1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ธนาคารโลก (World Bank) ประจําประเทศไทย ได้ต้อนรับ เมลินดา กู้ด (Melinda Good) ในฐานะผู้อำนวยการคนใหม่ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบทั้งประเทศไทยและประเทศพม่า
กู้ดมีประสบการณ์ทำงานคร่ำหวอดในธนาคารโลกมาตั้งแต่ปี 2548 โดยมีประสบการณ์การทำงานในฐานะผู้บริหารอยู่หลายครั้ง โดยก่อนจะมาเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทยและพม่า เธอก็เคยทำหน้าที่ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําประเทศอัฟกานิสถานมาก่อน รวมทั้งยังเคยเป็นจัดการฝ่ายปฏิบัติการในประเทศปากีสถานอีกด้วย
การเข้ามารับตำแหน่งของกู้ดเพื่อบริหารงานของธนาคารโลกในส่วนประเทศไทยและพม่าครั้งนี้นับว่าเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งของทั้งสองประเทศ โดยในฝั่งไทยก็กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญว่าจะสามารถผลักดันตัวเองขึ้นสู่การเป็นประเทศรายได้สูง (high-income country) ได้สำเร็จหรือไม่ หลังจากที่ติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลางมานานนับหลายทศวรรษ และขณะเดียวกันในปี 2026 นี้ไทยก็จะต้องรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (The Annual Meetings of the International Monetary Fund and the World Bank Group) ซึ่งถือเป็นเวทีการประชุมด้านเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกเวทีหนึ่ง ขณะที่ในฝั่งพม่านั้นก็กำลังอยู่ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งและสงครามกลางเมืองที่ร้อนแรงนับจากการรัฐประหารปี 2021 ทำให้การเดินหน้าด้านเศรษฐกิจกำลังเป็นไปอย่างยากลำบากยิ่ง
เนื่องในโอกาสที่กู้ดเข้ามารับตำแหน่งใหม่ที่ธนาคารโลกประจำประเทศไทย 101 ได้รับเกียรติเป็นสื่อไทยสื่อแรกที่ได้พูดคุยกับเธอ โดยเราได้พูดคุยกันถึงชีวิตการทำงานของเธอที่นี่ในช่วงสองเดือนแรก พร้อมชวนคุยถึงความมุ่งหมายและวิสัยทัศน์ของเธอในการเดินหน้าทำงานสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งในประเทศไทยและพม่าตลอดวาระการดำรงตำแหน่งนี้ ท่ามกลางความท้าทายใหญ่ที่ทั้งไทยและพม่ากำลังเผชิญ

จากที่เข้ามาทำงานที่ประเทศไทยมาแล้วสองเดือน คุณเป็นอย่างไรบ้าง
ที่จริง ฉันเคยทำงานประจำอยู่ที่ประเทศไทยมาก่อน ทำให้ฉันมีพื้นความรู้เกี่ยวกับพลวัตความเป็นไปของเศรษฐกิจไทยดี แต่ฉันก็รู้ว่ายังมีอะไรให้ต้องเรียนรู้อีกมาก เลยพยายามทำหลายอย่างเพื่อจะทำความเข้าใจประเทศนี้มากขึ้น อย่างในช่วงเดือนแรก ฉันก็ได้เดินทางไปเยือนถึงสี่จังหวัด และได้สนทนากับผู้คนที่หลากหลาย ทั้งภาคธุรกิจ มหาวิทยาลัย และสถาบันคลังปัญญาในแต่ละพื้นที่เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน และหลังจากนี้ก็ยังมีอะไรให้ต้องเรียนรู้อีกเยอะ ซึ่งเป็นอะไรที่น่าสนุก และที่สำคัญมันก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากตั้งแต่มาประจำที่นี่
ทราบว่าก่อนหน้านี้ คุณเป็นผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำอัฟกานิสถานมาก่อน คุณว่าการดำรงตำแหน่งเดียวกันนี้ระหว่างอัฟกานิสถานกับในไทยและพม่า น่าจะต่างกันอย่างไร และคุณคิดว่าจะนำประสบการณ์จากอัฟกานิสถานมาใช้กับที่นี่ได้บ้างไหม
มันแตกต่างกันมากทีเดียว อย่างก่อนหน้านี้ฉันประจำอยู่ที่กรุงคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน เป็นระยะเวลาสามปี หลายคนก็รู้กันว่าประเทศนั้นกำลังตกอยู่ในสภาวะความขัดแย้งและกำลังเปราะบางอย่างมาก ประชาชนจำนวนมากตกอยู่ในภาวะขัดสน และอัตราความยากจนก็สูงมากด้วย งานของเราในตอนนั้นจึงเน้นไปที่การให้การสนับสนุนช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม รวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่จำเป็นสำเร็จการดำรงชีวิตของประชาชน ซึ่งก็จะเห็นว่าคล้ายๆ กับงานหลักที่เราต้องทำในประเทศพม่าตอนนี้ เพราะฉะนั้นฉันก็น่าจะได้นำประสบการณ์การทำงานในตอนนั้นมาใช้กับการทำงานสำหรับพม่าในปัจจุบันได้ส่วนหนึ่ง
และก่อนหน้าอัฟกานิสถาน ฉันก็เคยประจำอยู่ที่ปากีสถานมาก่อน ซึ่งขนาดเศรษฐกิจที่นั่นถือว่าใหญ่กว่าอัฟกานิสถานมาก และต้องบอกว่าในตอนนั้นธนาคารโลกที่ปากีสถานมักจะมองมาที่ประเทศไทยเพื่อเป็นองค์ความรู้ไปปรับใช้ในปากีสถานและประเทศอื่นๆ ในเอเชียใต้ ที่เป็นประเทศไทยก็เพราะว่าเป็นประเทศที่นับเป็นแบบอย่างความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศหนึ่ง ในฐานะที่สามารถขยับขึ้นจากประเทศรายได้ต่ำ (low income) สู่รายได้ปานกลางระดับบน (upper middle income) ได้สำเร็จ ในช่วงนั้นฉันถึงได้มีการติดต่อและมีสายสัมพันธ์อยู่กับภาคส่วนต่างๆ ของประเทศไทยไม่น้อยเพื่อการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน
ภายใต้วาระการดำรงตำแหน่งของคุณที่ประเทศไทย คุณมีภารกิจหลักอะไรที่ต้องเดินหน้าบ้าง
ต้องบอกก่อนว่าปีนี้ถือเป็นการครบรอบ 75 ปีที่ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกของธนาคารโลก และก็เป็น 75 ปีที่ธนาคารโลกได้เข้ามามีสำนักงานประจำอยู่ที่ประเทศไทย และในปี 2026 ประเทศไทยก็จะต้องรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ โดยงานนี้ก็เปรียบเหมือนมหกรรมโอลิมปิกในแวดวงเศรษฐกิจ หรือคล้ายๆ การประชุมสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ที่เมืองดาวอส (Davos ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์) อันที่จริงประเทศไทยก็เคยเป็นเจ้าภาพจัดงานนี้มาก่อนแล้วในปี 1991 ซึ่งเวลานั้นระดับการพัฒนาของไทยก็ไม่เหมือนกับตอนนี้ และสำหรับการประชุมที่ไทยกำลังจะเป็นเจ้าภาพครั้งต่อไปนี้ เราก็กำลังทำงานร่วมกับพันธมิตรหลายภาคส่วนทั้งกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย และภาคเอกชน ในการออกแบบว่าการประชุมจะมีหน้าตาอย่างไร ถือเป็นงานที่น่าตื่นเต้นมาก
นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังมีการเดินหน้าร่วมมือกับแต่ละภาคส่วนของไทยในอีกหลายด้าน เพื่อผลักดันไทยไปสู่เป้าหมายขั้นต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าคือการยกระดับจากประเทศรายได้ปานกลางขั้นสูงไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูง โดยรัฐบาลไทยได้วางวิสัยทัศน์เรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) แต่ในการก้าวกระโดดในขั้นสุดท้ายหรือเรียกว่าเป็นการเดินทางในระยะไมล์สุดท้ายไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูงนี้ก็ย่อมเป็นอะไรที่ยากที่สุด ซึ่งทางธนาคารโลกก็พร้อมที่จะทำงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆ โดยเรายังมีการจัดทำกรอบความร่วมมือเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (Country Partnership Framework: CPF) ฉบับใหม่ประจำปีงบประมาณ 2025-2029 มาใช้เป็นพิมพ์เขียวในการทำงานด้วย โดยในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจไทยของเรานั้นแบ่งออกเป็นสามแพลตฟอร์มหลักๆ

เรื่องแรกคือการเงินแบบยั่งยืน (sustainable finance) ซึ่งรัฐบาลไทยเองก็กำลังมีการเดินหน้าทั้งเรื่องการเงินสีเขียว (green finance หรือการเงินเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม), การเงินสีฟ้า (blue finance หรือการเงินที่เชื่อมโยงกับการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล) และการเงินคาร์บอน (carbon finance หรือการเงินเพื่อสนับสนุนการลดปล่อยก๊าซคาร์บอน) และขณะเดียวกันก็มีเป้าหมายเดินหน้าไปสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำและเศรษฐกิจยั่งยืน โดยธนาคารโลกสามารถให้การสนับสนุนเรื่องนี้ได้ ด้วยการช่วยสร้างหุ้นส่วนหรือพันธมิตรเพื่อดึงดูดนักลงทุนและบรรษัทเอกชนจากหลายแห่งทั่วโลกในการเข้ามาร่วมมือเพื่อผลักดันให้เครื่องมือทางการเงินเหล่านี้สัมฤทธิ์ผลขึ้นมาได้ โดยเฉพาะในแง่การสนับสนุนทางการเงิน เพราะการจะทำเรื่องนี้ได้สำเร็จจะมีแค่ไอเดีย (ในการออกแบบกลไก) ไม่ได้ แต่ต้องอาศัยแหล่งเงินทุนสนับสนุนด้วย
เรื่องที่สองคือเรื่องการพัฒนาเมือง เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 34% ของเศรษฐกิจไทยทั้งหมด ด้วยจำนวนประชากร 10% ของทั้งประเทศ แต่หากประเทศไทยต้องการจะยกระดับขึ้นเป็นประเทศรายได้สูง กรุงเทพฯ เมืองเดียวก็ย่อมไม่เพียงพอ หากแต่ต้องทำให้เมืองอื่นเติบโตขึ้นมาเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจได้ด้วย เพราะฉะนั้นธนาคารโลกจึงกำลังให้ความสำคัญมากกับการพัฒนาเมืองรองของประเทศไทย ซึ่งเราก็กำลังพยายามหาโอกาสดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในแง่โครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน เพื่อเมืองเหล่านี้
และเรื่องที่สามคือการพัฒนานวัตกรรมและขีดความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากทุกวันนี้มีการลงทุนโดยเฉพาะในแง่การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเกิดขึ้นในหลายประเทศของเอเชีย รวมถึงไทย ซึ่งนั่นแปลว่าการยกระดับทักษะแรงงานและการศึกษากำลังเป็นเรื่องสำคัญ เราจึงตั้งเป้าจะสนับสนุนประเทศไทยในการพัฒนาเรื่องนี้ด้วย
ธนาคารโลกยังคงดำเนินการทั้งสามด้านนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยเราได้ลงทุนทั้งสามด้านนี้ไปแล้วรวมกันมากกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำลังพยายามดึงดูดแหล่งเงินทุนอื่นๆ เข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติมอีก
ถ้าหันมามองเศรษฐกิจไทย ณ ตอนนี้ที่คุณเข้ามารับตำแหน่งใหม่ คุณมองภาวะเศรษฐกิจตอนนี้อย่างไร และเห็นความท้าทายอะไรบ้าง
ไม่นานนี้เรามีการออกรายงานตามติดเศรษฐกิจไทย (Thailand Economic Monitor) ฉบับใหม่ (เดือนกรกฎาคม 2024) ซึ่งก็เผยแพร่ออกมาในวันแรกที่ฉันเข้ามาทำงานพอดี โดยรายงานเล่มนี้ก็ได้ระบุถึงสิ่งที่ฉันพูดไปแล้วว่าประเทศไทยเคยผ่านประสบการณ์ความสำเร็จในการพัฒนามาก่อน แต่วันนี้ความพยายามที่จะเดินหน้าขั้นต่อไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูง กำลังเผชิญความท้าทายบางประการ
ถ้าดูการคาดการณ์เศรษฐกิจของไทยในปี 2024 นี้ จะพบว่าไทยน่าจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 2.4% และถ้าย้อนไปตั้งแต่หลังวิกฤตโควิด-19 ก็จะเห็นว่าการเติบโตของไทยอยู่ระดับราวๆ ปีละ 2.6% ซึ่งสะท้อนถึงสภาวะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยหลังวิกฤต โดยเฉพาะภาคการบริโภคและภาคการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัวได้ดี แต่หากประเทศไทยต้องการไปสู่สถานะประเทศรายได้สูงได้ภายในปี 2037 ตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ เศรษฐกิจไทยยังต้องการการเติบโตมากกว่านี้อีก โดยควรอยู่ที่ประมาณปีละ 5% จึงเกิดคำถามใหญ่ขึ้นมาว่าแล้วเราจะทำอย่างไรให้ตัวเลขการเติบโตกระโดดขึ้นมาได้ ท่ามกลางความท้าทายหลายอย่างที่ประเทศไทยเผชิญอยู่ ทั้งเรื่องสังคมสูงวัย การพึ่งพาเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ มากเกินไป รวมไปถึงแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์จากภายนอกประเทศ
พูดโดยสรุปคือประเทศไทยตอบสนองต่อวิกฤตการระบาดที่ผ่านมาได้ดีเยี่ยม แต่กำลังข้ามมาเจองานที่ยากกว่าคือการพยายามยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ธนาคารโลกจะช่วยสนับสนุนความพยายามของประเทศไทยเรื่องนี้ได้ก็ต้องย้อนกลับไปที่พูดไว้สามข้อ คือด้านการเงินยั่งยืน ด้านการพัฒนาเมือง และการพัฒนานวัตกรรมและขีดความสามารถในการแข่งขัน
ท่ามกลางความท้าทายที่มีอยู่ คุณว่านโยบายของรัฐบาลไทยมาถูกทางหรือสอดคล้องกับแนวทางที่ธนาคารโลกคิดไว้ไหม
เท่าที่เห็นคือประเทศไทยก็กำลังให้ความสำคัญกับการเผชิญหน้าความท้าทายเหล่านี้ เมื่อดูจากนโยบายของรัฐ ก็จะพบว่ามันมีเรื่องของการลงทุนทั้งในด้านความยั่งยืนและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นหัวใจสำคัญ อีกทั้งยังมีเรื่องการพัฒนาที่ครอบคลุมคนทุกคน (inclusion) ซึ่งทั้งหมดนี้ก็นับว่าสอดคล้องกับประเด็นที่ธนาคารโลกวางไว้ แต่คำถามสำคัญอยู่ที่ว่าการนำนโยบายไปปฏิบัติจริงจะออกมาในรูปแบบไหนมากกว่า

นอกจากไทยแล้ว คุณได้รับมอบหมายให้เป็นผู้อำนวยการประจำประเทศพม่าด้วย แล้วสำหรับพม่า คุณมองภาวะเศรษฐกิจที่นั่นอย่างไร
ไม่นานนี้ฉันก็มีโอกาสได้เดินทางไปพม่ามาซึ่งก็พบว่าสถานการณ์ค่อนข้างกังวล และเมื่อดูข้อมูลทางเศรษฐกิจนั้นก็เห็นว่าสถานการณ์ของพม่าต่างจากไทยอยู่มาก โดยเศรษฐกิจพม่าในปัจจุบันนั้นต่ำกว่าระดับที่เคยเป็นในปี 2019 อยู่ถึงประมาณ 10% เห็นได้ว่ามีการหดตัวสูงมาก และตามการคาดการณ์ ก็พอเห็นได้ว่าต่อให้เศรษฐกิจจะมีการเติบโต แต่ก็โตน้อยกว่า 1% จึงถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากมากสำหรับประชาชนพม่า ท่ามกลางความขัดแย้งที่กำลังดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง
เราได้มีการสำรวจความคิดเห็นของบริษัทและครัวเรือนในประเทศพม่า พบว่าอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนกำลังย่ำแย่ลงต่อเนื่อง พวกเขาวิตกกังวลเกี่ยวกับกิจการของตัวเอง รวมถึงเรื่องความสามารถในการหาเลี้ยงปากท้องให้คนในครอบครัว นอกจากนี้ยังมีธุรกิจในประเทศมากกว่าหนึ่งในสามที่ระบุถึงปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าหรือไฟดับ ซึ่งก็ส่งผลกระทบอย่างมากในการดำเนินกิจการ
ในภาวะแบบนี้ ธนาคารโลกดำเนินบทบาทของตัวเองในประเทศพม่าอย่างไรได้บ้าง
มีสองเรื่องหลักที่เรากำลังดำเนินการ เรื่องแรกคือการพยายามให้ข้อมูลและออกรายงานทางเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งหลายคนอาจมองว่าเป็นสิ่งที่ธนาคารโลกทำเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ท่ามกลางสถานการณ์ของประเทศที่กำลังไม่ปกติและเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ยาก สิ่งที่เราทำจึงสำคัญมาก โดยข้อมูลรายงานติดตามภาวะเศรษฐกิจของเราถือได้ว่ากำลังเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญยิ่งสำหรับหน่วยงานต่างๆ ที่กำลังทำงานให้ความช่วยเหลือต่อคนพม่า เพราะพวกเขาจำเป็นต้องรู้สถานการณ์เศรษฐกิจ รวมถึงสภาวะความเป็นอยู่ของประชาชนและครัวเรือน เพื่อจะสามารถวางแผนการให้ความช่วยเหลือได้อย่างสมเหตุสมผล
เรื่องที่สองคือการให้การสนับสนุนทางการเงิน หลายคนอาจมองว่าธนาคารโลกมักให้การสนับสนุนเงินทุนต่อรัฐบาลเท่านั้น แต่หากเป็นกรณีประเทศที่อยู่ท่ามกลางสถานการณ์ความเปราะบาง ความขัดแย้ง และความรุนแรงอยู่ เหมือนอย่างพม่า แนวทางของเราจะต่างออกไป โดยธนาคารโลกพยายามแสดงบทบาทช่วยเป็นแกนนำประชาคมนานาชาติให้สามารถสนับสนุนทรัพยากรหรือเงินทุนที่มีอย่างจำกัดไปให้ถึงมือประชาชนโดยตรงเท่านั้น โดยมุ่งเน้นไปยังการสนับสนุนสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิตของประชาชนทั้งในรูปของเงินทุนและสิ่งของ ซึ่งเราก็กำลังทำงานร่วมกับหลายหน่วยงานทั้งที่เป็นเอ็นจีโอและหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ
ขอชวนถอยมาคุยในภาพใหญ่บ้าง เนื่องจากเราเห็นว่าตอนนี้ระเบียบเศรษฐกิจโลกกำลังถูกท้าทาย โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มขึ้น ซึ่งก็เชื่อว่าย่อมมีผลกระทบถึงแนวทางการทำงานของธนาคารโลกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในภาวะแบบนี้ ธนาคารโลกต้องมีการปรับตัวอย่างไรไหม
ธนาคารโลกตระหนักดีถึงสถานการณ์นี้และพยายามปรับเปลี่ยนแนวทางมาตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยประธานธนาคารโลกคนปัจจุบัน อาเจย์ บังกา (Ajay Banga) ก็ได้วางแนวทางการเดินหน้าเอาไว้ โดยมีชื่อเรียกว่า World Bank’s Evolution Roadmap ซึ่งหลักๆ แล้วเราต้องการแสดงบทบาทในการเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันรวมถึงการหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายมากขึ้น เนื่องจากทุกวันนี้ความต้องการในการพัฒนากำลังขยายใหญ่ขึ้นมากจนไม่ว่ากลุ่มธนาคารเพื่อการพัฒนาใดๆ ก็คงยากที่จะให้การสนับสนุนได้เพียงลำพัง ทำให้การทำงานร่วมกับหุ้นส่วนกำลังเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในการผลักดันเรื่องนี้ และเราต้องตระหนักว่าทุกวันนี้ธนาคารโลก รวมถึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ไม่ได้เป็นแหล่งเงินทุนหลักในการสนับสนุนการพัฒนาเพียงแหล่งเดียวอีกต่อไป แต่มันมีความกระจัดกระจาย เพราะมีองค์กรเกิดขึ้นมาทำบทบาทเช่นเดียวกันนี้มากขึ้นด้วย
เพราะฉะนั้นใน World Bank’s Evolution Roadmap ส่วนแรก จึงเป็นเรื่องการทำงานร่วมกับองค์กรอื่นๆ เพื่อจัดหาระดมเงินทุนสำหรับการพัฒนา โดยเฉพาะภาคเอกชน และที่สำคัญคือธนาคารเพื่อการพัฒนาระดับนานาชาติหรือระดับภูมิภาคอื่นๆ อย่างเช่น ธนาคารเพื่อการพัฒนาของกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันของประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ที่ตั้งต้นโดย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ โดยธนาคารของกลุ่มบริกส์นั้นมีชื่อเรียกว่า ‘ธนาคารพัฒนาแห่งใหม่’ หรือ New Development Bank) กับอีกส่วนหนึ่งคือการให้ความสำคัญกับการจัดการความท้าทาย การแก้ปัญหาความยากจน รวมไปถึงการสร้างความมั่งคั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางขั้นสูงที่กำลังพยายามไต่ไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูง ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และเทคโนโลยีดิจิทัล

นอกจากเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ มีเรื่องไหนอีกไหมที่ธนาคารโลกมองว่าเป็นความท้าทายใหญ่
ในภาพรวมของธนาคารโลก ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของเราคือเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะฉะนั้นการวางแผนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและแหล่งเงินทุนที่ทนทานพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง (resilient infrastructure and resilient finance) จึงเป็นเรื่องที่เรากำลังให้ความสำคัญ อีกทั้งยังเป็นประเด็นที่ประธานธนาคารโลกได้ระบุไว้ใน World Bank’s Evolution Roadmap ด้วย
แล้วในบริบทประเทศไทย คุณมีแนวทางในการสนับสนุนไทยในการเผชิญหน้าความท้าทายเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไร
ก็ต้องย้อนกลับไปที่ฉันได้บอกว่าธนาคารโลกให้ความสำคัญกับการเดินหน้าเรื่องการเงินเพื่อความยั่งยืน และการพัฒนาเมือง โดยเมื่อเจาะรายละเอียดลงไปที่แผนการสำหรับประเทศไทยแล้วจะเห็นว่ามีการให้ความสำคัญกับเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง, การทำเกษตรกรรมแบบอัจฉริยะและเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate smart agriculture) รวมไปถึงการคิดออกแบบเพื่อป้องกันเมืองและทรัพย์สินให้ปลอดภัยจากความเสียหายที่อาจมากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สุดท้ายแล้ว ในวาระการดำรงตำแหน่งของคุณครั้งนี้ คุณมีความคาดหวังในการทำงานต่อจากนี้อย่างไรบ้าง
ฉันคาดหวังว่าจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจของตัวเองไปสู่สายตาชาวโลกได้ รวมถึงให้ประสบการณ์ความสำเร็จนี้แพร่ขยายไปทั่วทั้งประเทศ คือกรุงเทพฯ ก็ต้องโตต่อไปอยู่แล้ว แต่เราจะผลักดันให้การพัฒนาครอบคลุมไปยังส่วนอื่นๆ ของประเทศด้วย และนอกจากนี้ฉันจะเดินหน้าทำงานกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนในการช่วยให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้านำแนวคิดและนโยบายต่างๆ ไปปฏิบัติจริงได้
และสำหรับประเทศพม่า ฉันก็คาดหวังให้ความขัดแย้งยุติลงเพื่อให้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตปกติดังเดิมได้ และขณะเดียวกันทางธนาคารโลกก็จะยังคงเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนชาวพม่า ทั้งในแง่การให้ข้อมูลและการส่งความช่วยเหลือให้เข้าถึงประชาชนได้โดยตรง
