‘ปิดกั้น ตัดสัญญาณ สอดแนม’ เปิดพิมพ์เขียวเผด็จการดิจิทัลในพม่า และการเป็นหูตาบนสมรภูมิอินเทอร์เน็ต

รุ่งเช้าของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 ในช่วงเวลาที่ผู้คนในพม่ากำลังตื่นมารับวันใหม่ในเดือนใหม่ หลายคนจับโทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งแรกหลังตื่นนอนตามปกตินิสัย ทันใดนั้นก็พบว่าไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่ออัปเดตข่าวสารผ่านช่องทางออนไลน์ได้ดังเคย สถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้มาพร้อมกับการที่กองทัพพม่านำรถถังบุกกรุงเนปิดอว์เพื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน กระทั่งพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมาแถลงการณ์ชี้แจงเหตุผลในการทำรัฐประหารผ่านการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ ประชาชนพม่าจึงรู้ว่ามีการรัฐประหารเกิดขึ้น

นับตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของประชาชนพม่าทั้งในโลกออฟไลน์และออนไลน์ก็เปลี่ยนไปอย่างไม่หวนกลับ

หนึ่งในปฏิบัติการแรกๆ ที่กองทัพดำเนินการเพื่อยึดอำนาจคือการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตเกือบทั่วทั้งประเทศ ตามมาด้วยการ ‘บล็อก’ (block) หรือปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์จากนอกประเทศ การปิดกั้นดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และทำอย่างเป็นระบบผ่านเครื่องมือทางกฎหมายและไม่ใช่กฎหมาย เพื่อเอื้อให้กองทัพสอดแนมความเคลื่อนไหวของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ต่อต้านการรัฐประหาร

อาจจะเรียกว่าเป็นพิมพ์เขียวของเผด็จการก็ว่าได้ เมื่อใดที่บุคคลขึ้นสู่อำนาจด้วยวิถีทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและถูกต่อต้านจากผู้คนจำนวนมาก การควบคุมการไหลเวียนของข่าวสารและช่องทางสื่อสารย่อมเป็นสิ่งแรกๆ ที่ต้องทำ ทั้งเพื่อปิดกั้นความไม่ชอบธรรมไม่ให้ออกสู่โลกภายนอก และเพื่อเงียบเสียงของผู้ต่อต้านจากภายใน

ในโลกที่อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและได้รับการปกป้องในพื้นที่ออนไลน์ถูกจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชน การลิดรอนสิทธิดังกล่าวจึงถือเป็นการลิดรอนสิทธิมนุษยชนไปด้วย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพม่าตอนนี้ นอกจากพื้นที่ออฟไลน์จะเต็มไปด้วยความสูญเสียจากการประหัตประหารของกองทัพ การกดปราบบนพื้นที่ออนไลน์ก็ส่งผลกระทบที่สั่นสะเทือนต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ไม่ต่างกัน

101 สนทนากับ 3 นักวิจัยด้านสิทธิดิจิทัลจากองค์กรด้านอินเทอร์เน็ตของพม่า ที่ก่อตั้งขึ้นหลังรัฐประหารเพื่อติดตามสถานการณ์การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การสอดแนม และการลิดรอนสิทธิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่กระทำโดยกองทัพพม่า ร่วมหาคำตอบว่า ‘เผด็จการดิจิทัล’ คืออะไร ไทยและโลกถอดบทเรียนอะไรได้บ้างจากสิ่งที่เกิดขึ้นในพม่า

‘บล็อกและแบน’ ภูมิทัศน์ดิจิทัลพม่าหลังรัฐประหาร

หลังเกิดการรัฐประหาร การชุมนุมประท้วงต่อต้านของประชาชนพม่าขยายตัวไปทุกย่อมหญ้าของประเทศ การลุกฮือครั้งใหญ่นี้ย่อมสั่นคลอนความชอบธรรมของรัฐบาลทหารอยู่ไม่น้อย ราวทศวรรษ 2010 การใช้งานอินเทอร์เน็ตเริ่มเป็นที่แพร่หลายในสังคมพม่า อินเทอร์ถูกใช้ตั้งแต่การติดต่อสื่อสาร ค้นหาหรือส่งต่อข้อมูล ไปจนถึงการทำธุรกรรมนานาประเภท เมื่อทหารขึ้นสู่อำนาจ การตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตจึงเป็นแนวทางที่ถูกใช้เพื่อดิสรัปต์การไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารขนานใหญ่ และทำให้การจัดแนวร่วมหรือการประสานงานของฝ่ายต่อต้านเป็นไปอย่างยากลำบาก อีกทั้งกองทัพซึ่งเป็นผู้กระทำความรุนแรงต่อประชาชน ย่อมไม่อยากให้ภาพและเสียงที่บันทึกอาชญากรรมดังกล่าวไว้ถูกเผยแพร่สู่สายตาชาวโลก

“ในช่วงแรกของการรัฐประหาร ทหารตัดอินเทอร์เน็ตโดยการบุกเข้าไปในศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลของบริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต ตัดและทำลายโครงสร้างพื้นฐาน บ้างก็ถอดปลั๊กสายไฟ ในตอนแรก ความพยายามในการระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่ได้ผลมากนัก แต่เมื่อเวลาล่วงผ่านไป การปิดระบบก็มีความแม่นยำมากขึ้น ตอนนี้พวกเขาสามารถระงับสัญญาณได้หลายรูปแบบ ทั้งควบคุมปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ตในมือถือ ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตแบบระบุตำแหน่ง และปิดระบบตามแอปพลิเคชัน พวกเขามีทักษะและมีกลยุทธ์มากขึ้นในการดำเนินการปิดระบบเหล่านี้”

แบรดลีย์ (นามสมมติ) นักวิจัยจาก Myanmar Internet Project (MIP) เล่าถึงวิวัฒนาการการควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของกองทัพที่นับวันจะยิ่งแม่นยำและเป็นระบบมากขึ้น จากสถิติที่เก็บโดย MIP ตั้งแต่เกิดการรัฐประหารจนถึงเดือนกรกฎาคม ปีนี้ มีการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตแล้วทั้งหมด 299 ครั้ง ไม่นับว่าในช่วงที่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ สัญญาณก็มาแบบติดๆ ดับๆ สำหรับแบรดลีย์แล้ว “อินเทอร์เน็ตถือเป็นสิ่งสำคัญแบบชี้เป็นชี้ตาย เป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ในการเอาชีวิตรอดในพม่าตอนนี้” เพราะในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความรุนแรงเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ประชาชนจำเป็นต้องเข้าถึงช่องทางติดต่อสื่อสารเพื่อส่งข่าว ชี้จุดปลอดภัย หรือเข้าถึงความช่วยเหลือต่างๆ

สถิติการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตในแต่ละภาคของพม่าหลังรัฐประหาร | ที่มา: Myanmar Internet Project

อินเทอร์เน็ตยังสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการประท้วงต่อต้านและการสู้รบกับกองทัพ ทั้งในแง่ของการวางแผนและระดมทุน การปิดกั้นการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์โดยกองทัพพม่าเคยเกิดขึ้นมาแล้วในการปฏิวัติผ้ากาสาวพัสตร์ (Saffron Revolution) เมื่อปี 2007-2008 ที่พระสงฆ์ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหารในขณะนั้น การปิดกั้นเป็นผลพวงจากการที่กองทัพไม่ต้องการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการประท้วงออกไปสู่โลกภายนอก (Chowdhury, 2010)

อินเทอร์เน็ตเข้าถึงได้ยากยิ่งขึ้นในบริเวณฐานที่มั่นของกองกำลังฝ่ายต่อต้าน เพราะกองทัพต้องการตัดขาดการสื่อสารไม่ให้ฝ่ายต่อต้านประสานงานเพื่อวางแผนปฏิบัติการรุกคืบหรือรับมือการโจมตีได้ทัน ดังนั้น เมื่อใดที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์ถูกตัดก็เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่าการโจมตีครั้งใหญ่กำลังมาถึง แบรดลีย์ยังเล่าว่านักข่าวหรือนักเคลื่อนไหวที่จำเป็นต้องอัปเดตข่าวสารสู่โลกภายนอกอย่างสม่ำเสมอจำเป็นต้องพิมพ์สิ่งที่ต้องการเผยแพร่ไว้ แล้วเดินสุ่มหาพื้นที่ที่มีสัญญาณ 2G หรือ 3G รั่วไหล ซึ่งมักจะเป็นยอดเขาสูงหรือพื้นที่ใกล้แม่น้ำ จากนั้นจึงโพสต์ข้อมูลที่เตรียมไว้ในคราวเดียว

อย่างไรก็ตาม ในบางพื้นที่ของพม่าได้หันมาใช้อินเทอร์เน็ตดาวเทียมกันมากขึ้น เช่น กลุ่มต่อต้านในรัฐกะเรนนีที่ใช้ดาวเทียมสตาร์ลิงก์ (Starlink) โดยบริษัทสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) แม้สตาร์ลิงก์จะเป็นดาวเทียมที่นิยมใช้ในพื้นที่สงครามอย่างยูเครนหรือกาซ่า เพราะมีราคาไม่แพงนัก ติดตั้งและบำรุงรักษาง่าย แต่ในป่าลึกของพม่า อันเป็นฐานที่มั่นของหลายกองกำลังชาติพันธุ์และฝ่ายต่อต้าน การนำเข้าอุปกรณ์สำหรับรับส่งข้อมูลกับดาวเทียมไม่ใช่เรื่องง่าย เส้นทางนำเข้าที่ต้องผ่านหลายประเทศมาพร้อมกับความยุ่งยากในการปฏิบัติตามกฎระเบียบการนำเข้าและผ่านแดนอุปกรณ์โทรคมนาคมของแต่ละประเทศ ความยุ่งยากเหล่านี้ทำให้การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมสตาร์ลิงก์จึงอาจไม่ตอบโจทย์ในทุกพื้นที่

การตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตคือขั้นแรกสุดในการตัดขาดผู้คนจากการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร แฟลตฟอร์มโซเชียลมีเดียคือเป้าหมายต่อมาที่ถูกกองทัพเพ่งเล็ง หลังรัฐประหาร กองทัพมีคำสั่งปิดกั้นการเข้าถึงแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) ทวิตเตอร์ (Twitter; X ในปัจจุบัน) และอินสตาแกรม (Instagram) รวมไปถึงหน้าเว็บไซต์ข่าวและสื่อออนไลน์ต่างๆ หรือแม้แต่วิกิพีเดีย (Wikipedia) รวมไปถึงแอปพลิเคชันแชตอย่างเมสเซนเจอร์ (Messenger) และซิกแนล (Signal) มีเพียงเทเลแกรม (Telegram) แอปพลิเคชันส่งข้อความสัญชาติรัสเซีย ที่มักถูกนำมาใช้ในการเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลในหลายประเทศยังอยู่รอดจากการแบน แต่เทเลแกรมก็ไม่ใช่ช่องทางที่ปลอดภัยนักในการสื่อสาร การ์ (นามสมมติ) นักวิจัยด้านสิทธิดิจิทัลจาก MIP ให้ข้อมูล

“ไม่นานมานี้ พวกเขา (ตัดมาดอว์) เพิ่งแบนซิกแนลไป เมสเซนเจอร์ก็โดนแบนตามเฟซบุ๊กไปก่อนหน้านี้แล้ว สองแอปฯ นี้มีการสื่อสารที่เข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง (End-to-end encryption: E2EE) ทำให้บุคคลอื่นนอกจากผู้ที่อยู่ในห้องแชทไม่สามารถอ่านเนื้อหาการแชทได้ ถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยพอสมควร แต่เทเลแกรมกลับถูกเว้นไว้ เพราะหลังเฟซบุ๊กแบนเพจที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ ทหารก็เปลี่ยนมาใช้เทเลแกรมเป็นช่องทางเผยแพร่ข่าวปลอม ข่าวบิดเบือน และโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ไม่นับว่าเทเลแกรมมีการเข้ารหัสเฉพาะฟีเจอร์ Secret Chat ที่หลายคนไม่รู้ว่าต้องตั้งค่าเปิดใช้ ถือเป็นช่องโหว่ให้กองทัพสอดแนมการสนทนาได้ และมันอันตรายยิ่งขึ้นไปอีกหากไม่ได้เปิดใช้ VPN”

เธอยังขยายความว่าตัดมาดอว์พึ่งพาเทคโนโลยีจากจีนในการเพิ่มขีดความสามารถการปิดกั้นข้อมูลและสอดแนม รายงานของ Justice for Myanmar ที่เผยแพร่เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เปิดเผยว่าเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถถอดรหัสการรับส่งข้อมูล ปิดกั้นการเข้าถึงแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ รวมถึงปิดกั้นการใช้งานเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (Virtual Private Network: VPN) การ์กล่าวว่าเรื่องน่ากังวลคือไม่มีใครรู้ว่าเทคโนโลยีนี้สามารถกำหนดเป้าหมายและขยายพื้นที่การสอดส่องได้มากแค่ไหน เพราะมีแต่รัฐบาลทหารที่เข้าถึงได้ ในฐานะบุคคลที่ต้องลี้ภัยเพราะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะโดนจับกุมจากกองทัพ เธอและชาวพม่าที่เผชิญชะตากรรมเดียวกันจำเป็นต้องเฝ้าระวังการสื่อสารอย่างรอบด้าน

หลังกองทัพแบนเว็บไซต์และแพลตฟอร์มติดต่อสื่อสารต่างๆ ความต้องการใช้งาน VPN ก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ข้อมูลจาก Top10VPN ระบุว่าหลังวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 ความต้องการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน VPN พุ่งสูงจากระดับปกติถึง 672% เนื่องจากการเปิดใช้ VPN ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ที่ถูกปิดกั้นในประเทศได้ อีกทั้งทำให้ประวัติการใช้งานอินเทอร์เน็ตและสถานที่ไม่สามารถถูกติดตามได้โดยกองทัพ

ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ตัดมาดอว์นำเทคโนโลยีจีนมาใช้ควบคุมพื้นที่ดิจิทัล บริการ VPN ถูกระงับอย่างเป็นทางการ ตามคำสั่งของกระทรวงคมนาคมและการสื่อสารพม่า อีกทั้งยังมีการสุ่มตรวจโทรศัพท์มือถือของประชาชนว่ามีการใช้งานแอปพลิเคชัน VPN หรือไม่ หากตรวจพบจะมีโทษปรับ ย้อนไปเมื่อหลังรัฐประหารไม่กี่เดือน รัฐบาลทหารได้เผยแพร่ร่างกฎหมายความปลอดภัยทางไซเบอร์ซึ่งระบุอัตราโทษจำคุกของการใช้ VPN โดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางการไว้ถึงสามปี อย่างไรก็ตามร่างกฎหมายดังกล่าวยังไม่ถูกบังคับใช้ แต่นั่นก็เป็นอีกตัวอย่างว่าปฏิบัติการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและการสื่อสารถูกดำเนินการอย่างเป็นระบบผ่านการออกกฎหมาย โดยมีเป้าหมายเพื่อระบุตัวและจับกุมประชาชนผู้ต่อต้าน

กราฟแสดงความต้องการใช้ VPN ในพม่าหลังกระทรวงคมนาคมและการสื่อสารพม่าสั่งระงับบริการ VPN เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2024 | ที่มา: Top10VPN

จากโมบายแบงก์กิ้งสู่ห้องขัง: การสอดแนมผ่านการทำธุรกรรมและผลกระทบในทางเศรษฐกิจ

หลากกฎหมายและหลายมาตรการที่รัฐบาลทหารบังคับใช้เพื่อเป็นเครื่องมือในการกดปราบประชาชนผู้เห็นต่าง ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของชาวพม่าในทุกมิติ ทันทีที่กองทัพยึดอำนาจสำเร็จ สภาบริหารแห่งรัฐ (State Administration Council: SAC) ได้ทำการแก้ไขกฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของพลเมือง (Privacy Law) โดยยกเลิกมาตรา 5, 7 และ 8 เปิดทางให้รัฐสามารถสอดแนมประชาชน อีกทั้งแก้ไขกฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Transaction Law) ที่เอื้อให้รัฐเข้าถึงข้อมูลประชาชนในนามของ ‘ความมั่นคง’ ได้ง่ายขึ้น

นี่คือจุดเริ่มต้นของการสอดแนมที่ถูก ‘decentralized’ เพราะภายใต้กฎหมายเหล่านี้ ภาคเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกับรัฐบาลทหารในการแบ่งปันข้อมูล นั่นทำให้ทุกก้าวย่างของประชาชนพม่าอยู่ในรัศมีการสอดแนมตลอด การ์กล่าวว่าความกังวลต่อการรั่วไหลของข้อมูลสะท้อนชัดเจนในภาคการเงิน

“ก่อนเกิดการรัฐประหาร พม่ากำลังเดินหน้าสู่สังคมไร้เงินสดเหมือนไทยนั่นแหละ จะร้านเล็ก ร้านใหญ่ก็สามารถจ่ายผ่านโทรศัพท์มือถือได้ แต่หลังกองทัพทำรัฐประหาร สถานการณ์ก็บีบบังคับให้พม่าหวนคืนสู่สังคมเงินสด มันเริ่มตั้งแต่การตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ทำให้โมบายแบงก์กิ้งใช้ไม่ได้ ผู้คนออกมาต่อคิวหน้าตู้เอทีเอ็มยาวเหยียดเพราะอยากเก็บเงินสดไว้กับตัว ที่แย่ไปกว่านั้นคือมีคนจำนวนมากถูกตั้งข้อหา บ้างโดนจับเพราะโอนเงินสนับสนุนขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตย นั่นหมายความว่ากองทัพสอดส่องความเคลื่อนไหวทางการเงินของเราตลอด และข้อมูลนี้จะมาจากไหนได้เสียอีกนอกจากธนาคาร”

วอกซ์ (นามสมมติ) หนึ่งในนักวิจัยที่ร่วมกับแบรดลีย์และการ์จัดทำรายงาน ‘Policing mobile money’ Digital financial repression in post-coup Myanmar พาย้อนมองสถานการณ์หลังรัฐประหารที่จุดประกายให้พวกเขาอยากศึกษาและติดตามประเด็นนี้อย่างจริงจังว่า หลังกองทัพยึดอำนาจ สื่อรายงานข่าวการจับกุมและยึดทรัพย์สินพลเมืองที่รัฐบาลทหารมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหล่านี้มีร่วมกันคือการทำธุรกรรมการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือเป็นหลัก ในฐานะนักวิจัยด้านสิทธิดิจิทัล ว็อกซ์มองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้และหาแนวทางให้พลเมืองพม่าสามารถรู้เท่าทันและหลบเลี่ยงการตรวจจับให้ได้

“การตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ ถือเป็นการสอดแนมแบบ ‘low hanging fruit’ คือสามารถทำได้ง่าย แต่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง เพราะข้อมูลทางธนาคารจะเปิดทางไปสู่ข้อมูลสำคัญอื่นๆ ตัดมาดอว์ตรากฎหมายที่บังคับให้ธนาคารส่งรายการเดินบัญชีทั้งหมดเพื่อติดตามการทำธุรกรรมรายบุคคล พวกเขากำหนดเพดานตัวเลขไว้จำนวนหนึ่ง หากพบว่าการทำธุรกรรมเกินจำนวนที่กำหนด บัญชีนั้นจะถูกตรวจสอบอย่างละเอียดว่าใครเป็นผู้ส่งเงิน ใครเป็นผู้รับเงิน และความถี่ของการทำธุรกรรมเป็นแบบใด ทั้งหมดนี้ทำไปเพื่อขัดขวางการไหลเวียนของเงินทุนไปยังรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Government: NUG) และกองกำลังฝ่ายต่อต้าน” วอกซ์ขยายความ

ข้อมูลจากข่าวสืบสวนของ Radio Free Asia เปิดเผยว่าเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2023 เพียงเดือนเดียว กองทัพสั่งปิดบัญชีที่ต้องสงสัยว่าสนับสนุนฝ่ายต่อต้านไปมากกว่า 700 บัญชี

ท่ามกลางหลากกฎหมายที่ถูกเขียนใหม่โดยรัฐบาลทหารเพื่อกระชับอำนาจและกดปราบผู้เห็นต่างจากรอบทิศทาง เราถามนักวิจัยทั้งสามว่ากฎหมายใดน่ากังวลมากที่สุด พวกเขาต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีกฎหมายใดน่ากังวลไปมากกว่ากฎหมายใด

“เราต่างรู้กันดีว่าเป้าหมายสูงสุดของการออกกฎหมายเหล่านี้มา คือการยัดข้อหาใดก็ได้ที่จะทำให้ผู้ต่อต้านถูกจับขังคุก ตอนนี้คนส่วนใหญ่ถูกตั้งข้อหาภายใต้กฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย (Counter Terrorism Law) เนื่องจากมีบทลงโทษที่รุนแรง มีอัตราจำคุกที่ยาวนานกว่ากฎหมายอื่น ด้วยเหตุนี้รัฐบาลทหารจึงใช้กฎหมายนี้ดำเนินคดีกับประชาชนบ่อยครั้ง” แบรดลีย์กล่าว

นอกจากการตรากฎหมายเพื่อให้รัฐมีอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนอย่างไร้ขีดจำกัดแล้ว กองทัพยังใช้การ ‘Doxxing’ ซึ่งหมายถึงการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลบนอินเทอร์เน็ต ผ่านการแทรกซึมเข้าไปในเพจของฝ่ายต่อต้าน การ์บอกเล่าประสบการณ์จากผู้ให้ข้อมูลหลายคนที่เธอมีโอกาสสัมภาษณ์

“โดยทั่วไปแล้วเวลาองค์กรต่างๆ เปิดรับบริจาค หน้าเพจขององค์กรจะแปะเบอร์โทรศัพท์ไว้ ซึ่งเบอร์โทรจะผูกกับชื่อเจ้าของบัญชี คนของกองทัพก็จะใช้เบอร์นั้นกดโอนเงินเพื่อดูชื่อ หรือกรณีที่องค์กรไม่ประกาศรับบริจาคโดยตรงผ่านหน้าเพจ พวกเขาก็จะส่งข้อความไปแสดงความประสงค์ขอบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนขบวนการต่อต้าน ซึ่งเป็นการหลอกขอเบอร์หรือเลขบัญชีมาเปิดเผยตัวตน หลายครั้งพวกเขาก็ดูว่าผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กันในเพจอย่างไรบ้าง มีบัญชีไหนต้องสงสัย จากนั้นก็จะรวบรวมข้อมูลเพื่อเปิดเผยและรอให้กฎหมายที่ทหารตราขึ้นเองจัดการ”

หลากวิธีสอดแนมและล้วงข้อมูลผ่านการทำธุรกรรมการเงินบนโทรศัพท์มือถือเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบธนาคารพม่าเป็นอย่างมาก การ์กล่าวว่าแรงงานพม่าที่ทำงานอยู่นอกประเทศไม่กล้าส่งเงินกลับบ้านเพราะไม่เชื่อมั่นในระบบธนาคาร ส่วนคนที่ยังอยู่ในพม่าก็หาทางโยกย้ายทรัพย์สินไปไว้ที่ต่างประเทศ โดยมีไทยเป็นปลายทางยอดนิยม สะท้อนได้จากสถิติการซื้อคอนโดมิเนียมในไทยของชาวพม่าที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Internet Society ยังชี้ว่า การตัดสัญญาณสื่อสารและปิดกั้นบริการออนไลน์หลายประเภทตั้งแต่ตัดมาดอว์ขึ้นสู่อำนาจ ได้สร้างความสูญเสียให้เศรษฐกิจพม่าไปแล้วกว่า 232 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

เพียงสามเดือนหลังรัฐประหาร อัตราเงินเฟ้อในพม่าพุ่งสูงแตะ 14.1% เพิ่มขึ้นจาก 3.6% ก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 จวบจนปัจจุบัน สถานการณ์เศรษฐกิจของพม่าก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด ค่าเงินจัต (Kyat) ยังอ่อนลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลทหารเพิ่งออกคำสั่งจำกัดการถอนเงินรายวันโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันธนาคารล้ม ก่อนหน้านี้ก็มีการออกคำสั่งจำกัดมูลค่าการถือครองเงินตราต่างประเทศ ไม่นับว่าเงินบางสกุลถูกแบนจากรัฐ มาตรการเหล่านี้ส่งผลสืบเนื่องต่อการดำเนินธุรกิจในพม่า บริษัทและนักลงทุนต่างชาติ (ที่ไม่ได้รับผลประโยชน์จากกองทัพ) ทยอยถอนการลงทุนไป การนำเข้าและส่งออกสินค้าชะงักชะงัน รัฐบาลออกคำสั่งห้ามนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างชาติเพื่อแก้ปัญหาเงินไหลออกต่างประเทศ มาตรการเหล่านี้ของรัฐส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจพม่ากำลังพังทลาย

“ผมไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์เลยบอกไม่ได้ว่าผลกระทบในระยะยาวจะเป็นอย่างไร แต่ต่อให้คุณไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญก็มองออกว่าเศรษฐกิจพม่ากำลังล่มสลายลงต่อหน้าต่อตาเรา ผู้คนใช้ชีวิตยากขึ้นภายใต้สภาวะเช่นนี้ ไม่นานมานี้กองทัพเพิ่งสอบสวนและจับกุมคนในภาคธนาคาร พวกเขาต้องโทษใครสักคนที่ทำให้เศรษฐกิจพม่าเป็นแบบนี้ แต่ไม่เคยยอมรับว่าต้นเหตุทั้งหมดมาจากตัวเอง” แบรดลีย์กล่าว

เผด็จการดิจิทัลมิใช่ปัญหาของรัฐหนึ่งรัฐใด แต่เป็นความท้าทายร่วมของโลก

คงไม่เกินจริงนักหากจะกล่าวว่ามิใช่แค่เพียงพลเมืองพม่าที่ต้องเผชิญกับการลิดรอนสิทธิทางดิจิทัล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเสรีภาพในการแสดงออกและเข้าถึงข้อมูล แต่เราชาวไทย รวมถึงพลเมืองชาติอื่นๆ ในภูมิภาคก็อยู่ในสภาวะที่น่าจับตามองเช่นกัน

ในเวทีประชุม Asia-Pacific Digital Rights Forum เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2023 นักปกป้องสิทธิมนุษยชนในไทยและอาเซียนได้แสดงข้อกังวลต่อสถานการณ์การละเมิดสิทธิดิจิทัลในไทย หนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายคือ การใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เพื่อปราบปรามความคิดเห็นอันเป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐ ซึ่งเห็นได้ว่านับตั้งแต่คลื่นการประท้วงขับไล่รัฐบาล ที่เริ่มต้นขึ้นในปี 2563 มีนักกิจกรรมทางการเมืองไทยจำนวนมากถูกตั้งข้อหาด้วย พ.ร.บ.คอมฯ ข่าวนักกิจกรรมถูกแจ้งข้อกล่าวหาในลักษณะนี้ยังมีให้เห็นเรื่อยๆ แม้จะเปลี่ยนผ่านสู่ยุครัฐบาลพลเรือนแล้ว นอกจากนี้ ประเทศอื่นในอาเซียนอย่างกัมพูชาหรืออินโดนีเซียก็มีการใช้มาตรการทางกฎหมายและไม่ใช่กฎหมายมากขึ้นเพื่อจำกัดเสรีภาพในการพูด

อาจกล่าวได้ว่าการจำกัดเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ตเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในระดับโลก โดยเฉพาะในรัฐที่ความเป็นประชาธิปไตยถดถอย หากขยับจากระดับภูมิภาคไปพิจารณาระดับโลก จะเห็นว่ากลุ่มประเทศเหล่านี้ก็ร่วมมือซึ่งกันและกันเพื่อสร้างนวัตกรรมในการกดปราบการแสดงความคิดเห็นและปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างเป็นระบบ ในกรณีของพม่า จะเห็นว่ามีการพึ่งพาอุปกรณ์ เทคโนโลยี และความช่วยเหลือจากจีนในการปิดกั้นและสอดแนมทางดิจิทัล แนวทางในการใช้มาตรการกดปราบทางดิจิทัลของพม่ายังคล้ายคลึงกับรัสเซีย ซึ่งแบรดลีย์มองว่าเป็น ‘เผด็จการพี่ใหญ่’ ของพม่า

“สิ่งที่เกิดขึ้นในพม่าตอนนี้เป็นไปตาม ‘พิมพ์เขียว’ เผด็จการดิจิทัลอย่างจีนและรัสเซีย ตัดมาดอว์กำลังเลียนแบบระบบของจีนและรัสเซีย ปิดกั้นข้อมูลจากโลกภายนอก สร้างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตนเอง เราเรียกสิ่งนี้ว่า ‘Splinternet‘ คือการที่รัฐหนึ่งๆ ตัดขาดสังคมออนไลน์ของตัวเองออกจากสังคมออนไลน์โลกที่ไร้พรมแดน และแยกมาใช้ระบบของตัวเอง โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการไหลเวียนข้อมูลในรัฐนั้นๆ สำหรับผม พม่าเป็นตัวอย่างของประเทศที่มีเสรีภาพทางดิจิทัลย่ำแย่ที่สุดและเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของการเป็นเผด็จการดิจิทัล

“ดังนั้น นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของพม่าเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาในระดับโลก สิ่งที่เกิดขึ้นในพม่าอาจเป็นคู่มือให้รัฐเผด็จการอื่นทำตามต่อไป เราเห็นแล้วว่าบางประเทศในภูมิภาคกำลังเคลื่อนตัวไปในทิศทางนี้แล้ว ถ้าสังคมอินเทอร์เน็ตถูกแยกขาดเป็นส่วนๆ มากขึ้น นั่นจะนำไปสู่การละเมิดสิทธิฯ ขนานใหญ่เมื่อไม่มีชุมชนโลกคอยสอดส่อง ขณะเดียวกัน หากเราถอดบทเรียนจากการกดปราบทางดิจิทัลในพม่าได้ เราก็สามารถป้องกันเผด็จการดิจิทัลในอนาคตได้ ผมมีความหวังกับคนรุ่นใหม่มากๆ ผมเห็นสปิริตที่ไม่ยอมจำนนต่ออำนาจนิยมและเผด็จการของพวกเขา คนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในการปกป้องการเชื่อมต่อที่ไร้รอยต่อบนโลกอินเทอร์เน็ต” แบรดลีย์กล่าวทิ้งท้าย

ในโลกที่อินเทอร์เน็ตทำให้พรมแดนรัฐชาติพังทลาย ประชาชนขยับเข้าใกล้ความเป็นพลเมืองโลกจากการปะทะสังสรรค์บนพื้นที่ออนไลน์มากขึ้น การปกป้องไว้ซึ่งการเชื่อมต่อนับเป็นสิ่งสำคัญในการธำรงรักษาพื้นที่การปฏิสัมพันธ์เช่นนี้ไว้ ขณะเดียวกันอินเทอร์เน็ตก็เป็นพื้นที่เปิดโปงความโหดร้ายที่รัฐไม่อยากให้เล็ดลอดออกนอกพรมแดนได้เช่นกัน กรณีของพม่าทำให้เราเห็นความสำคัญของโซเชียลมีเดียในด้านการเผยแพร่อาชญากรรมที่ก่อโดยกองทัพ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่จะเอาผิดอาชญากรเหล่านี้ได้ในอนาคต

ท่ามกลางความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมมากมาย การให้ความช่วยเหลือในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยให้ประชาชนพม่าเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ก็ควรถูกสนับสนุนไปไม่น้อยกว่ากัน เพราะการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตจะทำให้ประชาชนมีชีวิตรอดในสภาวะสงครามได้และทำให้กองทัพปิดบังความผิดของตนในโลกนี้ได้ยากขึ้น ยังไม่สายเกินไปที่ประชาคมโลกจะหันมาสนใจผลักดันเรื่องนี้มากขึ้น

อ้างอิง

Chowdhury, M. (2008). The role of the internet in Burma’s Saffron Revolution. SSRN Electronic Journal. https://doi.org/10.2139/ssrn.1537703


หมายเหตุ: ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างสื่อมวลชนหญิงในไทย พม่า และอินเดีย จัดโดย Borders & Broader Conversations Initiative

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save