือใคร”
แม้ฉากหน้าคือการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตของกระบวนการยุติธรรม แต่แท้จริงแล้วนี่อาจเป็นเรื่องการจำกัดสิทธิเสรีภาพของพลเมืองที่กฎหมายไม่ควรเอาผิดพลเมืองหากไม่ได้ผิดจริง
“กฎหมายออกมาเป็นบ่วงรัดและกลายเป็นตัวสร้างปัญหา คือเวลาเกิดรัฐประหาร สภานิติบัญญัติจะประเมินว่าตนเองผ่านกฎหมายได้กี่ฉบับ ผมคิดว่ามันไม่ควรเป็นการผ่านกฎหมาย แต่มองว่าเราลดกฎหมายที่ไม่จำเป็นได้กี่ฉบับมากกว่า และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ควรจะมองบทบาทของตนเองเช่นเดียวกัน”

ก้าวต่อไปของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ก้าวต่อไปของการเมืองโลก
หากลองวิเคราะห์นโยบายของทรัมป์ วาทกรรมสำคัญของเขาคือการโทษสินค้าที่ถูกนำเข้ามาง่ายเกินไปและมาแข่งกับสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ ทำให้สินค้าสหรัฐฯ ขายไม่ได้เพราะราคาแพงกว่า ซึ่ง ม.ล.ณัฏฐกรณ์ชี้ว่าวาทกรรมนี้ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป แต่มันฟังขึ้นและทำงานได้ดีกับคนอเมริกัน โดยเฉพาะคนยากจนและไม่มีงานทำ อีกทั้งตอนนี้คนอเมริกันกำลังสนใจมหาอำนาจใหม่อย่างจีน ยิ่งทำให้พวกเขาพร้อมเชื่อและพร้อมรับฟังเรื่องนี้
“ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในทางการเมืองคือการให้ความหวังประชาชน เหมือนที่ทรัมป์ให้ความหวังว่าการขึ้นภาษีจะทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น ผมคิดว่าเขาต้องการให้ความหวังกับประชาชนว่าเขาจะกล้าจัดหนักกับจีน กล้าขึ้นภาษี ซึ่งจะทำให้ชีวิตคนอเมริกันดีขึ้น แม้มันจะไม่จริง แต่เขาจำเป็นต้องหาเสียงกับสิ่งเหล่านี้ เพราะเป็นเรื่องราวแบบที่คนอเมริกันพร้อมซื้อ”
ถ้ามองภาพกว้างกว่านั้นในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ม.ล.ณัฏฐกรณ์มองว่าสถานการณ์ที่คนพูดถึงเยอะคือท่าทีของสหรัฐฯ ต่อปัญหาจีน-ไต้หวัน ซึ่งสำหรับเขา ไม่ว่าประธานาธิบดีจะเป็นทรัมป์หรือไบเดนก็จะทำตามที่ทหารแนะนำ ซึ่งหากจีนทำอะไรไต้หวัน สหรัฐฯ จะตอบโต้แต่ไม่ถึงขั้นรบกันและไม่ทำให้สถานการณ์บานปลาย
“ผมเชื่อว่าจะไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เพราะสหรัฐฯ ไม่ได้อยากรบกับจีนเพื่อไต้หวัน แต่เขาต้องแสดงท่าทีว่าจะทำบางอย่างเพื่อรักษาจุดยืนในสังคมมากกว่า”
อีกประเด็นคือ จีนต้องการมีส่วนร่วมเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจ ทำให้ยุทธศาสตร์ใหญ่ของสหรัฐฯ มองความสัมพันธ์กับจีนเป็นแบบผู้ชนะทั้งคู่ (win-win) ดังที่เคยมีการส่งเฮนรี คิสซิงเจอร์ ไปเพื่อดำเนินการสร้างความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วงทศวรรษที่ 1970
“จีนไม่ได้มีความทะเยอทะยานเท่าญี่ปุ่นหรือเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฝั่งกลาโหมของสหรัฐฯ มองจีนเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจที่อยู่ร่วมกันได้”
เมื่อถามว่าสหรัฐฯ มองประเทศไหนเป็นภัยคุกคามจริงๆ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ชี้ว่าประเทศรัสเซียถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีแนวโน้มมุ่งขยายอำนาจตั้งแต่แรกเริ่มตั้งประเทศและถูกมองเป็นภัยคุกคามของสหรัฐฯ เสมอมา
“ถ้าสมมติสงครามในยูเครนยุติลง ประธานาธิบดี (วลาดิมีร์) ปูติน ยอมถอย ผมมองว่าโลกจะเริ่มเข้าสู่สันติภาพที่งดงามเลย”
แน่นอนว่า แม้สถานการณ์ความตึงเครียดของภูมิรัฐศาสตร์โลกย่อมส่งผลกระทบกับทุกประเทศ รวมถึงไทยด้วย ทว่า ม.ล.ณัฏฐกรณ์ทิ้งท้ายว่า แม้ไทยจะต้องเจอปัญหาจากต่างประเทศเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทว่าปัญหาดังกล่าวอาจส่งผลกระทบน้อยเมื่อเทียบกับวิกฤตภายใน ที่ผู้ถืออำนาจตุลาการไม่เคารพเสียงประชาชน ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์เชิงระบบและจะส่งผลเสียต่อประเทศในระยะยาว และนี่คือประเด็นสำคัญที่เป็นความท้าทายสำคัญของไทยต่อไป