ในอดีต สิ่งที่เรียกว่า ‘รัฐพ่อค้า’ (merchant state) มักจะเกิดขึ้นเพราะลักษณะทางภูมิศาสตร์ของดินแดนนั้นๆ เช่น อยู่ในพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางของการค้าขาย เลยทำให้เศรษฐกิจ การค้า และ ‘การแสวงหาความมั่งคั่ง’ (wealth) กลายเป็นศูนย์กลางของการปกครอง
รัฐพวกนี้มักเกิดในพื้นที่ที่ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าสำคัญ เช่น ท่าเรือ เมืองท่าสำคัญ หรือภูมิภาคที่มีทรัพยากรทางธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น นครรัฐเวนิส ที่รุ่งเรืองยาวนานหลายร้อยปี เพราะเป็นศูนย์กลางการค้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ถือเป็นนครรัฐที่ถูกขับเคลื่อนโดย ‘ชนชั้นพ่อค้า’ และมีสถาบันการเงินต่างๆ ที่เข้มแข็ง อีกเมืองที่ตีคู่กันมาก็คือเจนัว ซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน และแข่งขันกันเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลในยุโรปใต้
แต่ที่ใหญ่กว่าเวนิสและเจนัว หนีไม่พ้นเนเธอร์แลนด์ หรือ Dutch Republic ที่มีลักษณะเป็น ‘รัฐชาติ’ ไม่ใช่แค่ ‘นครรัฐ’ ซึ่งเราคงเห็นว่า ในสมัยศตวรรษที่ 16-18 ดัตช์นั้น ‘ครองโลก’ มากขนาดไหน เกิดระบบธนาคาร การประกันภัย และตลาดหลักทรัพย์ในอัมสเตอร์ดัมขึ้นมาเป็นรากฐานของรัฐพ่อค้าสมัยใหม่เลยทีเดียว โดยเฉพาะในยุคทองที่เรียกว่า Dutch Golden Age
อีกรัฐหนึ่งที่น่าสนใจอยู่ใกล้บ้านเรามาก นั่นก็คือนครรัฐมะละกา ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อมโยงการค้าจากตะวันออกกลาง อินเดีย ไปสู่จีน ทำให้ยุคหนึ่งมะละกาแทบจะขึ้นชื่อว่าเป็นนครรัฐที่ร่ำรวยและมีประชากรมากที่สุดในโลก
การเป็นรัฐพ่อค้านั้น พูดง่ายๆ คือทำให้รัฐนั้นๆ มี ‘ความรวย’ เป็นนิพพาน และมี ‘ความอยากรวย’ เป็นตัวขับเคลื่อน โดยใช้การค้าและการเงินเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งและอำนาจ รัฐพ่อค้ามักจะไปกันได้ดีกับความหลากหลาย เช่นการเป็นเมืองท่านั้นย่อมต้องโอบรับผู้คนจากทั่วทุกดินแดน มีหลักฐานมาแต่อดีตว่า เมืองอย่างมะละกามีคนมาอยู่รวมกันแทบจะจากทุกทวีป ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการเชื่อมโยงกับต่างประเทศจึงทำให้รัฐพ่อค้ายิ่งเจริญรุ่งเรือง
แต่รัฐในสมัยโบราณไม่ได้มีแบบเดียว ยังมีรัฐแบบอื่นๆ อีก ที่หลายคนอาจจะคุ้นเคยมากกว่า อย่างแรกก็คือ รัฐนักรบ (warrior state) ซึ่งอันนี้แทบไม่ต้องอธิบาย แค่ยกตัวอย่างสปาร์ตาหรือมองโกล ก็น่าจะนึกภาพออก เป็นรัฐที่มีโครงสร้างสังคมและการปกครองแบบทหาร เช่น ประชาชนถูกฝึกให้พร้อมรบตั้งแต่เด็ก สถาบันทหารจึงมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันมาก รัฐแบบนี้มักเกิดในพื้นที่ที่ต้องป้องกันตัวเอง เช่นมีศัตรูรอบด้าน เลยถือได้ว่าเป็นรัฐที่เกิดจาก ‘ภูมิรัฐศาสตร์’ คล้ายๆ รัฐพ่อค้าเหมือนกัน
รัฐอีกแบบคือ ‘รัฐนักบวช’ (theocratic state) อันนี้ก็น่าจะคุ้นเคยกันดี เช่น รัฐอิสลามยุคต้น (Caliphate) หรือทิเบต รัฐแบบนี้จะมีศาสนาเป็นแกนกลาง ผู้นำทางศาสนามีบทบาทสำคัญในการปกครอง กฎหมายต่างๆ จะอิงกับหลักคำสอนทางศาสนา
รัฐอีกแบบหนึ่งที่สำคัญคือรัฐราชสำนัก (courtly state) เช่น จีนโบราณ จักรวรรดิเปอร์เซีย หรือยุโรปยุคกลาง เป็นรัฐที่มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ราชสำนักหรือกษัตริย์เป็นหลัก มีการรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ราชสำนักอย่างชัดเจน ราชสำนักจึงเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมและศิลปะด้วย
รัฐสามแบบหลังนี้ มักจะเป็นรัฐที่มีลักษณะ ‘อนุรักษนิยม’ เต็มตัว หรือจะเรียกว่าเป็น ‘รัฐฝ่ายขวา’ ก็ได้ เพราะมักจะเป็นรัฐที่มุ่งเน้นค่านิยมดั้งเดิม ความมั่นคงทางสังคม และบทบาทของรัฐในอันที่จะเป็นผู้พิทักษ์รักษาศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตที่ได้รับสืบทอดต่อเนื่องมา ไม่ว่าจะจากระบบนักรบ ระบบศาสนา หรือระบบราชสำนัก ซึ่งหลายรัฐที่มีอำนาจมากๆ จนกลายเป็นจักรวรรดิ สามเรื่องนี้มักจะรวมเป็นเรื่องเดียวกัน ตัวอย่างที่รู้จักกันดีก็เช่น จักรวรรดิโรมันอันศักด์สิทธิ์หรือจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งมีลักษณะร่วมคือความ ‘อนุรักษนิยม’ คือเน้นการรักษาระเบียบสังคมที่ชัดเจนในหลายๆ ด้าน ทั้งศาสนา วัฒนธรรม และโครงสร้างชนชั้น (เพื่อจะได้เกณฑ์ไพร่พลได้ง่าย) โดยใช้ทั้งสามเรื่องนี้สร้างความมั่นคงทั้งด้านจิตวิญญาณของผู้คน การเมือง และการทหาร
รัฐทั้งสามแบบนี้ ถือได้ว่าเป็นรากฐานทางประวัติศาสตร์ที่นำไปสู่แนวคิด ‘ฝ่ายขวา’ (right-wing politics) ในแง่ของการยึดถือคุณค่าดั้งเดิม ประเพณี ลำดับชั้นทางสังคม ความจงรักภักดี การปกป้องอัตลักษณ์ของชาติ การปกป้อง ‘ระเบียบเก่า’ ของสังคมเอาไว้ โดยใช้ ‘การควบคุม’ อย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่อาจจะมาคุกคามระเบียบเดิมได้
อาจเรียกขำๆ ว่ารัฐแบบนี้มีลักษณะเป็น ‘รัฐพ่อขวา’ ก็ได้!
ในอดีต รัฐแบบ ‘รัฐพ่อค้า’ และ ‘รัฐพ่อขวา’ นั้น มักจะไม่ค่อย ‘ผสมพันธุ์’ กันสักเท่าไหร่ เพราะรัฐพ่อขวาจะยึดมั่นในระเบียบเก่า แต่รัฐพ่อค้าเปิดรับความแตกต่างหลากหลาย และความหลากหลายนี่แหละ ที่จะมาคุกคามระเบียบเก่าอย่างที่สุด
แต่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เพราะในปัจจุบัน เราจะเห็นได้เลยว่า หลายประเทศที่มีลักษณะ ‘ขวาหัน’ ไปเป็น ‘รัฐพ่อขวา’ นั้น ได้สมาทานตัวเองเข้ากับ ‘ลัทธิเสรีนิยมใหม่’ (neoliberalism) ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การค้าและตลาดเสรีด้วย รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์นั้นชัดเจนมากว่ามีลักษณะแบบนี้ โดยได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมากในประเทศด้วย นอกจากสหรัฐอเมริกาแล้ว ยังมีอีกหลายประเทศที่ดำเนินไปในแนวโน้มนี้มากขึ้น หลายคนอาจไม่แปลกใจถ้าได้ยินชื่อของรัสเซีย อินเดีย โปแลนด์ อิตาลี หรือฮังการี แต่เชื่อหรือไม่ว่าแม้แต่สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ ฟินแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ก็มีแนวโน้มที่จะผสมผสานความเป็น ‘รัฐพ่อค้า’ เข้ากับความเป็น ‘รัฐพ่อขวา’ มากขึ้น
ซึ่งอาจพอกล่าวได้ว่า – นี่น่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
เพราะถ้าเป็นฝ่ายขวาแบบดั้งเดิม (traditional conservatism) ก็มักจะไม่เน้น ‘ลัทธิพ่อค้า’ หรือการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี แต่จะมีอาการ ‘ไว้ตัว’ ต่อความร่ำรวย สงวนท่าทีเป็นผู้ดีเก่ามากกว่า แต่ฝ่ายขวาปัจจุบัน (modern right-wing) จะเน้นตลาดเสรี มุ่งเน้นเรื่องการลดบทบาทของรัฐในการควบคุมเศรษฐกิจ (เช่น ลดบทบาทเรื่องสวัสดิการสังคม) และสนับสนุนธุรกิจหรือกลุ่มทุนขนาดใหญ่มากขึ้น โดยอาจไม่แคร์เรื่อง ‘ทุนผูกขาด’ มากสักเท่าไหร่
รัฐพ่อค้ากับรัฐพ่อขวา เมื่อมารวมตัวกันจึงน่าสนใจมากๆ เพราะมันสะท้อนไปถึงเรื่องของการปกครองที่ ‘ผสมพันธุ์’ กัน ระหว่างทุนนิยมกับอัตลักษณ์นิยม คือจะพยายามสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับความยิ่งใหญ่ของชาติ โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นค่านิยมดั้งเดิม ซึ่งนโยบาย America First ของทรัมป์ มีลักษณะเช่นนี้อย่างเต็มเปี่ยม
หลายคนอาจมีคำถามว่า ถ้า ‘รัฐพ่อค้า’ กับ ‘รัฐพ่อขวา’ มารวมกัน แล้วจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นได้เล่า โดยเฉพาะถ้าประชาชนเลือกมาผ่านระบบการเลือกตั้ง
เรื่องเดิมๆ ที่อาจแลดูซ้ำซากแต่มักเกิดซ้ำรอยเสมอ ก็คือการใช้ ‘อำนาจ’ ในเชิง ‘อุปถัมภ์’ พวกพ้องหรือญาติพี่น้องของตัวเองมากกว่าการกระจายอำนาจและความมั่งคั่งไปสู่วงกว้างอย่างแท้จริง ที่เป็นอย่างนี้ก็เกิดจากลักษณะเด่นเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรมทางการเมืองของทั้งรัฐพ่อค้าและรัฐพ่อขวาที่คลับคล้ายกันหลายประการ (แม้จะไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป) เช่น ในระบบพ่อค้า ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจมักจะมีบทบาทในการปกครอง ซึ่งพอเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็มักไม่ไว้วางใจคนอื่น แต่ไว้วางใจเครือข่ายส่วนตัวมากกว่า ในขณะที่ระบบพ่อขวาเน้นเรื่องลำดับชั้นและความจงรักภักดีต่ออำนาจเดิมอยู่แล้ว จึงสอดรับกันได้เป็นอย่างดี ทำให้เกิดการ ‘รวมอำนาจ’ ในกลุ่มที่จำกัด อาจเกิดลักษณะของ ‘คณาธิปไตย’ หรือการดึงพรรคพวกเพื่อนพ้องเข้ามาทำงานบริหารปกครอง แม้เป็นไปด้วยเจตนาดี แต่ก็จะเกิดการกีดกันความคิดเห็นที่ต่างออกไปได้ง่าย และอาจทำให้กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เข้ามามีอิทธิพลเหนือการเมืองได้ ผลก็คือเกิดการปกป้องอำนาจและทรัพยากรเอาไว้ในกลุ่มคนจำกัด คือคนระดับสูงของสังคม ซึ่งเปลี่ยนหน้าไปจาก ‘ผู้ดีเก่า’ ในสังคมขวาเดิม มาเป็นผู้มีอำนาจทางการเงินแบบใหม่
แม้ต้องเน้นย้ำเอาไว้ก่อนนะครับว่าไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป แต่ก็มีตัวอย่างให้เห็นในหลายประเทศ ว่าเมื่อ ‘รัฐพ่อค้า’ รวมตัวกับ ‘รัฐพ่อขวา’ แล้ว เกิดการอุดหนุนญาติพี่น้อง (nepotism) และการอุดหนุนพวกพ้อง (cronyism) บ่อยครั้งมาก ทำให้เกิดอาการของรัฐแบบที่อาจเรียกขำๆ ได้ว่า ‘รัฐพ่อครับ’ หรือ ‘รัฐพ่อขา’ คือเหล่าญาติพี่น้องพวกพ้องเข้ามามีอำนาจผ่านความสัมพันธ์ส่วนตัวกันมากขึ้น จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายมากสำหรับนักคิดด้านปรัชญาการเมือง
มีผู้วิเคราะห์ไว้หลายที่ว่า รัฐพ่อค้า (ที่ผสมกับรัฐพ่อขวา) มีแนวโน้มจะสนับสนุนการเป็น ‘รัฐพ่อขา’ (หรือรัฐพ่อครับ) ได้มาก เพราะระบบของรัฐพ่อค้านั้นมักพึ่งพาความสัมพันธ์ส่วนตัวสูง รวมทั้งต้องมีการตอบแทนกลุ่มผู้สนับสนุนทางการเมืองด้วย โครงสร้างอำนาจที่ทั้งรัฐพ่อค้าและรัฐพ่อขวาคุ้นเคยก็คือโครงสร้างแบบรวมศูนย์อำนาจ จึงมักขาดการตรวจสอบ และอาจก่อให้เกิดปัญหา ซึ่งหลายประเทศในอดีต เคยนำไปสู่บทสรุปที่ไม่พึงปรารถนาหลายอย่าง
คำถามก็คือ – แล้วเราจะป้องกันอาการ ‘รัฐพ่อขา’ ไม่ให้เกิดกับรัฐพ่อค้าและรัฐพ่อขวาได้อย่างไร
ถ้าจะบอกว่า เราต้องให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนหรือสวัสดิการสังคมบลาๆๆ อะไรทำนองนี้ ทั้งรัฐพ่อค้าและรัฐพ่อขวาน่าจะหูดับฟังไม่ได้ยิน เลยอยากแนะนำให้ลองฟังแนวคิดใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากนักเศรษฐศาสตร์หรือนักการเงินด้วยกันเองน่าจะดีกว่า
ต้องบอกว่า ในปัจจุบัน ต่อให้เป็นระบบพ่อค้ามากขนาดไหน ก็เกิดแนวคิดใหม่ๆ ทางการเงินการธนาคารขึ้นมาควบคู่กับความเป็นพ่อค้าด้วยหลายแนวคิด ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นแนวคิดแบบ ‘ทุนนิยมที่มีหัวใจ’ (ตามชื่อหนังสือของ สฤณี อาชวานันทกุล ที่มีชื่อเต็มๆ ว่า ‘ทุนนิยมที่มีหัวใจ: ทางเลือกใหม่แห่งการพัฒนา’ ตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 2008) ก็ว่าได้
สองแนวคิดที่เริ่มมีคนพูดให้ได้ยินบ่อยครั้งขึ้น คือแนวคิดเรื่องการเงินที่เป็นธรรม (fair finance) และการธนาคารเพื่อความยั่งยืน (sustainable banking)
fair finance คือแนวทางที่เน้นความยุติธรรมในการจัดสรรทรัพยากรทางการเงิน โดยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นในด้านสินเชื่อ การออม หรือการลงทุน ในขณะที่ sustainable banking คือแนวทางการดำเนินกิจการธนาคารที่คำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมด้วย ไม่ใช่ตะบี้ตะบันทำกำไรเพียงอย่างเดียว
จะเห็นว่า การนำเอาแนวคิดเรื่อง fair finance และ sustainable banking เข้ามาใช้ จะช่วยเพิ่ม ‘มิติความเป็นมนุษย์’ ให้กับรัฐพ่อค้าและรัฐพ่อขวาได้ เพื่อไม่ให้นำไปสู่การเป็น ‘รัฐพ่อขา’ ที่เต็มไปด้วย nepotism และ cronyism อันเต็มไปด้วยปัญหา
แนวคิดใหม่ๆ อย่าง fair finance และ sustainable banking นั้นจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน และที่สำคัญก็คือสร้างความโปร่งใสและความชอบธรรมให้เกิดขึ้นได้ โดยต้อง ‘รื้อ’ ระบบคิดทั้งระบบ
การเป็นรัฐพ่อค้าและรัฐพ่อขวานั้นไม่ผิดอะไร เพียงแต่ต้องสร้างกลไกตรวจสอบที่โปร่งใส เพื่อนำทางสังคมไปสู่ความ fair และ sustainable ให้ได้เท่านั้นเอง แล้วรัฐพ่อขาหรือรัฐพ่อครับที่มักจะเผลอไผลไปสู่ nepotism กับ cronyism ก็จะเกิดขึ้นได้น้อยลง
ที่สำคัญก็คือ อยากให้สังเกตว่าบทความนี้ใช้คำว่า ‘พ่อ’ มาโดยตลอด ทั้งที่อาจเป็นรัฐแม่ค้า รัฐแม่ขวา หรือรัฐแม่ขาก็ได้ แต่ถ้าทอดตามองดูทั่วโลก เราจะเห็นได้เลยว่าลักษณะแบบ ‘ชายเป็นใหญ่’ ก็ยังครอบงำสังคมส่วนใหญ่อยู่ดี ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีแล้วก็ตาม