คลิกอ่านตอนที่ 1 สภาวะยกเว้นทางเศรษฐกิจ: อภิสิทธิ์เหนือการตรวจสอบของกองทัพ
คลิกอ่านตอนที่ 2 กรณีกองทัพบก ททบ. (ช่อง 5) และบริษัท RTA: อภิสิทธิ์เหนือการตรวจสอบ
คลิกอ่านตอนที่ 3 ธุรกิจเพื่อสวัสดิการของกองทัพ ประชาชนได้อะไร?
คลิกอ่านตอนที่ 4 ที่ดินของชาติในมือของกองทัพ
ในบทความตอนที่ 4 ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าอำนาจทางการเมืองของกองทัพทำให้กองทัพสามารถครอบครองที่ดินขนาดใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ การครอบครองที่ดินกลายเป็นโอกาสที่ทำให้กองทัพสามารถสร้างธุรกิจสารพัดชนิดบนพื้นที่ของตนเองตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญอะไร หลายธุรกิจกองทัพแค่ทำหน้าที่เก็บค่าสัมปทานหรือกำไรจากธุรกิจหรือโครงการของรัฐที่เกิดขึ้นบนที่ดินที่กองทัพครอบครองอยู่ เช่น ธุรกิจสนามกอล์ฟ การให้เอกชนเช่าที่ดินทำร้านสะดวกซื้อและสถานีบริการน้ำมัน โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และสนามบินอู่ตะเภา เป็นต้น
บนผลประโยชน์มหาศาลของกองทัพ มีประชาชนจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบจากการครอบครองที่ดินของกองทัพ ฉะนั้น บทความชิ้นนี้จะนำเสนอข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชาชนที่มีปัญหาข้อพิพาทกับกองทัพ
ข้อพิพาทที่ดินกับกองทัพทั่วประเทศ
ที่ดินของรัฐหรือที่ราชพัสดุทั่วประเทศมีประมาณ 12.727 ล้านไร่ กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานที่ครอบครองที่ดินราชพัสดุมากที่สุด คือราว 6.25 ล้านไร่[1] ตัวเลขนี้ไม่รวมที่ดินประเภทอื่น เช่น ป่าสงวน ป่าไม้ ที่ทรงสงวนของกองทัพเรือ ฯลฯ ที่กองทัพครอบครองไว้อีกจำนวนมาก จึงทำให้กองทัพเป็นหน่วยงานรัฐที่ครอบครองที่ดินของชาติมากที่สุดและมีปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดินกับประชาชนมากที่สุดด้วย
จากการศึกษาของอภิชา นันทนิรันดร์ ได้จำแนกพื้นที่ในความครอบครองของหน่วยงานหลักในกระทรวงกลาโหมและพื้นที่ที่มีปัญหากับประชาชนที่เข้าไปใช้ที่ดินในความครอบครองของกองทัพ โดยผู้เขียนนำมาจัดใส่ตาราง ดังนี้
หน่วยงาน | 1. ที่ราชพัสดุ | 2. ที่ขอใช้/เช่าจากส่วนราชการอื่น | รวม (1+2) | พื้นที่พิพาทกับประชาชน |
สำนักปลัด ก.กลาโหม | 10,795 | 71 | 10,866 | – |
กองบัญชาการกองทัพไทย | 60,125 | 30,355 | 90,480 | 1,457 |
กองทัพบก | 3,861,531 | 603,357 | 4,464,888 | 1,503,714 |
กองทัพเรือ | 166,294 | 107,415 | 273,709 | 15,835 |
กองทัพอากาศ | 188,118 | 41,574 | 229,692 | – |
จากตารางข้างต้น จะเห็นว่ากองทัพบกเป็นหน่วยงานที่ครอบครองที่ดินมากที่สุด จึงมีพื้นที่พิพาทกับประชาชนมากที่สุด โดยอยู่ในพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 1 (ภาคกลาง) 1,312,629 ไร่, พื้นที่ของกองทัพภาคที่ 2 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) 78,761 ไร่, พื้นที่ของกองทัพภาคที่ 3 (ภาคเหนือ) 111,094 ไร่ และพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 4 (ภาคใต้) 1,230 ไร่[2]
ปัญหาทางกฎหมาย
กองทัพเรียกข้อพิพาทเรื่องที่ดินกับประชาชนว่าเป็น ‘การบุกรุกที่ดิน’ และเรียกคู่พิพาทว่า ‘ผู้บุกรุก’ เพราะกองทัพเชื่อว่าตนเป็นผู้ครอบครองที่ดินเหล่านี้ก่อนที่ประชาชนเหล่านั้นจะเข้ามาจับจองที่ดิน และกองทัพมีเอกสิทธิ์ทางกฎหมายจากรัฐบาลอย่างถูกต้องชอบธรรม แต่ในความเป็นจริงประชาชนจำนวนมากต่อสู้ว่าตนอยู่ในพื้นที่เหล่านั้นมาก่อนที่จะมีการประกาศให้ที่ดินเหล่านั้นเป็นเขตของทหารหรือพื้นที่อนุรักษ์ (พื้นที่ของกองทัพจำนวนมากเป็นพื้นที่ป่าสงวนและอนุรักษ์) พวกเขาสามารถพิสูจน์สิทธิได้และมีหลายกรณีที่กรมที่ดินได้ออกเอกสารสิทธิ์ให้ประชาชนไปแล้วด้วย
อันที่จริงรัฐบาลในอดีตพยายามแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดินของรัฐกับประชาชนและต้องการผลักดันให้การใช้ที่ดินของรัฐมีประสิทธิภาพ แต่กลับไม่สามารถบังคับใช้ให้กองทัพปฏิบัติตามนโยบายของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือนับตั้งแต่ปี 2518 รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุที่กำหนดให้ที่ดินของรัฐหรือที่ราชพัสดุทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ต่อมาเมื่อปัญหาข้อพิพาทกับประชาชนขยายตัวมากขึ้น ในปี 2545 ได้มีการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ โดยมีคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐระดับจังหวัด (กบร.จังหวัด) เพื่อทำหน้าที่พิสูจน์สิทธิในที่ดินของราษฎรเพื่อหาข้อยุติ และเพื่อหาทางใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ กระบวนการพิสูจน์สิทธิของประชาชนที่ถูกกล่าวหาว่าบุกรุกที่ดินของกองทัพโดย กบร.จังหวัดมีความคืบหน้าน้อยมาก แม้ว่าปัจจุบันจะมีพระราชบัญญัติคณะกรรมการที่ดินนโยบายแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มีการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ขึ้นมาทำหน้าที่แทน กบร.จังหวัด แต่กระบวนการพิสูจน์สิทธิของประชาชนก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า
นอกจากนี้ พ.ร.บ.คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 กำหนดว่าพื้นที่ที่หน่วยราชการนั้นไม่ได้ใช้ ให้เร่งรัดสำรวจและรวบรวมจำนวนที่ดินที่หน่วยราชการนั้นไม่ได้ใช้เพื่อส่งคืนกรมธนารักษ์ เพื่อที่รัฐบาลจะได้นำไปสนับสนุนการกระจายที่ดินให้กับประชาชนต่อไป แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีการดำเนินการคืนที่ดินให้กับกรมธนารักษ์ ทั้งๆ ที่พื้นที่ที่กองทัพบกพิพาทกับชาวบ้านเป็นที่ราชพัสดุ หลายพื้นที่เป็นที่ดินรกร้าง ไม่มีหน่วยงานทหารตั้งอยู่ หรือมีไว้สำหรับการฝึกเท่านั้น ไม่มีการจัดทำแนวขอบเขตที่แน่นอน[3]
กรณีหนองวัวซอของกองทัพบก
หลังจากพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐบาลเผชิญเสียงเรียกร้องให้ทำตามนโยบายที่ได้เคยหาเสียงเลือกตั้งไว้ว่าจะปฏิรูปกองทัพ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือให้ยุบเลิกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) แต่นายเศรษฐาก็ตอบโต้อย่างทันควันว่าตนไม่มีนโยบายปฏิรูปกองทัพและยุบเลิก กอ.รมน. แต่รัฐบาลและกองทัพจะพัฒนาไปด้วยกัน
ต่อมาในวันที่ 31 ตุลาคม 2566 นายเศรษฐา พร้อมด้วยตัวแทนจากกองทัพบกและ กอ.รมน. ได้จัดแถลงข่าว ณ ที่ทำการของ กอ.รมน. เปิดตัว ‘โครงการหนองวัวซอโมเดล’ โดยระบุว่ากองทัพจะนำที่ดิน 9,276 ไร่ ‘มอบให้ถึงมือประชาชน’ ภายในวันที่ 25 ธันวาคม 2566 และหากทำสำเร็จจะกลายเป็นโมเดลสำหรับพื้นที่อื่นๆ ของกองทัพต่อไป[4]
คงไม่ผิดนักที่จะบอกว่า โครงการนี้กำเนิดขึ้นเพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลไม่จำเป็นต้องมีนโยบายปฏิรูปกองทัพก็สามารถผลักดันให้กองทัพปรับตัวทีละเล็กละน้อยและมีนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประชาชนได้ แต่โครงการนี้แก้ปัญหาที่ดินของชาวบ้านได้จริงหรือไม่ หรือเป็นการแก้ปัญหาแบบผักชีโรยหน้าเท่านั้น
อำเภอหนองวัวซอ ตั้งอยู่ในจังหวัดอุดรธานี เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านมีปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดินกับกองทัพบกมานานแล้ว ทั้งนี้ ที่ดินจำนวน 39,235 ไร่ในเขตอำเภอหนองวัวซออยู่ในความครอบครองของกองทัพ มีชาวบ้านที่ถูกเรียกว่าเป็น ‘ผู้บุกรุก’ ถึง 1,458 ราย บนพื้นที่ 18,515 ไร่ ฉะนั้น ขนาดพื้นที่ 9,276 ไร่ที่กองทัพนำมาใช้ในหนองวัวซอโมเดล จึงเป็นเพียงร้อยละ 50 ของพื้นที่พิพาท หรือมีขนาดแค่ 1 ใน 4 ของที่ดินในของกองทัพบกในอำเภอหนองวัวซอ และมีขนาดแค่ร้อยละ 3.5 ของที่ดินทั้งหมดในอุดรธานีที่กองทัพยึดครองไว้[5] ฉะนั้น เพียงแค่เริ่มต้น ขนาดของที่ดินที่กองทัพจัดสรรให้จึงไม่มีทางเพียงพอจะแก้ไขปัญหาได้จริง
ปัญหาที่ยุ่งยากยิ่งกว่าก็คือ ในขณะที่กองทัพมองชาวบ้านที่อ้างสิทธิบนที่ดินว่าเป็น ‘ผู้บุกรุก’ แต่ในมุมมองของชาวบ้านจำนวนมาก พวกเขายืนยันว่าเข้ามาอยู่บนที่ดินก่อนที่จะมีการประกาศให้ที่ดินนั้นเป็นของรัฐ จำนวนมากมีหลักฐานใบ ส.ค.1 หรือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน และใบตราจอง แต่หนองวัวซอโมเดลกลับไม่มีกระบวนการพิสูจน์สิทธิใดๆ ดังปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นานได้มีการร้องเรียนของชาวบ้านมายังกรรมาธิการการที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ว่าเป็นการบังคับให้ชาวบ้านเช่าที่ดินทั้งๆ ที่มีหลักฐานว่าอยู่มาก่อน และไม่มีกระบวนการพิสูจน์สิทธิ[6] ฉะนั้น ที่รัฐบาลนายเศรษฐากล่าวว่าโครงการนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะนำที่ดินของรัฐในมือของกองทัพมากระจายสิทธิให้ประชาชนจึงน่ากังขาอย่างยิ่ง
หนองวัวซอโมเดลจึงเป็นตัวอย่างที่ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่าการครอบครองที่ดินขนาดมหาศาลของกองทัพคืออุปสรรคสำคัญของการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรายย่อย แต่ยังแสดงให้เห็นว่าเมื่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งขาดเจตจำนงและความกล้าหาญที่จะปฏิรูปกองทัพ พวกเขาจึงต้องเลือกวิธีการประนีประนอม แก้ปัญหาไม่ตรงจุด และใช้นโยบายผักชีโรยหน้าเพื่อมุ่งหาเสียงกับประชาชนเป็นสำคัญ
กรณีสัตหีบของกองทัพเรือ
ที่ดินในความครอบครองของกองทัพเรือที่จะกล่าวถึงนี้คือส่วนที่อยู่ในอำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี และบางส่วนในจังหวัดระยอง เป็นพื้นที่ที่มีประชาชนเข้าไปจับจองและมีข้อพิพาทกับกองทัพเรือจำนวนมาก
พื้นที่ของกองทัพเรือในภาคตะวันออกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ 1. เขตที่รัชกาลที่ 6 พระราชทานให้กองทัพเรือ และ 2. เขตปลอดภัยทหาร
ส่วนที่ 1 เขตพื้นที่ที่รัชกาลที่ 6 พระราชทานให้กับกองทัพเรือตั้งแต่ปี 2457 อยู่ในเขตอำเภอสัตหีบ มีขนาด 70,457 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ ต.นาจอมเทียน (บางส่วน) ต.บางเสร่ ต.สัตหีบ ต.พลูตาหลวง (บางส่วน) รวมถึงชายหาด ทะเล เกาะแก่งนอกชายฝั่งสัตหีบ กองทัพเรือยืนยันว่าพื้นที่นี้เป็นของตนเพราะรัชกาลที่ 6 พระราชทานให้ตามคำทูลขอของพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือ ‘เสด็จเตี่ย’ ของทหารเรือ กองทัพเรือเรียกที่ดินส่วนนี้ว่า ‘ที่ทรงสงวน’ ต่อมาในปี 2465 รัชกาลที่ 6 มีพระบรมราชโองการแบ่งที่ดินทรงสงวนออกเป็นสองส่วน (ดูภาพที่ 1 ประกอบ) คือ
1) เป็นส่วนที่หวงห้ามกรรมสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้ราษฎรเข้าไปจับจองทำมาหากิน กองทัพเรือเรียกส่วนนี้ว่า ‘เขตพระราชทาน’ มีเนื้อที่ 8,625 ไร่เศษ เป็นที่ตั้งของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และฐานทัพเรือสัตหีบ
2) เป็นส่วนที่ไม่หวงแต่ไม่ต้องการให้ต่างชาติมาจับจองหรือรับซื้อไปได้ แต่ราษฎรสามารถเข้าไปจับจองทำไร่นาและถากถางได้ตามสมควร โดยให้กองทัพเรือเป็นผู้มีอำนาจอนุญาต ส่วนนี้มีเนื้อที่ 61,832 ไร่ กองทัพเรือเรียกส่วนนี้ว่า ‘เขตทรงสงวน’ เช่นกัน (บ่อยครั้งกองทัพเรือก็ใช้คำว่า ‘เขตทรงสงวน’ ในความหมายที่รวมส่วนที่ 1 ไว้ด้วย)

ส่วนที่ 2 ‘เขตปลอดภัยในราชการทหาร’ ที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณเขตปลอดภัยในราชการทหารแห่งกองทัพเรือ พ.ศ. 2479 และฉบับแก้ไขปรับปรุง พ.ศ. 2536 ที่ครอบคลุมอำเภอบ้านค่าย อำเภอบ้านฉาง อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง และอำเภอบางละมุง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เขตปลอดภัยนี้มีขนาดใหญ่ถึง 144,150 ไร่เศษ นอกจากนี้ พื้นที่เกาะแก่งและชายฝั่งทะเลทั้งหมดที่อยู่ภายในเส้นประสีแดงก็ถือเป็นเขตปลอดภัยในราชการทหารด้วย (ดูภาพที่ 2 ประกอบ) อย่างไรก็ดี ที่ดินส่วนนี้ถือเป็นที่ราชพัสดุที่อยู่ในการกำกับดูแลของกรมธนารักษ์

การที่กองทัพเรือครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้ ในด้านหนึ่งทำให้กองทัพเรือสามารถแสวงหารายได้จากการเป็นเจ้าที่ดินได้อย่างง่ายดาย ด้วยพื้นที่ส่วนนี้ครอบคลุมเขตเมืองและที่อยู่อาศัยของประชาชน เต็มไปด้วยร้านค้า โรงแรม รีสอร์ต คอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า สวนน้ำ สนามบินอู่ตะเภา โครงการ EEC ฯลฯ อีกทั้งกองทัพเรือยังได้รับรายได้จากธุรกิจบางส่วนของตนในพื้นที่นี้ รวมทั้งรายได้จากการขายไฟฟ้าและน้ำให้กับประชาชน แต่ในอีกด้านหนึ่งทำให้ประชาชนสามารถตั้งคำถามกับคำว่า ‘เขตปลอดภัยในราชการทหาร’ ได้ด้วย กระนั้น เมื่อมีความพยายามของประชาชนที่เรียกร้องกรรมสิทธิ์เหนือที่ดิน หรือเมื่อมีการเรียกร้องให้กองทัพเรือคืนสัมปทานไฟฟ้าสัตหีบให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กองทัพเรือก็จะอ้างว่าไม่สามารถทำได้ เพราะเป็นพื้นที่ปลอดภัยด้านการทหารและเป็นพื้นที่ทรงสงวนที่ตนได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 6 โดยตรง
การครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้ทำให้กองทัพเรือมีปัญหาข้อพิพาทกับชาวบ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อยตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2530 มีประชาชนในตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบ ทำหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการการปกครอง สภาผู้แทนราษฎรว่า ได้รับความเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยและที่ทำกินเนื่องจากอยู่ในที่สงวนหวงห้ามของกองทัพเรือ เรื่องร้องเรียนนี้ถูกส่งเข้ามายังคณะกรรมการประสานการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐส่วนกลาง (กปร.ส่วนกลาง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ดังรายละเอียดต่อไปนี้[7]
ก่อนหน้าปี 2536 จังหวัดชลบุรีได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการครอบครองที่ดินของราษฎรที่ร้องเรียนแล้ว ปรากฏว่าประชาชนมีหลักฐาน ส.ค.1 ระบุว่าทำประโยชน์มาก่อนปี 2497 (ก่อนที่จะมีการออก พ.ร.ฎ.กำหนดบริเวณเขตปลอดภัยในราชการทหารแห่งกองทัพเรือ) จำนวน 10 ฉบับ มีผู้ครอบครอง 36 ราย ต่อมา กปร.ส่วนกลางได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวในปลายปี 2536 แล้วมีมติให้จัดให้ชาวบ้านอยู่อาศัยโดยวิธีการจัดให้เช่าตามหลักเกณฑ์ของมติ ครม. และตามระเบียบกระทรวงการคลัง แต่จะไม่ให้กรรมสิทธิ์กับราษฎร ทั้งๆ ที่ประชาชนมีหลักฐานว่าอยู่มาก่อน
ต่อมาราษฎรได้ร้องเรียนเพิ่มเติมว่า การที่กองทัพเรืออ้างว่าตนไม่เคยอนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปจับจองทำประโยชน์ในเขตทรงสงวนนั้น ในความเป็นจริงกองทัพเรือเคยอนุญาตให้ราษฎรทำประโยชน์มาแล้ว และยังปรากฏว่ามีราษฎรเข้าครอบครองอยู่อาศัยในเขตทรงสงวน และได้รับเอกสารสิทธิ์ในที่ดินจากสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาสัตหีบ เป็นเอกสาร น.ส.3 ก. 13,578 แปลง และออกโฉนดแล้วจำนวน 1,483 แปลง เอกสารสิทธิบางแปลงยังได้รับอนุญาตจากผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบว่าไม่ขัดข้องในการออกเอกสารสิทธิในบริเวณเขตทรงสงวนด้วย ข้อร้องเรียนนี้ทำให้ กรป.ส่วนกลางมีความเห็นเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2537 ให้ดำเนินการตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2536 ว่าถ้าพิสูจน์ได้ว่าราษฎรอยู่มาก่อน พ.ร.ฎ.2497 ก็ให้ราษฎรได้สิทธิในที่ดินนั้น หากปรากฏว่าราษฎรอยู่ภายหลังก็ให้เช่ากับกรมธนารักษ์
อย่างไรก็ดี สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ส่งเรื่องนี้ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อหารือต่อข้อพิจารณาดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีความเห็นดังนี้ คือ
- เมื่อรัชกาลที่ 6 พระราชทานสิทธิแก่กระทรวงทหารเรือตามพระบรมราชโองการ พ.ศ. 2457 และ 2465 กองทัพเรือจึงมีกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ในที่ดินเขตหวงห้าม (เขตพระราชทานตามภาพที่ 1) ส่วนเขตไม่หวงห้าม (เขตทรงสงวนตามภาพที่ 1) ที่อนุญาตให้คนไทยเข้าจับจองทำไร่นาถากถางตามสมควร กองทัพเรือไม่มีกรรมสิทธิ์ แต่มีอำนาจที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้คนใช้ประโยชน์ โดยมีผู้บัญชาการกองทัพเรือเป็นผู้ใช้อำนาจนั้น
- ราษฎรที่ครอบครองที่ดินในเขตไม่หวงห้ามก่อนจะมีพระบรมราชโองการ พ.ศ. 2457 โดยมีเอกสารที่ดิน ย่อมมีสิทธิในที่ดินนั้น
- แต่ราษฎรที่ครอบครองที่ดินในเขตหวงห้าม แม้ราษฎรจะมีกรรมสิทธิ์มาก่อนจะมีพระบรมราชโองการ ก็ไม่มีสิทธิใดๆ ยิ่งไปกว่ากองทัพเรือ
- คณะกรรมการกฤษฎีกายังพิจารณาประเด็นคำถามจากกรมธนารักษ์ว่าที่ดินในเขตทรงสงวนตามพระบรมราชโองการ พ.ศ.2465 ถือเป็นที่ราชพัสดุหรือไม่ โดยกรมธนารักษ์เห็นว่า เมื่อพิจารณาพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 6 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2464 ที่ว่า “เห็นควรจะรวบรวมบรรดาที่ดินของหลวงในกระทรวงต่างๆ มาขึ้นทะเบียนราชพัสดุไว้ที่กระทรวงพระคลังมหาสมบัติทั้งหมด” ที่ดินตามพระบรมราชโองการทั้งหมดจึงเป็นที่ดินที่สงวนหวงห้ามไว้ใช้ประโยชน์ในทางราชการของกองทัพเรือ จึงควรเป็นที่ราชพัสดุตาม พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518
- คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ที่ดินใน ‘เขตทรงสงวน’ ไม่ใช่ที่ราชพัสดุ ด้วยเหตุผลว่า ที่ดินในเขตทรงสงวนตามพระบรมราชโองการ พ.ศ.2465 ไม่มีลักษณะเป็นที่ดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เพราะพระบรมราชโองการได้กำหนดให้คนไทยเข้าจับจองทำประโยชน์ได้ โดยขออนุญาตต่อกองทัพเรือ … เป็นคำวินิจฉัยที่ประหลาดอย่างยิ่ง เพราะชี้ว่าที่ดินนั้นไม่ใช่มีไว้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ แต่อำนาจการอนุมัติกลับขึ้นกับกองทัพเรืออันเป็นหน่วยงานของรัฐ
ความเห็นข้างต้นของคณะกรรมการกฤษฎีกาส่งผลให้กรมธนารักษ์ไม่มีอำนาจในการบริหารจัดการใดๆ ในที่ดินเขตทรงสงวน และทำให้การแก้ไขข้อพิพาทของกองทัพเรือคืบหน้าไปอย่างเชื่องช้า
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นแค่ผู้ให้ความเห็นและคำปรึกษาด้านกฎหมายแก่รัฐบาลเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ตัดสินชี้ขาดคดีความ พรรคการเมืองและประชาชนไม่จำเป็นต้องยอมรับความเห็นของพวกเขาเสมอไป และย่อมสามารถยื่นเรื่องนี้ให้ศาลปกครองตัดสินคดีความได้ โดยอาจใช้เหตุผลว่ารัชกาลที่ 6 ทรงออกพระบรมราชโองการในฐานะองค์อธิปัตย์ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยมีจุดมุ่งหมายให้ใช้ที่ดินของชาติเพื่อประโยชน์ทางราชการ ที่ดินที่กองทัพเรือครอบครองย่อมถือเป็นที่ดินของรัฐตลอดไป แต่ปัจจุบันประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ประชาชนเป็นผู้สืบทอดอำนาจอธิปไตยนั้น โดยรัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยตามกฎหมาย รัฐบาลโดยกรมธนารักษ์จึงย่อมมีอำนาจบริหารจัดการที่ดินของรัฐ กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือการบริหารจัดการที่ดินของรัฐในปัจจุบันก็ต้องสอดคล้องกับลักษณะการปกครองที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
สรุป
ประเทศไทยมีปัญหาเกษตรกรขาดแคลนที่ดินทำกินมานานกว่าศตวรรษ ความพยายามปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรประสบปัญหาหลายประการ แต่การครอบครองที่ดินขนาดมหาศาลในมือของกองทัพมักถูกมองข้ามเสมอมา แม้ในอดีตจะมีรัฐบาลที่อยากจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดินระหว่างประชาชนกับหน่วยงานรัฐ แต่เมื่อกรณีนั้นๆ เกี่ยวข้องกับที่ดินในความครอบครองของกองทัพ การแก้ไขก็แทบไม่มีความคืบหน้า บางครั้งหน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่ตีความกฎหมายยังตีความให้อำนาจแก่กองทัพเสียเอง ขณะที่รัฐบาลจากการเลือกตั้งก็เลือกที่จะรักษาสถานะของตนเองมากกว่าจะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา เพราะพวกเขาเกรงกลัวอำนาจปืนของกองทัพนั่นเอง
↑1 | อภิชา นันทนิรันดร์, “แนวทางการบริหารจัดการที่ดินในการครอบครองของกองทัพบก”, เอกสารวิจัยส่วนบุคคล วิทยาลัยการทัพบก กันยายน 2565, หน้า 1. |
---|---|
↑2 | เพิ่งอ้าง, หน้า 9. |
↑3 | เพิ่งอ้าง, หน้า 9. |
↑4 | รัฐบาลไทย. “โครงการหนองวัวซอโมเดล 9,276 ไร่ ถึงมือประชาชน 25 ธันวาคม 2566”, 9 พฤศจิกายน 2566. |
↑5 | Kanda Naknoi and Paul Chambers, “The Military Land of Smiles” in The Character of Khaki Capital in Thailand, Paul Chambers and Ukrist Pathmanand (Ed.): ISEAS – Yusof Ishak Institute, forthcoming, p.16. |
↑6 | “ปธ.กมธ.ที่ดิน เผยชาวบ้านร้องหนองวัวซอโมเดลไม่เป็นธรรม บังคับเช่า ทั้งที่มีหลักฐานว่าอยู่มาก่อน”, วันที่ 5 มีนาคม 2567. |
↑7 | สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. “บันทึก เรื่องสถานะทางกฎหมายของที่สงวนหวงห้ามของกองทัพเรือ (ฐานทัพเรือสัตหีบ)”, เรื่องเสร็จที่ 289/2538 มิถุนายน 2538 ลงนามโดยนายอักขราทร จุฬารัตน รองเลขาธิการ รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา. |