ที่ดินของชาติในมือของกองทัพ

คลิกอ่านตอนที่ 1 สภาวะยกเว้นทางเศรษฐกิจ: อภิสิทธิ์เหนือการตรวจสอบของกองทัพ

คลิกอ่านตอนที่ 2 กรณีกองทัพบก ททบ. (ช่อง 5) และบริษัท RTA: อภิสิทธิ์เหนือการตรวจสอบ

คลิกอ่านตอนที่ 3 ธุรกิจเพื่อสวัสดิการของกองทัพ ประชาชนได้อะไร?

คลิกอ่านตอนที่ 5 ที่ดินของชาติในมือของกองทัพ (2)

นอกเหนือจากการมีอำนาจทางการเมืองต่อเนื่องยาวนานแล้ว ปัจจัยสำคัญที่เอื้อให้กองทัพไทยสามารถมีอาณาจักรธุรกิจมากมายได้ก็คือ การครอบครองที่ดินขนาดใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสนามกอล์ฟ สถานีบริการน้ำมัน โรงแรมรีสอร์ต สโมสร สนามมวย ตลาดนัด สนามบินอู่ตะเภา โซลาร์ฟาร์มพื้นที่ 600,000 ไร่ กิจการไฟฟ้าของกองทัพเรือที่ขายให้ชาวบ้านในอำเภอสัตหีบ แหล่งท่องเที่ยว โครงการที่อยู่อาศัย ฯลฯ ธุรกิจเหล่านี้ล้วนต้องใช้ที่ดินทั้งสิ้น แม้ว่าธุรกิจบางอย่างของกองทัพจะล้มหายตายจากไปแล้ว เช่น รัฐวิสาหกิจภายในกระทรวงกลาโหม (อาทิ องค์การแก้ว องค์การผลิตอาหารสำเร็จรูป องค์การฟอกหนัง องค์การแบตเตอรี่ องค์การทอผ้า บริษัทกระสอบไทย) แต่การมีที่ดินทำให้กองทัพสามารถเข้าร่วมสังฆกรรมกับโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

บทความนี้ต้องการให้ภาพบางส่วนเกี่ยวกับที่ดินในความครอบครองของกองทัพและผลประโยชน์ที่เกิดจากธุรกิจใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับนโยบายของรัฐบาล โดยใช้กรณีเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและสนามบินอู่ตะเภาเป็นกรณีตัวอย่าง

ที่ดินของกองทัพคือที่ดินของแผ่นดิน

ก่อนอื่นต้องกล่าวให้ชัดเจนก่อนว่า คำว่า ‘ที่ดินของกองทัพ’ ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ นั้น หมายถึงที่ดินใน ‘ความครอบครองใช้ประโยชน์ของกองทัพ’ ซึ่งในทางกฎหมายคือที่ดินของรัฐทั้งสิ้น

ที่ดินของรัฐมีหลายประเภท ได้แก่ ที่ป่าสงวนแห่งชาติ ที่อุทยานแห่งชาติ ที่ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ที่ ส.ป.ก.) ที่นิคมสร้างตนเอง ที่ราชพัสดุ ที่ทางหลวง และที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน เป็นต้น ซึ่งมีหน่วยงานรัฐหลายหน่วยงานเป็นผู้ดูแล ทั้งนี้ ที่ดินส่วนใหญ่ที่หน่วยงานรัฐทั้งหลายครอบครองและใช้ประโยชน์ตามภารกิจของตนจัดเป็น ‘ที่ราชพัสดุ’ ที่อยู่ในอำนาจกำกับดูแลของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง

เฉพาะที่ดินของกองทัพแบ่งออกเป็น 4 ประเภท

1. ที่ราชพัสดุ กำหนดให้ใช้เพื่อแผ่นดินโดยเฉพาะ ที่ดินของกองทัพส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มนี้

2. ที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าไม้ ภายใต้การดูแลของกรมป่าไม้ที่อนุญาตให้กองทัพใช้ประโยชน์

3. ที่ดินภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทยที่อนุญาตให้กองทัพบกใช้ประโยชน์  เช่น ที่สาธารณประโยชน์ ที่ดิน ส.ป.ก. ฯลฯ

4. ที่ดิน ‘เขตพระราชทาน’ และ ‘เขตทรงสงวน’ หมายถึง ที่ดินที่กองทัพได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยตีความว่าที่ดินนี้ไม่ถือเป็นที่ราชพัสดุ อนุญาตให้กองทัพเป็นผู้บริหารจัดการโดยตรง กรณีนี้คือที่ดินในความครอบครองของกองทัพเรือในอำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี (เฉพาะ ต.นาจอมเทียน (บางส่วน) ต.บางเสร่ ต.สัตหีบ ต.พลูตาหลวง (บางส่วน)) ครอบคลุมพื้นที่ 70,457 ไร่ ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 6 ตั้งแต่ปี 2457และ 2465[1]  

อย่างไรก็ตาม ที่ดินในการครอบครองของกองทัพเรือในจังหวัดชลบุรีและระยองไม่ใช่ที่ทรงสงวนทั้งหมด เพราะยังมีบางส่วนที่เป็นที่ราชพัสดุ แต่ถูกประกาศให้เป็น ‘เขตปลอดภัยในราชการทหาร’ ตามพระราชกฤษฎีกาที่ประกาศใช้ในปี 2536 โดยครอบคลุมพื้นที่ อ.บ้านค่าย อ.บ้านฉาง อ.เมืองระยอง จ.ระยอง และ อ.บางละมุง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรีรวมไปถึงพื้นที่ชายหาด ทะเล และเกาะแก่งต่างๆ[2] ไม่มีข้อมูลว่าพื้นที่ส่วนนี้มีขนาดเท่าไร แต่มีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่ทรงสงวนแน่นอน ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าพื้นที่ในความครอบครองของกองทัพเรือมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งจะเอื้อประโยชน์มหาศาลให้กับกองทัพเรือและปัญหากับประชาชนในพื้นที่ ดังจะกล่าวต่อไป

เจ้าที่ดินรายใหญ่สุด

ที่ราชพัสดุทั่วประเทศมีประมาณ 12.727 ล้านไร่[3] กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานที่ครอบครองที่ราชพัสดุมากที่สุด คือ 6.25 ล้านไร่ หรือราว 50%[4] ตัวเลขนี้ไม่รวมที่ดินประเภทอื่น เช่น ป่าสงวน ป่าไม้ ฯลฯ ที่กองทัพครอบครองไว้อีกจำนวนมาก จึงทำให้กองทัพบกเป็นหน่วยงานที่ครอบครองที่ดินมากที่สุด

เฉพาะที่ดินของกองทัพบก เอกสารของกองทัพบกระบุว่ามีที่ดินทั้งสิ้น 4,750,198 ไร่ เป็นที่ราชพัสดุ 4,085,469 ไร่ เป็นที่ดินประเภทอื่นๆ รวมกันอีก 664,729 ไร่ โดยใช้เป็นที่ตั้งหน่วย พื้นที่ฝึก พื้นที่สวัสดิการ แหล่งท่องเที่ยว โครงการพระราชดำริ ให้หน่วยงานอื่นใช้ เป็นที่ดินที่ราษฎรบุกรุกและเช่า และอยู่ระหว่างพิสูจน์สิทธิ (ดูตารางที่ 1)

ตารางที่ 1 ที่ดินที่กองทัพบกครอบครอง ทั้งหมด 4,750,198 ไร่

ประเภทที่ดินประเภทการใช้ประโยชน์
A. ที่ราชพัสดุ 4,085,469-0-88 ไร่
B. ขอใช้จากส่วนราชการอื่น 663,390-0-17 ไร่
– ป่าสงวนแห่งชาติ 87,817-3-14 ไร่
– ป่าไม้ 519,532-3-05 ไร่
– ที่สาธารณประโยชน์ 39,463-3-05 ไร่
– ที่ ส.ป.ก. 16,075-1-46 ไร่
– ที่นิคมสหกรณ์ฯ 700-0-00 ไร่
– ที่รกร้างว่างเปล่า 500-0-36 ไร่
C. ขอเช่าจากหน่วยงานอื่น 1,339-0-00 ไร่
– ที่ตั้งหน่วย 785,943-2-59 ไร่
– พื้นที่ฝึก 2,606,979-3-17 ไร่
– พื้นที่สวัสดิการ 10,178-3-74 ไร่
– พื้นที่แหล่งท่องเที่ยว 2,896-1-66 ไร่
– พื้นที่โครงการพระราชดำริ 136,532-0-82 ไร่
– หน่วยงานภายนอกขอใช้ 27,508-3-48 ไร่
– ราษฎรบุกรุกจัดให้เช่า 193,015-0-91 ไร่
– ราษฎรบุกรุกพิสูจน์สิทธิ 987,143-3-68 ไร่
อ้างอิง เอกสารของ กรมส่งกำลังบำรุงทหารบก กองทัพบก. “การประชุมร่วมกับคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร” วันที่ 23 พฤศจิกายน 2566.

งานของกานดา นาคน้อย และพอล แชมเบอร์ส[5] ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง โดยระบุว่า

  • ในจำนวน 77 จังหวัดของไทย มีอ่างทองจังหวัดเดียวที่ไ­­ม่มีที่ดินของกองทัพ
  • มีถึง 14 จังหวัดที่กองทัพครอบครองที่ดินของรัฐสูงสุด เรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อยดังนี้: กาญจนบุรี ประจวบฯ ราชบุรี นครราชสีมา ลพบุรี ชลบุรี นครนายก อุบลราชธานี ตราด เพชรบูรณ์ กรุงเทพฯ สระแก้ว พิษณุโลก ปราจีนบุรี จังหวัดเหล่านี้มีค่ายทหารตั้งประจำอยู่ด้วย
  • ที่ดินของกองทัพที่กาญจนบุรีมีถึง 2,501,437 ไร่ หรือ 72% ของที่ดินของรัฐในจังหวัดนี้, ที่ประจวบฯ มี 593,202 ไร่หรือ 96% ของที่ดินรัฐ, ขณะที่เมืองหลวงของประเทศ มีที่ดินของกองทัพถึง 19,907 ไร่หรือ 46% ของที่ดินรัฐทั้งกรุงเทพฯ
  • ใน 14 จังหวัดข้างต้น มีถึง 6 จังหวัดที่ไม่ได้ตั้งอยู่ติดชายแดน ได้แก่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ลพบุรี นครราชสีมา นครนายก ปราจีนบุรี ทั้งหมดมีที่ดินรวมกัน 416,130 ไร่
  • ทั้ง 76 จังหวัดมีฐานทัพหรือค่ายทหารตั้งอยู่แบบถาวร พบว่า 107 แห่งตั้งอยู่ในเขตเมือง เป็นของกองทัพบก 63 แห่ง กองทัพเรือ 36 แห่ง และกองทัพอากาศ 8 แห่ง มีเพียง 69 แห่งตั้งอยู่ในเขตชนบท ในแง่นี้ทำให้ตั้งคำถามได้ว่าภารกิจหลักของกองทัพมีไว้ปกป้องดินแดนจากภัยคุกคามจากภายนอกจริงหรือ
  • ที่ดินเหล่านี้กองทัพได้รับสะสมเรื่อยมา บางส่วนได้รับตั้งแต่เมื่อรัชกาลที่ 5 ทรงตั้งกองทัพถาวร และขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทหารมีอำนาจทางการเมือง ปฏิบัติการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ชนบทก็เป็นโอกาสสำคัญให้กองทัพขยายที่ตั้งทหารและโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงออกไป

การดำรงอยู่ของสนามกอล์ฟของกองทัพทั่วประเทศเป็นประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ที่ดินขนาดมหาศาลสำหรับคนเพียงน้อยนิด ด้วยเหตุผลว่าเพื่อให้นายทหารได้มีสถานที่ออกกำลังกาย มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง (แม้ว่าบรรดานายพลของไทยมักอ้วนเกินเกณฑ์ก็ตาม) และเพื่อสวัสดิการที่ดีของกำลังพล เหตุผลเช่นนี้ทำให้กองทัพมีสนามกอล์ฟทั่วประเทศรวมกันไม่ต่ำกว่า 74 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นของกองทัพบก 40 แห่ง[6] (ดูตารางที่ 2)

ที่น่าสนใจคือในบางจังหวัดกองทัพบกมีสนามกอล์ฟมากกว่า 1 แห่ง เช่น ที่นครราชสีมามีสนามกอล์ฟค่ายสุรธรรมพิทักษ์ (ศพก.ทภ.2) และค่ายสุรนารี (ศพก.มทบ.13) ที่ตั้งอยู่ห่างกันเพียง 10 กิโลเมตร เฉพาะค่ายสุรนารียังมีสวนน้ำสำหรับเล่นคายัคด้วย ทั้งสองแห่งตั้งอยู่ในเขตเมือง นอกจากนี้ จังหวัดนครศรีธรรมราช ขอนแก่น และร้อยเอ็ดก็มีสนามกอล์ฟของกองทัพบก 2 แห่งเช่นเดียวกัน หากรวมสนามกอล์ฟของกองทัพเรือและกองทัพอากาศไว้ด้วย หลายจังหวัดจะมีสนามกอล์ฟทหารมากกว่า 1 แห่ง เช่น ในกรุงเทพฯ กองทัพอากาศมีสนามกอล์ฟธูปะเตมีย์และสนามกานตรัตน์ (สนามงู) กองทัพบกมีสนามกอล์ฟรามอินทรา เป็นต้น ในขณะที่ประชาชนในหลายจังหวัดมีพื้นที่สวนสาธารณะที่อัตคัดมากหรือไม่มีด้วยซ้ำ แต่เราจะหวังอะไรได้ เพราะแม้แต่สนามกอล์ฟทหารทั้งสองแห่งในเมืองหลวงของประเทศก็มีขนาดใหญ่กว่าบรรดาสวนสาธารณะของประชาชน

ตารางที่ 2 กิจการสนามกอล์ฟที่อยู่ในการบริหารงานของกองทัพบก (ศพก.= ศูนย์พัฒนากีฬา)

1. ศพก.ทบ.สวนสนประดิพัทธ์ ประจวบฯ2. ศพก.ทบ.รามอินทรา กรุงเทพฯ3. ศพก.กช. ราชบุรี
4. ศพก.มทบ.22 ราชบุรี5. ศพก.ม.2 อุตรดิตถ์6. ศพก.ร.12 รอ. สระแก้ว
7. ศพก.พล.ร.6 ร้อยเอ็ด8. ศพก.มทบ.27 ร้อยเอ็ด9. ศพก.มทบ.13 ลพบุรี
10. ศพก.ทภ.2 (ค่ายสุรนารี) นครราชสีมา11. ศพก.ทภ.3 พิษณุโลก12. ศพก.รร.จปร. นครนายก
13. ศพก.มทบ.31 นครสวรรค์14. ศพก.มทบ.33 เชียงใหม่15. ศพก.มทบ.37 เชียงใหม่
16. ศพก.ทภ.4 นครศรีธรรมราช17. ศพก.มทบ.42 สงขลา18.ศพก.มทบ.45 สุราษฎร์ธานี
19. ศพก.ศม. สระบุรี20. ศพก.ทภ.2 นครราชสีมา21. ศพก.ร.16 ยโสธร
22. ศพก.มทบ.44 หนองคาย23. ศพก.มทบ.32 ลำปาง24. ศพก.ร.15 พัน.4 ตรัง
25. ศพก.ร.25 พัน.2 ระนอง26. ศพก.ร.8 ขอนแก่น27. ศพก.ศร. ประจวบฯ
28. ศพก.พล.ร.2 รอ. ปราจีนฯ29. ศพก.ร.8.พัน.2 ขอนแก่น30. ศพก.ร.13 พัน.2 อุดรธานี
31. ศพก.ร.3 สกลนคร32. ศพก.ร.23 พัน.4 บุรีรัมย์33. ศพก.มทบ.25 สุรินทร์
34. ศพก.มทบ.28 เลย35. ศพก.พล.ม.1 เพชรบูรณ์36. ศพก.ม.2 พัน.12 แพร่
37. ศพก.มทบ.34 พะเยา38.ศพก.พล.ร.5 นครศรีธรรมราช39. ศพก.ช.พัน.402 พัทลุง
40. ศพก.ส.1 สมุทรสาคร  
อ้างอิง กรมกำลังพลทหารบก กองทัพบก, “การชี้แจงข้อมูลให้แก่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นหรือย้ายไปสถานที่อื่นที่เหมาะสม สภาผู้แทนราษฎร” วันที่ 26 มีนาคม 2567.

โดยหลักการ ที่ดินทั้ง 4 ประเภทของกองทัพเป็นสมบัติของชาติและประชาชน มีแต่ประเภทที่ 4 หรือที่ดินเขตพระราชทานและเขตทรงสงวนที่กฎหมายอนุญาตให้กองทัพเป็นผู้บริหารจัดการโดยตรง กระนั้นก็ตาม แม้ว่ากฎหมายกำหนดให้ที่ดินประเภทที่ 1-3 อยู่ในการกำกับดูแลของหน่วยงานอื่น แต่ด้วยอำนาจทางการเมืองของกองทัพ รวมทั้งการอ้างเรื่องความมั่นคงของชาติ-ความปลอดภัยด้านการทหาร หากกองทัพไม่ยินยอมโอนคืนที่ดินให้ หน่วยงานเหล่านี้ก็มักไม่กล้าเรียกคืน แม้จะพบว่าในหลายกรณี กองทัพนำที่ดินในเขตเมืองไปใช้ทำธุรกิจในนามสวัสดิการของกำลังพล หรือเพื่อสันทนาการของบรรดานายพลทั้งหลาย เช่น สนามกอล์ฟ โรงแรม เป็นต้น อย่างมากที่สุดที่รัฐและประชาชนจะได้รับคืนมาบ้างก็คือ ค่าเช่าจากเอกชนที่ทำธุรกิจในที่ดิน ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังทำได้ไม่ครบถ้วน การตกลงทำสัญญาเช่ากับกรมธนารักษ์เป็นไปอย่างเชื่องช้า (กรุณาดูบทความของผู้เขียนเรื่อง ‘ธุรกิจเพื่อสวัสดิการของกองทัพ ประชาชนได้อะไร?’)

ในอดีตมีกรณีที่กองทัพยอมประนีประนอมคือ กรณีท่าอากาศยานดอนเมือง (3,881 ไร่) และท่าอากาศยานเชียงใหม่ (1,600 ไร่) ทั้งสองแห่งเป็นที่ราชพัสดุ ที่อยู่ในความครอบครองของกองทัพอากาศ โดยกองทัพอากาศยินยอมให้หน่วยงานรัฐอื่นเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ท่าอากาศยานทั้งสองแห่งและส่งรายได้เข้าคลัง  

ในกรณีท่าอากาศยานดอนเมือง กองทัพอากาศเป็นผู้บริหารมาตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2483 ต่อมาในช่วงสงครามเวียดนาม (1964-1975) สหรัฐอเมริกาได้ช่วยปรับปรุงให้ดอนเมืองเป็นท่าอากาศยานที่ทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพราะในขณะนั้นรัฐบาลไทยอนุญาตให้สหรัฐฯ ใช้ไทยเป็นฐานทัพสำหรับปฏิบัติการทางอากาศในสงครามเวียดนาม และดอนเมืองถือเป็นจุดขนถ่ายกำลังพลและอาวุธยุทธโธปกรณ์ของสหรัฐฯ เข้าสู่ไทย หลังสงครามเวียดนามยุติลง การท่องเที่ยวของไทยเติบโตมากขึ้น รัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ได้จัดตั้งการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) ขึ้นในปี 2522 ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม กองทัพอากาศจึงได้โอนถ่ายอำนาจในการบริหารจัดการดอนเมืองให้กับ AOT

ประเด็นที่พึงสังเกตคือ สภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นทหารที่มาจากการรัฐประหารจึงสามารถสั่งการกองทัพได้ไม่ยาก กระนั้นก็ยังต้องย้ำว่ากองทัพอากาศยังคงสงวนสิทธิเป็นผู้ครอบครองที่ดินของท่าอากาศยานดอนเมืองและเชียงใหม่ ไม่มีการโอนคืนที่ดินให้แก่กรมธนารักษ์ เป็นเพียงการให้สิทธิ AOT บริหารจัดการและเป็นผู้ทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์ให้แก่กรมธนารักษ์  แนวทางเช่นนี้ถูกใช้กับธุรกิจอื่นๆ ของกองทัพด้วย ไม่ว่าจะเป็นสถานีน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ หมายความว่า แม้ว่าในบางกรณี กองทัพได้แบ่งผลประโยชน์จากการเช่าที่ดินราชพัสดุให้แก่กรมธนารักษ์ แต่ในทางกฎหมาย กองทัพสามารถเปลี่ยนการใช้ประโยชน์เหนือที่ดินที่ตนครอบครองได้เสมอ 

ในทางตรงกันข้าม เมื่อเป็นรัฐบาลพลเรือน การเจรจาเพื่อขอคืนพื้นที่ของกองทัพเพื่อให้หน่วยงานอื่นนำไปพัฒนาให้เกิดประโยชน์กับประเทศและประชาชนมากขึ้นกลับไม่ง่ายเลย แม้แต่การขอคืนพื้นที่ขนาดเล็กก็ประสบปัญหา เช่น ในการประชุมกรรมธิการวิสามัญศึกษาธุรกิจกองทัพฯ ได้มีการขอคืนพื้นที่สนามกอล์ฟกานตรัตน์หรือสนามงู ที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างทางวิ่ง (runway) ของสนามบินดอนเมือง อันมีประเด็นด้านความปลอดภัยการบิน (ในบริเวณใกล้เคียงกัน กองทัพอากาศก็มีสนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ขนาด 600 กว่าไร่ตั้งอยู่) แต่กรรมาธิการกลับได้รับคำตอบว่าหากจะมีการโอนพื้นที่สนามกอล์ฟกานตรัตน์ให้กับ AOT นำไปรวมกับสนามบินดอนเมือง ก็ต้องจ่ายค่าชดเชยให้กองทัพอากาศเป็นเวลา 30 ปี รวมเป็นเงินราว 3,000 ล้านบาท[7] ฉะนั้น ภารกิจการขอถ่ายโอนธุรกิจและที่ดินของกองทัพในส่วนอื่นๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่า และสร้างผลประโยชน์มากกว่า ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลยหากรัฐบาลพลเรือนไม่มีเจตจำนงและอำนาจทางการเมืองที่แท้จริง

โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ:  เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและสนามบินอู่ตะเภา

ธุรกิจบางประเภทของกองทัพมีมานานแล้ว บางอย่างก็ล้มหายตายจากไป เช่น รัฐวิสาหกิจจำนวนมาก หลายประเภทก็ยังดำเนินต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ ในขณะที่ธุรกิจแบบเก่าก็ต้องรักษาไว้อย่างเหนียวแน่น และเมื่อมีธุรกิจรูปแบบใหม่ที่มาพร้อมโครงการพัฒนาประเทศของรัฐ กองทัพก็ไม่พลาดโอกาสเหล่านี้เช่นกัน โอกาสเช่นว่านี้จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้ากองทัพไม่ใช่ผู้ครอบครองที่ดินขนาดใหญ่ของประเทศ

ในบทความ ‘ธุรกิจเพื่อสวัสดิการของกองทัพ ประชาชนได้อะไร?’ ผู้เขียนได้กล่าวถึงผลประโยชน์ที่กองทัพเรือได้รับจากการผูกขาดขายไฟฟ้าให้กับประชาชนและธุรกิจเอกชนที่ตั้งอยู่ใน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยรายได้มากกว่าปีละ 100 ล้านบาทนี้ถูกส่งเข้าสวัสดิการของกองทัพเรือ กองทัพเรือมักอ้างว่าตนจำเป็นต้องเป็นผู้ให้บริการไฟฟ้าและน้ำประปาในพื้นที่ที่เป็น ‘ที่ทรงสงวน’ ที่ได้รับพระราชทานมาจากรัชกาลที่ 6 และถือเป็นพื้นที่ปลอดภัยด้านการทหารด้วย ธุรกิจซื้อมาขายไปนี้ (ซื้อจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแล้วขายต่อให้ชาวบ้าน) เป็นธุรกิจรูปแบบเก่าที่บรรดาเจ้าที่ดินนิยมกระทำกันมานานแล้ว

อันที่จริงกองทัพเรือเป็นหน่วยงานที่ได้รับประโยชน์มานานแล้วจากนโยบายพัฒนาพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกให้เป็นเขตอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ ที่จริงรายได้จากการขายไฟฟ้าก็เป็นผลพวงของการผลักดันโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดและการท่องเที่ยวตั้งแต่ยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่ทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอยู่อาศัยและทำธุรกิจในพื้นที่นี้มากยิ่งขึ้น และล่าสุดการผลักดันโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาตั้งแต่ปี 2561 ก็เป็นโอกาสเงินโอกาสทองอีกวาระหนึ่งให้กับกองทัพเรือ (ตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในข้อ 4 ข้างต้น) ดังต่อไปนี้

รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ได้ผลักดันพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 และได้ก่อตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) รับผิดชอบโครงการนี้ให้เป็นไปตามความฝัน ‘ไทยแลนด์ 4.0’ โดยกำหนดให้ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เป็นจังหวัดนำร่อง รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย แน่นอนว่าปัจจัยพื้นฐานที่จะต้องมีสำหรับโครงการประเภทนี้ก็คือ การลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคอย่างเต็มที่ ซึ่งส่วนที่เกี่ยวข้องกับกองทัพเรือโดยตรงก็คือ โครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก[8]

อนึ่ง ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ตั้งอยู่ใน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง อันเป็นที่ราชพัสดุ ที่ครอบครองโดยกองทัพเรือ กองทัพเรือจึงเป็นผู้บริหารจัดการมาตั้งแต่ก่อสร้างในปี 2504 สนามบินอู่ตะเภาได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยโดยสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามเวียดนาม เพื่อรองรับ B-52 อันเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่ที่สุดที่สหรัฐฯ ผลิตขึ้นได้ในขณะนั้น หลังสงครามเวียดนามยุติลง รัฐบาลไทยได้ให้อู่ตะเภาเป็นสนามบินพาณิชย์ระหว่างประเทศ และการบินไทยตั้งศูนย์ซ่อมเครื่องบินของตนแห่งที่สองที่นี่ 

อู่ตะเภาได้รับความสนใจอีกเมื่อเกิดเหตุการณ์ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกเข้ายึดพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง ระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2551 ทำให้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ต้องสั่งเปิดใช้อู่ตะเภา เพื่อระบายผู้เดินทาง เหตุการณ์นี้ทำให้รัฐบาลไทยหันมาให้ความสำคัญกับอู่ตะเภามากขึ้น และปัจจุบันอู่ตะเภามีสถานะเป็นท่าอากาศยานนานาชาติ เปิดให้บริการกับสายการบินแบบเช่าเหมาลำ และสายการบินโลว์คอสต์หลายบริษัท และเชื่อว่าอู่ตะเภาจะคึกคักมากขึ้นหากรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง-อู่ตะเภาก่อสร้างเสร็จ รายได้จากสนามบินอู่ตะเภาเป็นของกองทัพเรือ

ในปี 2561 สกพอ. ได้กำหนดให้พื้นที่ 6,500 ไร่บริเวณสนามบินอู่ตะเภาเป็นเขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก โดยความยินยอมของกองทัพเรือ นอกจากนี้ สกพอ. ได้ทำสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก กับบริษัทอู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) โดยสัญญาได้กำหนดว่าหน่วยงานภาครัฐมีหน้าที่จัดหาผู้ผลิตระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่ เช่น ระบบผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น และน้ำประปา ซึ่งหน่วยงานภาครัฐในสัญญานี้ก็คือ กองทัพเรือนั่นเอง

กองทัพเรือย่อมไม่มีความสามารถในการผลิตดังกล่าว แต่มีอำนาจในฐานะเจ้าของที่ดิน ได้คัดเลือกให้บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ประกอบการระบบผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น เมื่อเลือกได้แล้ว กองทัพเรือส่งเรื่องให้ สกพอ. เป็นผู้ดำเนินการให้บริษัท บี.กริม ทำสัญญาเช่าที่ราชพัสดุขนาด 100 ไร่จนสำเร็จในวันที่ 26 มิถุนายน 2563 มีระยะเวลาการเช่า 29 ปี 6 เดือน (เป็นเวลาก่อสร้าง 4 ปี 6 เดือน และเวลาให้บริการไฟฟ้าในพื้นที่ 6,500 ไร่ 25 ปี) สัญญาระบุว่าบริษัท บี.กริมต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการเช่าที่ดินราชพัสดุ ค่าเช่าที่ดิน และส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการไฟฟ้าให้กับ สกพอ.

สัญญายังระบุว่า สกพอ. จะต้องแบ่งสัดส่วนรายได้ที่ได้รับจากการใช้ที่ราชพัสดุในเขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออกให้กับกองทัพเรือ ในกรอบวงเงินไม่เกินปีละ 1,000 ล้านบาท โดยคำนวณจาก 1. รายได้จากค่าเช่าที่ดินทุกกิจกรรม โดยคิด 3% จากมูลค่าที่ดิน และปรับขึ้น 9% ทุก 3 ปี  2. รายได้จากกิจการที่กองทัพเรือดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว แต่ต้องสูญเสียรายได้นี้ไป (ไฟฟ้า ประปา และบำบัดน้ำเสีย การเติมเชื้อเพลิงอากาศยาน)

ทั้งนี้ ผู้แทนของ สกพอ.ชี้แจงกับ กมธ.วิสามัญศึกษาธุรกิจกองทัพฯ ว่าเนื่องจากการก่อสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ในปีแรก (2561) ได้จ่ายค่าเช่าที่ราชพัสดุให้กองทัพเรือแล้ว 7 แสนบาท ปีที่สองประมาณ 3 ล้านบาท และปีที่สาม 9 ล้านบาท และคาดว่าอีก 30 ปีข้างหน้า ส่วนแบ่งรายได้สูงสุดจะตกประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี  อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีกฎเกณฑ์การแบ่งรายได้ชัดเจนแล้ว แต่ ณ ปัจจุบัน กองทัพเรือยังไม่มีแผนการนำรายได้ส่วนนี้นำเข้ากองทุนสวัสดิการของกองทัพเรือ แต่ตั้งเป็นกองทุนเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบุคลากรของกองทัพเรือ ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นกองทุนใด

สิ่งที่ย้อนแย้งอย่างยิ่งก็คือ ในขณะที่กองทัพเรือได้รายได้จากกิจการสนามบินอู่ตะเภาและค่าเช่าที่ราชพัสดุจากโครงการ EEC แต่ภาระการพัฒนาพื้นที่กลับตกอยู่ที่ภาษีของประชาชน กล่าวคือกองทัพเรือเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการขยายสนามบิน รวมทั้งการก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 และทางขับ มีบริษัท UTA ประมูลโครงการก่อสร้างได้ กองทัพเรือได้ของบประมาณผูกพันต่อเนื่องหลายปีจากรัฐบาล ดังปรากฏในตารางที่ 3

ตารางที่ 3 งบประมาณโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและสนามบินอู่ตะเภา ในความรับผิดชอบของกองทัพเรือ

ปีงบประมาณงบประมาณ หน่วย: ล้านบาทเงินกู้ต่างประเทศ หน่วย: ล้านบาท
2563734.8031 
25641,778.0615
25651,103.3995
2566706.6973
2567284.3030660.2000
2568906.71624,890.1700
2569907.97134,967.6200
2570633.59133,260.5200
อ้างจาก สำนักงบประมาณ. เอกสารงบประมาณ ฉบับที่ 3 งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 เล่มที่ 1 และ พ.ศ. 2567 เล่มที่ 1.
หมายเหตุ – คาดว่าเงินกู้ต่างประเทศนี้ กู้จากธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank) ของรัฐบาลจีน

สรุป

ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาจากการครอบครองที่ดินของกองทัพ เพียงแค่กรณีสนามกอล์ฟทหารและกรณี EEC ก็น่าจะทำให้เราเห็นถึงความไม่สมเหตุสมผลของการแสวงหาผลประโยชน์จากการใช้ที่ดินของกองทัพ แต่ยังมีปัญหาอื่นๆ อีกมากที่ต้องกล่าวถึง เช่น ผลกระทบต่อประชาชนที่อ้างสิทธิทับซ้อนในการใช้ประโยชน์ที่ดิน ผู้เขียนจะขอเขียนถึงประเด็นนี้ในโอกาสต่อไป  

การครอบครองที่ดินของกองทัพมีราคาที่ประชาชนไทยต้องจ่ายให้ด้วยอย่างแน่นอน แต่ยากจะประเมินค่าได้อย่างครบถ้วนว่าเป็นราคาที่สูงขนาดไหน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีความพยายามศึกษาตรวจสอบกิจการต่างๆ ของกองทัพอย่างจริงจัง ซึ่งก็มีสาเหตุมาจากอำนาจทางการเมืองของกองทัพนั่นเอง ที่ทำให้ฝ่ายการเมืองไม่สามารถเอื้อมมือเข้าไปตรวจสอบและทวงคืนได้ อย่างไรก็ดี ผู้คนในสังคมไทยปัจจุบันเริ่มตระหนักเห็นถึงปัญหานี้มากขึ้นแล้ว ความพยายามตรวจสอบเพื่อให้เกิดความโปร่งใสเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนได้เริ่มขึ้นแล้ว แม้ว่าจะต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปก็ตาม

References
1 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา “บันทึกเรื่องสถานะทางกฎหมายของที่สงวนหวงห้ามของกองทัพเรือ (ฐานทัพเรือสัตหีบ)”, มิถุนายน 2538.
2 กองอสังหาริมทรัพย์ ฐานทัพเรือสัตหีบ, คู่มือปฏิบัติงาน การขออนุญาตจับจองที่ดินในเขตทรงสงวน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี. 2559. และ สภาผู้แทนราษฎร, “บันทึกการประชุม คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นหรือย้ายไปสถานที่อื่นที่เหมาะสม”, ครั้งที่ 11 วันที่ 7 พฤษภาคม 2567, หน้า 7.
3 ณัชจิรัฏฐ์ ประมวญผล, “ที่ดินของรัฐ… “ที่ราชพัสดุ” คืออะไร?”, สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ. 3 กรกฎาคม 2566.
4 อภิชา นันทนิรันดร์, “แนวทางการบริหารจัดการที่ดินในการครอบครองของกองทัพบก”, เอกสารวิจัยส่วนบุคคล วิทยาลัยการทัพบก กันยายน 2565, หน้า 1.
5 Kanda Naknoi and Paul Chambers, “The Military Land of Smiles” in The Character of Khaki Capital in Thailand, Paul Chambers and Ukrist Pathmanand (Ed.): ISEAS – Yusof Ishak Institute, forthcoming. ตัวเลขรวมของที่ดินของกองทัพในงานของกานดาและแชมเบอร์ส น้อยกว่าตัวเลขที่ระบุในงานของณัชจิรัฏฐ์ ประมวญผล และอภิชา นันทนิรันดร์ (ดูเชิงอรรถที่ 3 และ 4 ตามลำดับ) ผู้เขียนคิดว่า ขอใช้ตัวเลขของสองคนหลัง เพราะเป็นผู้ที่มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลของหน่วยงานรัฐและกองทัพได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นว่าเรายังสามารถอ้างตัวเลขอื่นๆ ในงานของกานดาและแชมเบอร์สได้อยู่ แม้ว่าตัวเลขที่เป็นจริงน่าจะสูงกว่าที่ทั้งสองคนอ้างไว้
6 จำนวน 40 แห่งนี้อ้างอิงจากเอกสารของ กรมกำลังพลทหารบก กองทัพบก, “การชี้แจงข้อมูลให้แก่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นหรือย้ายไปสถานที่อื่นที่เหมาะสม สภาผู้แทนราษฎร” วันที่ 26 มีนาคม 2567.
7 “จิรายุเผยเคสสนามงู เคลียร์ไม่จบ ทอ.ขอชดใช้ 3 พันล้าน”, กรุงเทพธุรกิจ. 7 พ.ค. 2567.
8 ข้อมูลในหัวข้อนี้มาจากเอกสาร สภาผู้แทนราษฎร, “บันทึกการประชุม คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นหรือย้ายไปสถานที่อื่นที่เหมาะสม”, ครั้งที่ 11 วันที่ 7 พฤษภาคม 2567, หน้า 4-6.

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

24 Jul 2025

“ในสงคราม สิ่งแรกที่ถูกฆ่าตายคือความจริง” สถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา เรารู้อะไรอย่างเป็น ‘ทางการ’ แล้วบ้าง?

วันโอวัน สรุปข้อมูลการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จากทางการทั้งสองฝ่าย พร้อมความเห็นจากนักวิชาการ ผู้ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

กองบรรณาธิการ

24 Jul 2025

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save