“มันสะเทือนใจมาก เพราะเพื่อนๆ ของเราไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเลย แต่ทำเพื่อส่วนรวมทั้งหมด พวกเขาแค่อยากเรียกร้องให้ประชาชนและคนรุ่นต่อๆ ไปได้มีสิ่งแวดล้อมที่ดี และมีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นเรื่องสิ่งแวดล้อมต่อรัฐบาล แต่รัฐบาลกลับไม่เคยฟังเลย และที่สะเทือนใจที่สุดคือเขาเอาตำรวจมาจับกุมเพื่อนๆ เราแบบค่อนข้างรุนแรงและตั้งข้อหาที่รุนแรง ทั้งที่เพื่อนเราไม่ได้มีพละกำลังที่จะต่อสู้อะไร มีแค่เพียงความคิดที่จะปกป้องประเทศเท่านั้น”
ลิซ่า มีน (Lisa Mean) นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมชาวกัมพูชาในวัย 22 ปี แห่งขบวนการ Mother Nature Cambodia เล่าความรู้สึกให้เราฟังถึงเหตุการณ์ในวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อศาลกัมพูชาพิพากษาจำคุกนักเคลื่อนไหว 10 คนของขบวนการดังกล่าว โดยมีเจ็ดนักกิจกรรมที่ได้รับโทษจำคุก 6 ปี ด้วยข้อหา ‘สมคบวางแผนต่อต้านรัฐบาล’ ตามกฎหมายอาญามาตรา 453 ขณะที่อีกสามคนที่เหลือได้รับโทษ 8 ปี เพราะถูกพิพากษาอีกข้อหาหนึ่งเพิ่มเติม นั่นคือข้อหา ‘หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ’ ตามกฎหมายอาญามาตรา 437
กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของกัมพูชานั้นกำหนดโทษจำคุกไว้ที่ระหว่าง 1-5 ปี พร้อมด้วยค่าปรับ 2-10 ล้านเรียล (ประมาณ 17,000-88,000 บาท) โดยให้อำนาจอัยการสามารถยื่นฟ้องคดีในนามของสถาบันกษัตริย์ต่อผู้ต้องสงสัยได้ อันที่จริงข้อกฎหมายดังกล่าวเพิ่งถูกบังคับใช้ในปี 2018 เท่านั้น หลังผ่านการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร แต่กฎหมายดังกล่าวไม่ได้มีการลงพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี ซึ่งอยู่ระหว่างการเสด็จเยือนต่างประเทศในขณะนั้น ท่ามกลางการคาดเดาว่าพระองค์อาจทรงไม่เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าว ทำให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามประกาศใช้กฎหมายเองตามอำนาจในรัฐธรรมนูญ
กฎหมายดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการปราบปรามและปิดปากคนเห็นต่าง โดยนับตั้งแต่มีการบังคับใช้กฎหมาย ก็มีการฟ้องข้อหาและพิพากษาความผิดในคดีดังกล่าวขึ้นเป็นระยะ ซึ่งผู้ถูกดำเนินคดีล้วนเป็นนักการเมืองหรือนักเคลื่อนไหวฝั่งตรงข้ามรัฐบาล รวมถึงล่าสุดที่เหล่านักเคลื่อนไหวของ Mother Nature Cambodia ต้องเผชิญข้อหานี้

ภาพจาก: TANG CHHIN SOTHY / AFP
ลิซ่าให้ข้อมูลกับเราว่า สาเหตุของการตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของสามนักเคลื่อนไหว มาจากคลิปวิดีโอการประชุมออนไลน์ของทั้งสามในช่วงเดือนพฤษภาคม 2021 ที่หลุดออกมาทางสื่อสังคมออนไลน์และถึงมือของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งในคลิปดังกล่าวมีการพูดคุยถึงการ์ตูนการเมืองที่เป็นการวิพากษ์ถึงพระราชสถานะของกษัตริย์สีหมุนี เทียบกับอำนาจของนายกรัฐมนตรี สมเด็จฮุน เซน ในขณะนั้น ซึ่งลิซ่าบอกว่าเนื้อหาการพูดคุยล้วนเป็นข้อเท็จจริง โดยไม่ได้มีส่วนไหนที่เป็นการหมิ่นประมาท อย่างไรก็ตามศาลกลับไม่ได้ให้รายละเอียดเรื่องนี้ในคำพิพากษาไว้อย่างชัดเจน
ลิซ่าและกลุ่ม Mother Nature Cambodia ยังตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ปกติของกระบวนการตัดสินของศาลกัมพูชาในครั้งนี้ โดยลิซ่าบอกว่า “ศาลใช้เวลาในการพิจารณาคดีแค่หนึ่งเดือนก็ตัดสินแล้ว ซึ่งแปลกมาก ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ และศาลก็ยังไม่เปิดโอกาสให้เพื่อนๆ เราได้โต้แย้งหรือแสดงหลักฐานอะไรจากฝั่งเราเอง มีแต่การแสดงหลักฐานจากฝั่งตำรวจที่พยายามชี้ว่าพวกเขาทำผิด”
นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่าการซักถามนักกิจกรรมในศาลดูไม่ค่อยเกี่ยวกับประเด็นการสมคบต่อต้านรัฐบาลและการหมิ่นกษัตริย์นัก แต่ดูจะให้น้ำหนักที่แหล่งทุนขององค์กรในเชิงว่าได้รับการหนุนหลังจากต่างชาติ อีกทั้งยังไม่เปิดให้สื่อมวลชนและสาธารณชนเข้าฟังการไต่สวน
หลังการออกคำพิพากษา นักเคลื่อนไหวสี่คนที่เข้าฟังคำตัดสิน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมทันทีที่หน้าศาล โดยล้อมฉุดกระชากขึ้นรถอย่างรุนแรง ต่อหน้ากลุ่มผู้สนับสนุนที่เดินทางไปให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก ขณะที่นักกิจกรรมอีกหนึ่งคนถูกจับกุมที่หน้าบ้านของตัวเองก่อนมีคำพิพากษา และอีกห้าคนที่เหลือไม่ได้มาปรากฏตัวฟังคำสั่งศาล
อย่างไรก็ตาม ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นเพียงส่วนหนึ่งของคำตัดสินเท่านั้น โดยข้อกล่าวหาหลักๆ ที่นักเคลื่อนไหวทั้งสิบของกลุ่มเผชิญก็คือการสมคบวางแผนต่อต้านรัฐบาล อันมีสาเหตุจากการทำกิจกรรมเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมาในหลายกรณี เช่น การบันทึกหลักฐานการปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำโตนเลสาบ บริเวณใกล้กับพระบรมมหาราชวังในกรุงพนมเปญ ในเดือนมิถุนายน 2021 และการวางแผนเดินขบวนอย่างสันติไปที่บ้านของฮุน เซน เพื่อเรียกร้องให้หยุดสร้างโครงการที่อาจทำลายสิ่งแวดล้อมในทะเลสาป Boeung Tamok ในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน

ภาพจาก: TANG CHHIN SOTHY / AFP
นักเคลื่อนไหวของกลุ่ม Mother Nature Cambodia ไม่ได้เพิ่งได้รับโทษทางกฎหมายในครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาต้องเผชิญข้อหาและถูกจับกุมมาแล้วหลายครั้งจากการออกมารณรงค์ถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมในประเทศพวกเขาเอง จนทำให้หลายคนอาจแปลกใจว่าเพราะเหตุใดการแสดงออกถึงความหวังดีในการปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อมของพวกเขาถึงได้ถูกกดปราบอย่างหนักหน่วงจากทางการกัมพูชา
“มันเป็นเพราะสิ่งที่เราทำไปขัดผลประโยชน์ของรัฐบาลและพวกพ้อง และสอง เป็นเพราะเราถือเป็นขบวนการเคลื่อนไหวหนึ่งเดียวที่มีคนรุ่นใหม่มาเข้าร่วมเยอะที่สุด และเป็นกลุ่มที่เดินหน้าเปิดโปงอาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมของรัฐอย่างจริงจัง กล้าพูดได้เลยว่าเราเป็นขบวนการเดียวในกัมพูชาตอนนี้ที่หาญกล้าลุกขึ้นมาเผชิญหน้ารัฐบาล นี่คือสองเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลปล่อยเราไว้ไม่ได้” ตัวแทนของกลุ่มอย่างลิซ่า ผู้ไม่ได้ถูกตั้งข้อหาและจับกุมในครั้งนี้ ให้คำตอบกับเรา ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธว่าไม่ได้มีแรงจูงใจทางการเมืองใดๆ ในการจับกุม
แรงบันดาลใจคนหนุ่มสาว / ก้างขวางคอผู้มีอำนาจ
ภายใต้ยุคสมัยของฮุน เซน (1985-2023) รัฐบาลของกัมพูชาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องว่ามีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างมหาศาลเพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการลงทุน โดยมีการมอบสัมปทานและเปิดโอกาสให้กลุ่มพรรคพวกและบรรดานายทุนเข้าไปดำเนินโครงการต่างๆ ซึ่งเป็นการไปตักตวงแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ จนสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังไปเบียดเบียนชาวบ้านที่อาศัยทำกินอยู่ในพื้นที่ต่างๆ โดยที่ผ่านมายังมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่บ่งชี้ถึงการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติในกัมพูชาอย่างมหาศาล เช่น ในรายงานของ Citizens Engaged in Environmental Justice for All (2022) ที่ชี้ว่ากัมพูชาคือประเทศที่มีการตัดไม้ทำลายป่าสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก ขณะที่ทางฝั่งฮุน เซน และรัฐบาลกัมพูชา มักออกมาปฏิเสธข้อวิจารณ์เหล่านี้ และยกเหตุผลถึงความจำเป็นในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
ความเสียหายของสิ่งแวดล้อมในกัมพูชาที่เห็นผลกระทบต่อประชาชนได้อย่างชัดเจนนี้เองทำให้ กลุ่ม Mother Nature Cambodia ถือกำเนิดขึ้นในปี 2012 โดยมีผู้ก่อตั้งหลักคือชาวสเปนที่ชื่อ อเลคานโดร กอนซาเลส ดาวิดสัน (Alejandro Gonzalez-Davidson; คือหนึ่งในสามของผู้ถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยปัจจุบันเขาไม่ได้อาศัยอยู่ในกัมพูชาเนื่องจากถูกทางการเนรเทศเมื่อปี 2015 หลังถูกปฏิเสธการต่อวีซ่า) เพื่อเป็นแหล่งรวมหนุ่มสาวกัมพูชารุ่นใหม่ที่มีความมุ่งมั่นอยากร่วมปกปักรักษาสิ่งแวดล้อมในประเทศตัวเอง



ภาพกิจกรรมการเคลื่อนไหวต่างๆ ของกลุ่ม Mother Nature
ภาพจาก: Facebook – Mother Nature Cambodia
ที่ผ่านมา Mother Nature Cambodia ออกมาเคลื่อนไหวรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแข็งขัน ไม่ว่าจะในแง่การให้ข้อมูลความรู้ต่อประชาชน การทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในหมู่ชาวบ้าน รวมไปถึงการเปิดโปงและการออกมาเคลื่อนไหวประท้วงต่อต้านความไม่ชอบมาพากลของรัฐและกลุ่มทุนที่ส่อว่าจะทำลายสิ่งแวดล้อม โดย Mother Nature Cambodia โดดเด่นมากในเรื่องการใช้ความคิดสร้างสรรค์และสื่อสังคมออนไลน์มาเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวจนกลายเป็นไวรัลในหลายครั้ง และทำให้พวกเขากลายเป็นแรงบันดาลใจแก่คนหนุ่มสาวจำนวนมากในกัมพูชา รวมถึงลิซ่า ที่ท้ายสุดเธอก็ตัดสินใจเข้าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการนี้
“ตั้งแต่ที่หนูเรียนมัธยม หนูมองพวกเขาเป็นไอดอลเลยนะ เพราะพวกเขามีความกล้าหาญที่จะลุกขึ้นมาส่งเสียงเรียกร้องสิทธิให้กับประชาชนและต่อสู้กับรัฐบาล ซึ่งเราไม่เห็นว่าในกัมพูชาจะมีกลุ่มเยาวชนไหนที่จะกล้าได้มากขนาดนี้ และ Mother Nature Cambodia ยังทำให้เราได้เห็นว่ามีคุณลุงคุณป้าบนป่าเขาที่มีอายุพยายามต่อสู้เพื่อปกป้องธรรมชาติให้กับลูกหลาน แล้วต้องเสี่ยงกับอันตรายหลายอย่างในการต่อสู้ มันเลยทำให้หนูหันมาย้อนมองตัวเองว่าจริงๆ เราก็ยังเป็นคนรุ่นใหม่ที่มียังมีพลังอยู่เต็มเปี่ยม มีความสามารถที่จะออกมาปกป้องสิ่งแวดล้อมได้ แต่ทำไมเราถึงไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นคือจุดเริ่มต้นที่หนูเริ่มออกมาเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม โดยทำงานกับองค์กรอื่นก่อน และค่อยมาเข้าร่วมกับ Mother Nature Cambodia ในที่สุด” ลิซ่าเล่า
ลิซ่าเข้ามาเป็นสมาชิกของ Mother Nature Cambodia ในปี 2022 โดยปัจจุบัน เธอทำหน้าที่ผู้ประสานงานโครงการ (project coordinator) ของแคมเปญ Save Koh Kong Island หรือปกป้องเกาะกง ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชา โดยเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดเกาะกง ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ใกล้กับแนวชายแดนไทยที่จังหวัดตราด
“แคมเปญนี้เริ่มขึ้นมาในปี 2019 โดยเราได้รู้มาว่ารัฐมีการขายสัมปทานพื้นที่ที่มีสิ่งแวดล้อมสมบูรณ์ให้กับบริษัทเอกชน (L.Y.P Group) ของลี ยงพัด (Ly Yong Phat) สมาชิกวุฒิสภาสังกัดพรรค CPP (พรรคประชาชนกัมพูชา ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลที่ครองอำนาจมายาวนาน) มานานแล้ว แต่ไม่มีการประกาศสู่สาธารณชน ทำให้ประชาชนไม่รู้เรื่อง” ลิซ่าเล่า
เรื่องการขายสัมปทานพื้นที่บนเกาะกงแก่บริษัทดังกล่าวยังคงคลุมเครือ โดยทางฝั่ง Mother Nature Cambodia ได้อ้างถึงเอกสารราชการที่กลุ่มสามารถขุดคุ้ยมาได้ ซึ่งเอกสารดังกล่าวแสดงข้อมูลว่า มีบริษัทเอกชนจำนวนหนึ่งซึ่งรวมถึง L.Y.P Group ได้ยื่นขอสัมปทานพื้นที่บนเกาะเพื่อสร้างโรงแรมหรูและสถานบันเทิง ตั้งแต่ช่วงราวปลายปี 2015 ขณะที่ทางการกัมพูชาออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้มีการขายพื้นที่แต่อย่างใด ทำให้สถานะของเกาะกงยังคงไม่ชัดเจนว่าอยู่ในการครอบครองของใคร
อย่างไรก็ดี Mother Nature Cambodia ก็ได้เดินหน้าเคลื่อนไหวปกป้องเกาะกงหลายรูปแบบ รวมทั้งพยายามสร้างความตระหนักรู้ถึงเกาะดังกล่าว ว่ามีความสวยงามและมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ควรค่าแก่การได้รับการปกป้องมากขนาดไหน
“ในปี 2020 เราจัดกิจกรรมปั่นจักรยานจากเกาะกงเพื่อยื่นคำร้องต่อนายกฯ (ฮุน เซน) แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ขัดขวางขบวนของเรา โดยอ้างเรื่องโควิด-19 แต่นั่นทำให้แคมเปญของเรากลายเป็นไวรัลขึ้นมา และประชาชนก็รับรู้เรื่องนี้กันเยอะ จนคนพากันไปเที่ยวเยอะมาก และมีอินฟลูเอนเซอร์พากันไปโปรโมตที่นี่เยอะ ทำให้ชาวบ้านมีรายได้กันมากขึ้น” ลิซ่าเล่า
คลิปจาก Youtube – Mother Nature Cambodia
ลิซ่าเล่าต่อไปว่า กระแสที่เกิดขึ้นยังทำให้รัฐบาลกัมพูชาออกมารับปากว่าเกาะกงจะได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเล ซึ่งก็ถือเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องของ Mother Nature Cambodia แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีประกาศดังกล่าวเกิดขึ้น
นอกจากแคมเปญนี้แล้ว ลิซ่าบอกว่า Mother Nature Cambodia ยังประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อนอีกหลายประเด็น เช่น การรณรงค์ให้ยกเลิกโครงการสร้างเขื่อนพลังงานน้ำของจีนที่หุบเขาอาเร็ง (Areng Valley) ในจังหวัดเกาะกง จนทำให้โครงการถูกยุติลงในที่สุด และการต่อต้านโครงการทำเหมืองทรายตามแนวชายหาดของเกาะกงเพื่อส่งออก จนส่งผลให้ต้องยกเลิกโครงการไปเช่นกัน
ความหาญกล้าของ Mother Nature Cambodia ยังทำให้พวกเขาได้รับรางวัล Right Livelihood Award หรือที่มักเรียกว่าเป็นรางวัลโนเบลทางเลือก (Alternative Nobel) ในประเทศสวีเดน ประจำปี 2023 โดยคณะกรรมการให้เหตุผลในการให้รางวัลว่าเป็นเพราะ “การเคลื่อนไหวอย่างไม่เกรงกลัวและมีส่วนร่วมเพื่อปกปักรักษาสิ่งแวดล้อมของชาติ ท่ามกลางบริบทของประชาธิปไตยที่ถูกจำกัดอย่างเข้มข้น”
แต่รางวัลระดับนานาชาติก็ไม่อาจเป็นเกราะป้องกันให้พวกเขา เพราะการเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นตามมาด้วยการที่สมาชิกต้องถูกจับกุมและดำเนินคดีอยู่บ่อยครั้งด้วยหลายข้อหา แม้เมื่อเดือนสิงหาคม 2023 กัมพูชาจะเปลี่ยนผ่านเก้าอี้นายกฯ สู่ ฮุน มาเน็ต ซึ่งเป็นบุตรชายของฮุน เซนแล้ว แต่ Mother Nature Cambodia ก็ยังคงถูกเล่นงานทางกฎหมายเช่นเดิม ซึ่ง Mother Nature Cambodia มองว่าเป็นเหตุผลทางการเมืองเพื่อกดดันให้พวกเขายุติการเคลื่อนไหว
“จากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเราทำ ทำให้รัฐบาลกำลังพยายามบีบให้กลุ่มของเราต้องตายลงไป ด้วยการยัดข้อหาให้เราเป็นคนผิด และยังกล่าวหาเราถึงขั้นว่าเราเป็นพวกพยายามล้มล้างรัฐบาล เป็นหุ่นเชิดของต่างชาติ ทำให้ประเทศเสียชื่อเสียง ทั้งที่เราไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นเลย” ลิซ่ากล่าว
“แต่พวกเขาก็กล้าหาญที่สุด เพราะพวกเขาไม่เคยหนีไปไหน มีหลายคนเคยแนะนำให้พวกเขาลี้ภัยไปนอกประเทศ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมไป เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าพวกเขาออกไปแล้ว จะไม่เหลือใครที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ในกัมพูชา และออกมาเคลื่อนไหวแบบนี้อีก” ลิซ่ากล่าวต่อ

ภาพจาก: Facebook – Mother Nature Cambodia
“ร้องไห้ได้ แต่ต้องไปต่อ”
การสานต่อพลังต่อสู้ และแรงบันดาลใจจากไทย
ลิซ่าเองยังไม่เคยถูกตั้งข้อหาทางกฎหมายเหมือนกับเพื่อนๆ หลายคนในกลุ่ม แต่เธอเล่าว่าก็เคยถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่อยู่บ้างเหมือนกัน
“เมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา หนูกับเพื่อนๆ ถูกควบคุมตัวไปสถานีตำรวจและกักตัวอยู่อย่างนั้นมากกว่าแปดชั่วโมง หลังจากที่เราทำแคมเปญที่เกาะกง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าเราไม่ได้ขออนุญาตก่อน” ลิซ่าเล่า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เธอเผชิญยังอาจเรียกได้ว่าน้อยนิดเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ของเธอที่ต้องถูกดำเนินคดีและจำคุกเป็นเวลาหลายปีเช่นที่เกิดขึ้นล่าสุด แม้การจับกุมเพื่อนๆ ในกลุ่มเดียวกันเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาจะทำให้ลิซ่ารู้สึกสลดใจ แต่เธอยืนยันว่าเธอยังไม่หมดกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
“เรารู้ว่าทั้งห้าคน (ที่ถูกคุมขังในเรือนจำ) อยากให้เราสู้ต่อ ถ้าเขารับรู้ว่าเราจะสานงานต่อจากเขา เชื่อว่าเขาจะดีใจมาก เพราะฉะนั้นถึงวันนี้เราจะร้องไห้ แต่เราก็ต้องไปต่อให้ได้ และพวกเราที่ยังอยู่ก็ยังแข็งแกร่งกันมาก ไม่มีใครหมดแรงบันดาลใจ ทุกคนต่างรู้ว่าตัวเองจะต้องทำอะไรต่อ” ลิซ่าบอก
นอกจากจะขับเคลื่อนภารกิจของ Mother Nature Cambodia ต่อไปแล้ว ลิซ่าบอกว่าเธอจะต้องต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้เพื่อนๆ ทั้งหมดที่ถูกคุมขังด้วย
“เราจะทำแคมเปญเรียกร้องให้ปล่อยเพื่อนเราทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งเราจะพยายามเผยแพร่เรื่องนี้ให้องค์กรระดับนานาชาติต่างๆ ได้รับรู้ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น และพวกเขาจะช่วยเราได้อย่างไร” ลิซ่ากล่าว
ข่าวการดำเนินคดีและจับกุมนักเคลื่อนไหวของ Mother Nature Cambodia เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ได้เป็นที่รับรู้มาถึงในประเทศไทย ซึ่งลิซ่าก็ฝากบอกถึงคนไทยว่า “ขอบคุณคนไทย สื่อไทย และนักเคลื่อนไหวในไทยหลายๆ คน ที่ช่วยกันเผยแพร่ข่าวให้เรื่องนี้ได้เป็นที่รับรู้ในประเทศไทย”
ที่ผ่านมา ลิซ่าและเพื่อนๆ นักเคลื่อนไหวของ Mother Nature Cambodia ยังได้ติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในไทยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังเคยจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนักเคลื่อนไหวของไทย ทั้งในกรณีการอดอาหารของ ตะวัน-ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ แบม-อรวรรณ ภู่พงษ์ ในปี 2023 รวมถึงกรณีวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกอุ้มหายในกัมพูชาเมื่อปี 2020 ซึ่งก็สะท้อนว่าแม้ Mother Nature Cambodia จะเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก แต่ก็ให้ความสำคัญกับการเรียกร้องด้านสิทธิมนุษยชนเช่นกัน


การชุมนุมของ Mother Nature Cambodia ในกัมพูชา เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตะวัน-แบม (ซ้าย) และ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ (ขวา)
ภาพจาก: Facebook – Mother Nature Cambodia
“เราอยากจะปลูกฝังให้ทุกคนมีจิตสำนึกว่า ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนชาติใดล้วนมีสิทธิเสมอภาคและควรได้รับความยุติธรรม โดยไม่แบ่งแยก” ลิซ่ากล่าว
ลิซ่าบอกด้วยว่า การติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในประเทศไทยยังเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของ Mother Nature Cambodia ในการต่อสู้ในกัมพูชาด้วย
“เราเห็นนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ของไทยมีความกล้าหาญมาก ถึงจะโดนคดีเยอะแยะ แต่ก็ยังสู้ และเราก็เห็นว่าเยาวชนของไทยมีความตื่นตัวออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองกันสูงมาก แต่ที่กัมพูชา คนรุ่นใหม่ยังไม่ค่อยกล้าออกมาเคลื่อนไหวกันนัก ด้วยเหตุผลหลายอย่าง โดยเฉพาะระบบการเมืองและแรงกดดันจากรัฐบาล ทำให้พวกเขากลัวที่จะออกมาต่อต้านรัฐบาล พอเราได้เห็นเยาวชนไทยกล้าออกมาส่งเสียงกันเยอะ เราก็เอามาเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของเรา” ลิซ่ากล่าว