ภาพถ่าย : ทีมงาน Melayu Raya / สมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (CAP)
Identiti Melayu adalah warisan, bukan ancaman.
อัตลักษณ์มลายูคือมรดกไม่ใช่ภัยคุกคาม

1
“ผมขอพรจากพระเจ้าว่าถ้าเราอยู่ข้างนอกแล้วมีประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า ก็ขอให้เราได้อยู่ข้างนอก แต่ถ้าการติดคุกเป็นผลดีกับสังคมมากกว่า เราก็ยินดีอยู่ในเรือนจำ”
สำหรับ มูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิ การถูกดำเนินคดีด้วยสามข้อกล่าวหา กล่าวคือยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116) ร่วมกันเป็นอั้งยี่ (มาตรา 209) และร่วมกันเป็นซ่องโจร (มาตรา 210) ตามประมวลกฎหมายอาญา ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาอ่อนแอลง หากเป็น ‘บททดสอบ’ ที่ทำให้เขายืนหยัดอย่างเข้มแข็ง
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2565 ท่ามกลางลมทะเลพัดเอื่อยและเสียงคลื่นกระทบฝั่งหาดวาสุกรี มูฮำหมัดอาลาดีขึ้นเวทีปราศรัยในกิจกรรม ‘Melayu Raya 2022’ กิจกรรมรวมตัวกันนัดแต่งกายชุดมลายูในหมู่เยาวชนคนรุ่นใหม่ชายแดนใต้ เนื่องในโอกาสวันอีฏิลฟิตรี (วันสิ้นสุดช่วงเทศกาลถือศีลอด)
เขาขึ้นปราศรัยเป็นคนแรกเนื่องจากขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานสมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (CAP) เจ้าตัวเน้นย้ำว่าไม่ได้เตรียมเนื้อหาการปราศรัยมาก่อน มูฮำหมัดอาลาดีเล่าว่า “สิ่งที่พูดวันนั้นคือสิ่งที่ออกจากใจ พอเห็นคนแต่งกายชุดมลายูก็รู้สึกภาคภูมิใจ ภูมิใจที่เยาวชนในพื้นที่ยืนหยัดได้แม้เจอนโยบายกลืนชาติพันธุ์”

กิจกรรม Melayu Raya (ต่อจากนี้จะเรียกว่า ‘มลายูรายอ’) เปรียบเสมือนพื้นที่แสดงออกทางอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของคนมลายูมุสลิม มีจุดประสงค์เพื่อสืบสานและอนุรักษ์เครื่องแต่งกายตามอัตลักษณ์ ตลอดจนปลูกฝังให้การหวงแหนวัฒนธรรมเป็นเรื่อง ‘ปกติ’ – อันที่จริงอาจไม่ต่างอะไรกับการนัดสวมใส่ชุดไทยประจำภูมิภาค หรือนัดสวมใส่ชุดกี่เพ้าของคนจีนเนื่องในโอกาสสำคัญ
ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยสันติและไร้ซึ่งความรุนแรง คาดการณ์กันว่ากิจกรรมนี้มีผู้เข้าร่วมกว่าสองหมื่นคน มูฮำหมัดอาลาดีประเมินทันทีว่าจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมอาจทำให้ภาครัฐและฝ่ายความมั่นคงไม่สบายใจ และก็เป็นเช่นนั้นจริง เพราะหลังจบกิจกรรมได้ไม่นาน เขามีโอกาสได้เข้าไปชี้แจงข้อมูลต่อคณะตัวแทนกองทัพภาคที่ 4 ในสี่ประเด็น ได้แก่
หนึ่ง การตะเบ๊ะ ฝ่ายความมั่นคงมองว่าเหมือนการฝึกทหาร ฝ่ายมูฮำหมัดอาลาดีชี้แจงว่าการตะเบ๊ะกันในพื้นที่ถือเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือในกิจกรรมต่างๆ เนื่องจากเป็นการทดแทนการจับมือสลามตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด-19
สอง คำสัตยาบัน มีการกล่าวหาว่าคำสัตยาบันที่อ่านระหว่างทำกิจกรรมเป็นคำสัตยาบันให้สู้กับรัฐไทยเพื่อกอบกู้รัฐอิสระ ฝ่ายมูฮำหมัดอาลาดีชี้แจงว่าคำสัตยาบันไม่มีความหมายเช่นนั้น กล่าวคือไม่มีคำแปลที่บอกให้สู้กับรัฐไทยหรือแบ่งแยกดินแดน แต่เป็นคำมั่นสัญญาของเยาวชนว่าจะใช้ความสามารถที่มีช่วยเหลือสังคมและขจัดการกดขี่ทุกรูปแบบ
สาม ธง ฝ่ายความมั่นคงตั้งคำถามว่าธงที่ถูกเข้าใจว่าเป็นธงของบีอาร์เอ็น (Barisan Revolusi Nasional Melayu Patani: BRN หรือขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี) ปรากฏในกิจกรรมได้อย่างไร ฝ่ายมูฮำหมัดอาลาดีชี้แจงว่าผู้จัดกิจกรรมไม่ได้สั่งให้คนนำธงเข้ามา ซึ่งได้เข้าไปห้ามและดึงธงลงแล้ว ขณะที่ภายในกิจกรรมมีธงอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะธงของกลุ่มหรือธงของหมู่บ้าน
สี่ ธงชาติไทย ฝ่ายความมั่นคงตั้งคำถามว่าทำไมไม่มีธงชาติไทยในงาน ฝ่ายมูฮำหมัดอาลาดีชี้แจงว่าระหว่างทางมีธงชาติไทยอยู่ เพียงแต่ไม่มีบนเวทีและไม่มีผู้ร่วมกิจกรรมชูธงชาติไทย คล้ายกับการไปคอนเสิร์ตที่บางครั้งก็ไม่ได้มีธงชาติไทยอยู่ในงาน
“วันนั้นเราไม่ได้พูดถึงการต่อสู้กับรัฐไทยเลย เราพูดถึงความเป็นมาของเราที่แม้ระยะเวลาจะผ่านไปกว่าร้อยปี แม้อดีตจะเจอนโยบายจากส่วนกลาง แต่เรายังคงยืนหยัดอยู่ได้ นั่นคือความภาคภูมิใจของเรา” มูฮำหมัดอาลาดีกล่าว
การชี้แจงผ่านไปได้ด้วยดี มูฮำหมัดอาลาดีเล่าว่ารองแม่ทัพ (ในขณะนั้น) รับฟัง ดูจะไม่ติดใจ และถึงกับบอกให้จัดกิจกรรมใหญ่ขึ้นในปีถัดมา เขาและพวกจึงเข้าใจว่าเรื่องราวจบสิ้นโดยไม่มีปัญหา ต่างฝ่ายต่างเดินหน้าใช้ชีวิตกันต่อ
หนึ่งปีเจ็ดเดือนผ่านไป มูฮำหมัดอาลาดีและพวกรวมเก้าคนได้รับหมายเรียกจากตำรวจภูธรปัตตานีเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2566 ซึ่งหมายเรียกของทุกคนเกี่ยวข้องและสืบเนื่องจากกิจกรรมมลายูรายอ โดยมีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค4 สน.) เป็นโจทก์ผู้ดำเนินคดี
“เมื่อเกิดการรื้อฟื้นเรื่องราวขึ้นใหม่ เราจึงส่งหนังสือให้กรรมาธิการกฎหมายและสิทธิมนุษยชนในรัฐบาลเศรษฐา ซึ่งกรรมาธิการฯ มองว่าไม่ควรฟ้องเพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม แต่ท้ายที่สุด กอ.รมน. ยืนยันว่าจะสั่งฟ้อง ทางอัยการจึงสั่งฟ้อง”
“พวกเรายืนยันว่าจะไม่หนีและยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้องและไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย” มูฮำหมัดอาลาดีระบุ
2
‘คดีชุดมลายู’ กลายเป็นชื่อเรียกคดีที่ติดปากชาวบ้านทั่วไป
กอ.รมน.ภาค4 สน. โต้แย้งว่าคดีนี้ไม่ใช่การดำเนินคดีแกนนำในข้อหา ‘จัดกิจกรรมสวดชุดมลายู’ หรือแสดงออกผ่านกิจกรรมในที่สาธารณะ ในทางตรงกันข้าม กอ.รมน.ภาค4 สน. ยืนยันว่าส่งเสริมอัตลักษณ์และพหุวัฒนธรรมของประชาชนในพื้นที่ ไม่ว่าจะด้านการแต่งกาย ศาสนา ภาษา หรือวัฒนธรรม เพื่อ “ทำให้สันติสุขกลับคืนมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” ทั้งนี้ หน่วยงานดังกล่าวก่อตั้งและทำหน้าที่ตั้งแต่ปี 2549
สำหรับมูฮำหมัดอาลาดี คดีนี้ “ไม่เชิงว่าไม่เกี่ยวข้อง” กับชุดมลายู เขามองว่าคดีมีจุดเริ่มต้นจากการที่ประชาชนแต่งกายด้วยชุดมลายูและรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งบางคนมีทัศนะว่าการรวมตัวสวมชุดมลายูถือเป็นภัยคุกคามและเป็นการจำลองการประกาศเอกราช
“ผมถามว่ายุยงปลุกปั่นกี่โมง เราไม่ได้จัดงานแค่ปีนั้นปีเดียว เราจัดทุกปี อ่านสัตยาบันเดิมทุกปี พูดเหมือนเดิมทุกปี แต่ปีอื่นไม่โดน […] การฟ้องลักษณะนี้มีเป้าหมายให้เราหยุด เหมือนกับที่เจ้าหน้าที่ทำกับนักศึกษาและนักกิจกรรมในส่วนกลาง รัฐใช้วิธีเดียวกันในพื้นที่สามจังหวัดด้วย” มูฮำหมัดอาลาดีตั้งข้อสังเกต

แน่นอนว่าการขึ้นเวทีปราศรัยในงานมลายูรายอไม่ใช่การเคลื่อนไหวเดียวของเขา ที่ผ่านมามูฮำหมัดอาลาดีเคยถูกเตือนให้ยุติการทำกิจกรรมทั้งหมด ตั้งแต่กิจกรรมแต่งกายชุดมลายู กิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม แม้กระทั่งกิจกรรมจัดแคมป์ปิ้งกับเยาวชน
สำหรับมูฮำหมัดอาลาดี การฟ้องคดีครั้งนี้จึงถือเป็นการ SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participantion) หรือการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน อธิบายง่ายๆ คือการฟ้องคดีเพื่อปิดปากไม่ให้แสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ เนื่องจากเขาและเพื่อนไม่เพียงขับเคลื่อนด้านวัฒนธรรม แต่ยังขับเคลื่อนเรื่องกระบวนการเจรจาสันติภาพด้วย
ทั้งนี้ สถานการณ์ฟ้องคดีเพื่อปิดปากในพื้นที่สามจังหวัดอาจมีความแตกต่างจากพื้นที่อื่น มูฮำหมัดอาลาดีมองว่าการจำกัดกิจกรรมทางการเมืองในพื้นที่สามจังหวัดถือเป็นเรื่องอันตราย ทั้งยังส่งผลกระทบต่อกระบวนการเจรจาสันติภาพและการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง
“เมื่อเราพูดหรือทำกิจกรรมทางการเมืองไม่ได้ เมื่อพื้นที่ทางการเมืองของนักกิจกรรมถูกจำกัด เรากังวลว่าความรุนแรงจะเพิ่มขึ้น เรากังวลว่าคนรุ่นใหม่บางคนจะต่อสู้โดยใช้ความรุนแรง สังเกตได้จากการวิสามัญฆาตกรรมที่ผ่านมาที่ผู้เสียชีวิตจากการปะทะเริ่มมีอายุน้อยลง”
“ปี 2567 ผู้เสียชีวิตอายุน้อยสุดมีอายุ 23 ปี เท่ากับว่าตอนเกิดเหตุการณ์ปี 2547 เขาอายุแค่ไม่กี่ขวบเท่านั้น เขาโตมาในสถานการณ์แบบนี้ หากไม่พยายามเปิดให้คนมีพื้นที่เคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรม เรากังวลว่าเหตุการณ์ความไม่สงบอาจรุนแรงขึ้น” มูฮำหมัดอาลาดีกล่าว
รัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลตั้งแต่สิงหาคมปี 2566 ที่ผ่านมามูฮำหมัดอาลาดีจึงเคยคาดหวังว่าสถานการณ์สันติภาพในพื้นที่ชายแดนใต้น่าจะดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ารัฐบาลปัจจุบันแทบไม่ให้ความสำคัญกับประเด็นในพื้นที่สามจังหวัด หนำซ้ำยังมีแนวโน้มปิดกั้นพื้นที่ทำกิจกรรมของนักเคลื่อนไหวในพื้นที่มากกว่าเดิม
“รัฐบาลส่วนกลางอาจไม่ได้ยินหรือไม่เห็นว่าปัญหานี้สำคัญ เขาอาจมองว่าความเป็นอยู่ของเขาสำคัญกว่าชีวิตคนที่นี่” มูฮำหมัดอาลาดีกล่าวเสียงเรียบ
3
โชคดีที่สุดคือไม่ต้องนอนคุก โชคร้ายที่สุดคือกว่าทศวรรษในเรือนจำ
จากทั้งหมดสามข้อกล่าวหา หากกระบวนการยุติธรรมพิพากษาว่าผิดทั้งสิ้น โทษสูงสุดที่มูฮำหมัดอาลาดีต้องเผชิญคือการติดคุก 12 ปี
“แม้รัฐพยายามยัดคดีเพื่อไม่ให้เหลือคนอย่างเราอยู่ในพื้นที่ แต่เวลานี้คนอย่างเรามีเยอะแยะไปหมด ต่อให้เราติดคุกสิบปีหรือตายก็จะมีคนแบบเราอีกมากมาย เรายินดียอมรับผลของคดีที่จะตามมา”
“เราเชื่อว่าพระเจ้าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกับเรา อาจไม่ใช่โลกนี้แต่เป็นโลกหน้า อย่างไรพระเจ้าจะอยู่ข้างเรา” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาแน่วแน่ไม่หวั่นไหว
ปัจจุบัน คดีชุดมลายูผ่านกระบวนการนัดตรวจพยานหลักฐานแล้ว อยู่ระหว่างการรอสืบพยานที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนปี 2568 ซึ่งสำนักข่าว Wartani รายงานข้อมูลจากแหล่งข่าวฝ่ายกฎหมายที่ประเมินว่า หากไม่มีอุปสรรคเพิ่มเติม กระบวนการทั้งหมดอาจแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2568
อย่างไรก็ตาม แม้ตอนนี้คดีความจะยังไม่ถึงที่สิ้นสุด การดำเนินคดีเพียงไม่กี่ขั้นตอนกลับส่งผลกระทบโดยตรงต่อมูฮำหมัดอาลาดีไม่น้อย เขาต้องเสียเวลาไปกับการขึ้นโรงขึ้นศาล เกิดความรู้สึกวิตกกังวลต่อคดีความ ทั้งยังไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้อย่างที่เคย
นอกจากส่งผลกระทบต่อผู้ถูกกล่าวหาโดยตรง การดำเนินคดียังส่งผลกระทบต่อครอบครัวของเขาด้วย มูฮำหมัดอาลาดีเป็นพ่อลูกสี่ ลูกแต่ละคนยังอายุน้อย เด็กๆ มักจะกังวลและถามกับเขาอยู่บ่อยครั้งว่า “พ่อจะติดคุกไหม” หรือ “พ่อโดนตำรวจจับหรือเปล่า”
“เราปลอบใจลูกๆ เสมอว่าพ่อไม่เป็นอะไร พวกเราจะไม่เป็นอะไร” มูฮำหมัดอาลาดีกล่าว
ทุกครั้งที่ไปศาลเขาจึงเลี่ยงไม่พาลูกและภรรยามาด้วย เนื่องจากไม่อยากให้สมาชิกครอบครัวรู้สึกเป็นห่วงหรือกังวลใจ อย่างไรก็ตาม เขากังวลด้วยว่าการที่เขาถูกดำเนินคดีอาจสร้างผลกระทบต่อสุขภาพจิตของลูก โดยเฉพาะจากการรายงานข่าวที่สร้างความเกลียดชังและการคุกคามของไอโอบนโลกออนไลน์
ทั้งนี้ มูฮำหมัดอาลาดีอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ลูกฟังอยู่เสมอ โดยเขาอธิบายกับลูกว่าความกล้าหาญและความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์คือสิ่งสำคัญ

เมื่อถามว่าหากคดีความลักษณะนี้เกิดขึ้นกับนักกิจกรรมในกรุงเทพฯ คิดว่าสังคมไทยอาจให้ความสนใจมากกว่านี้หรือเปล่า มูฮำหมัดอาลาดีตอบเพียงว่าสังคมไทยยังรู้จักพื้นที่ชายแดนใต้น้อยมาก ขณะที่สื่อมวลชนบางสำนักและไอโอยังผลิตเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังและความเป็นอื่นต่อพื้นที่สามจังหวัด อย่างไรก็ตาม เขามองว่าคนในพื้นที่เองก็ต้องสื่อสารสร้างความเข้าใจกับคนนอกพื้นที่ให้มากขึ้น
“สังคมไทยเรียนรู้เรื่องราวภูมิภาคอื่นน้อยมาก ไม่ว่าจะในหนังสือประวัติศาสตร์หรือโรงเรียน คนกรุงเทพฯ รู้จักแต่กรุงเทพฯ คนเชียงใหม่รู้จักแต่เชียงใหม่ แต่ไม่รู้จักและไม่เข้าใจอีกหลายพื้นที่ในไทยซึ่งมีอีกหลายกลุ่มชาติพันธุ์ พอความชาตินิยมไทยรุนแรงในหมู่ข้าราชการหรือคนที่มีอำนาจ ชาตินิยมไทยก็ถูกปลูกฝังจนแทบไม่เกิดการเรียนรู้วัฒนธรรมอื่น”
โดยสรุปคือ ‘เราต่างแทบไม่รู้จักคนอื่นเลย’ ซึ่งสำหรับมูฮำหมัดอาลาดี การไม่รู้จักคนอื่นอาจยิ่งทำให้สังคมเปราะบางและเกิดความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น
“เราไม่ได้ต้องการอยู่ร่วมกัน แต่เราต้องการอยู่ด้วยกัน คุณไม่จำเป็นต้องปรับตัวเหมือนเรา และเราไม่จำเป็นต้องปรับตัวเหมือนคุณ เพราะเราไม่เหมือนกันและจะไม่มีวันเหมือน ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องเหมือนกันและสามารถอยู่ด้วยกันบนความแตกต่าง”
“เราไม่จำเป็นต้องนิยามว่า ‘ประเทศไทย’ คืออะไร ไม่จำเป็นต้องนิยามว่าประเทศไทยต้องมีวัฒนธรรมเดียว แต่งกายแบบเดียว ศาสนาเดียว หรือภาษาเดียวเท่านั้น” มูฮำหมัดอาลาดีบอกกับเรา
4
หากมองเผินๆ คดี ‘ชุดมลายู’ อาจไม่ต่างอะไรจากคดีนักกิจกรรมการเมืองทั่วไป – ออกมาเคลื่อนไหว ถูกดำเนินคดี ขึ้นศาล และต่อสู้คดีตามกฎหมาย
แต่หากมองให้ลึกลงไปกว่านั้น คดีนี้สะท้อนถึงการละเมิดสิทธิและเสรีภาพการแสดงออก ทั้งยังสะท้อนปัญหาการไม่ยอมรับและไม่เข้าใจในคุณค่าอัตลักษณ์ที่หลากหลายในสังคมไทย โดยเฉพาะอัตลักษณ์ของคนมลายูชายแดนใต้ แม้การยอมรับอัตลักษณ์เหล่านั้นอาจเป็นหนึ่งในเครื่องมือแก้ไขปัญหาความขัดแย้งชายแดนใต้แบบถึงรากถึงโคนก็ตาม
“มลายูรายอคือหนึ่งในกิจกรรมเพื่อขับเคลื่อนประเด็นอัตลักษณ์ในพื้นที่สามจังหวัด” อานัส พงศ์ประเสริฐ ประธานกลุ่ม The Looker และหนึ่งในทีมงานจัดกิจกรรมมลายูรายอบอกกับเรา อานัสนิยามตัวเองว่าเป็นนักกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ (creative activist) เขาให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวเรื่องอัตลักษณ์ และมองว่ามลายูรายอคือช่องทางสื่อสารให้สังคมเข้าใจในอัตลักษณ์มลายูมุสลิม
ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเครื่องแต่งกาย อานัสทราบดีและไม่เคยบอกว่าการใส่ชุดมลายูคือเรื่องผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เขามองว่าการที่ฝ่ายความมั่นคงหวาดระแวงต่อคนจำนวนมาก -คนมลายู- ที่รวมตัวสวมใส่ชุดเพื่อแสดงอัตลักษณ์ สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นปัญหา
“เรารู้ว่ามันไม่ใช่การห้ามคนใส่ชุดมลายู แต่เป็นการเอาผิดคนมลายูที่สวมใส่ชุดมลายู ถ้าคนจังหวัดอื่นใส่ชุดมลายูขึ้นเวทีจะผิดหรือไม่ หรือเพราะวันนั้นเป็นคนมลายูที่พูดภาษามลายูจึงเกิดความระแวง”
“มันผิดเพราะเราเป็นมลายูนี่แหละ” อานัสเอ่ยอย่างราบเรียบ พลางเล่าว่าแค่การรวมตัวตั้งแคมป์ของกลุ่มที่แต่งกายด้วยชุดมลายู ร้องเพลงด้วยภาษามลายู ก็อาจถูกผู้มีอำนาจในพื้นที่ อาทิ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้ามาถามแล้วว่าเป็นใครและมาทำอะไรที่นี่ คำถามคือเจ้าหน้าที่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งอัตลักษณ์หรือเปล่า หากเป็นกลุ่มคนหรือนักร้องจากกรุงเทพฯ เหตุการณ์ลักษณะนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่
คดีชุดมลายูจึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ สำหรับอานัสสิ่งนี้คือ ‘ยอดภูเขาน้ำแข็ง’ ของความไม่เข้าใจในอัตลักษณ์มลายูมุสลิมและความขัดแย้งในสามจังหวัดชายแดนใต้

‘เรื่องมาก’ ‘ไม่ปรับตัว’ ‘ไม่ยอมลดความเป็นมลายู’ คือคำวิจารณ์บางส่วนต่อกรณีการหวงแหนอัตลักษณ์มลายูมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัด สำหรับอานัส เขามองว่าคนในสังคมไม่ควรลดความเป็นอัตลักษณ์และไม่ควรถูกจับรวมกันเป็นก้อนเพียงหนึ่งก้อน แต่ควรต้องอยู่ร่วมกันบนพื้นฐานแห่งความเข้าใจ
“ประเทศที่เขาไปได้ไกลมักมีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย ซึ่งเป็นต้นทุนที่มีมูลค่ามาก ถ้ารัฐมองเห็นสิ่งเหล่านี้จะสามารถต่อยอดในแง่ธุรกิจ การท่องเที่ยว และการส่งออก เรามีโอกาสต่อยอดด้านวัฒนธรรมเชิงเศรษฐกิจแต่กลับถูกปิดกั้นบนบรรยากาศของพื้นที่สงคราม”
หากเดินทางไปภาคเหนือจะเจอวัฒนธรรมหนึ่ง หากเดินทางไปภาคอีสานก็จะเจออีกวัฒนธรรมหนึ่ง นอกจากจะเป็นความงดงามของความหลากหลายแล้ว อานัสมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจขนาดยักษ์ที่รัฐสามารถต่อยอด อย่างกรณีชุดมลายู เขามองว่าด้วยคุณภาพอุตสาหกรรมสิ่งทอในไทยที่ขึ้นชื่อยู่แล้ว หากพัฒนาให้ดีก็สามารถผลักดันชุดมลายูให้เป็นสินค้าเศรษฐกิจได้
“นี่คือมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ฝ่ายความมั่นคงกลับลดคุณค่าและทำให้รัฐส่วนกลางเสียประโยชน์โดยไม่ได้อะไรจากสิ่งเหล่านี้เลย”
5
#อัตลักษณ์ไม่ใช่อาชญากรรม
แฮชแท็กนี้ถูกใช้เพื่อสนับสนุนนักกิจกรรมเก้าคนที่ถูกดำเนินคดี อานัสเองก็ใช้แฮชแท็กนี้เพื่อรณรงค์และสื่อสารถึงคดีดังกล่าว เขาเล่าว่า “อัตลักษณ์ที่เราพยายามนำเสนอไม่ใช่อาชญากรรม แต่คือการฟื้นฟูและทำให้คนเข้าใจในอัตลักษณ์ของเรา นี่จึงเป็นแฮชแท็กที่ครอบคลุมเจตนารมณ์”
ในวันจัดกิจกรรมมลายูรายอปี 2565 อานัสไม่สามารถอยู่ร่วมกิจกรรมเนื่องจากเขามีความจำเป็นต้องเดินทางไปจังหวัดอื่น อย่างไรก็ตาม เขาเล่าว่าก่อนการฟ้องคดีอย่างเป็นทางการ มีข่าวลือว่าเขาอาจถูกดำเนินคดีด้วย ซึ่งเขาก็ได้ท้วงติงและชี้แจงไปว่าตนไม่ได้อยู่ร่วมกิจกรรมในวันนั้นจะโดนคดีได้อย่างไร
“ไม่มีชื่อผมอยู่ในคดีชุดมลายู และไม่อยากให้มีด้วยครับ” อานัสตอบตลกร้าย แต่เมื่อถามต่อว่า คิดว่าตนเองจะกลายเป็นหนึ่งในผู้ถูกดำเนินคดีหรือไม่หากสองขายืนอยู่ในงาน เขาตอบแทบจะทันทีว่าอะไรก็เป็นไปได้ แม้แต่คนโบกรถในงานยังโดน หากเขาอยู่ตรงนั้นก็อาจโดนคดีได้เช่นกัน

การดำเนินคดีสืบเนื่องจากกิจกรรมมลายูรายอคือสิ่งที่อานัส ‘ไม่เข้าใจ’ ในความหมายที่ว่าเขาไม่เข้าใจทัศนคติของรัฐ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสันติภาพในพื้นที่ เขาอธิบายว่า “สิ่งที่เราพยายามทำคือพื้นที่ทางการเมืองสำหรับการสื่อสารและพูดคุย”
สำหรับอานัส กิจกรรมมลายูรายอคือหนึ่งในกลไกสร้างบรรยากาศการพูดคุยด้านสันติภาพ เขามองว่าการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ประชาชนได้พูดคุยและแสดงออกถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการลดความขัดแย้ง แต่บ่อยครั้งเขาและเพื่อนๆ กลับรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่รัฐกำลังจำกัดสิทธิ
“การพูดคุยสันติภาพไม่ใช่แค่เรื่องของรัฐบาลหรือเรื่องของบีอาร์เอ็นเท่านั้น องค์ประกอบสำคัญคือประชาชนที่อยู่ที่นี่ ซึ่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมมลายูรายอล้วนเป็นประชาชน เราพยายามสร้างพื้นที่ให้ประชาชนได้แสดงออกบนพื้นที่แห่งความขัดแย้ง” อานัสว่าอย่างนั้น
6
“สันติภาพที่คุณอยากได้หน้าตาเป็นอย่างไร” ฉันถาม
“ไม่มีเสียงปืน ไม่มีเสียงระเบิด รากเหง้าปัญหาถูกแก้ไข ทุกคนเท่าเทียมกันทุกอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องอัตลักษณ์” มูฮำหมัดอาลาดีว่า สำหรับเขา ความเท่าเทียมคืออิสรภาพที่ประชาชนสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมี ‘แต่’ ค้ำคอตลอดเวลา
เขาฝันใฝ่ถึงชายแดนใต้ที่ไม่มีความรุนแรง ปราศจากการกดขี่เชิงโครงสร้าง เกิดการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ขณะที่คนในพื้นที่มีอำนาจจัดการเศรษฐกิจและทรัพยากรของตัวเอง
มูฮำหมัดอาลาดีคือผู้ใหญ่ที่เติบโตและใช้ชีวิตท่ามกลางความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัด ภาพทหาร ด่านตรวจ และอาวุธกลายเป็นภาพที่เห็นจนชินตา อย่างไรก็ตาม เขาอยากเปลี่ยนแปลงไม่ให้ลูกหลานในอนาคตต้องเติบโตมาในสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้
“เราต้องไม่ส่งต่อความรุนแรงให้ลูกหลาน ให้มันจบที่รุ่นเรา อาจเกิดขึ้นตอนที่เราตายไปแล้วก็ได้”
บทสนทนาเดินทางถึงปลายทาง คำถามสุดท้ายจากปากฉันถูกเอื้อนเอ่ย ออกจะเป็นคำถามที่กำปั้นทุบดินไปสักหน่อย ฉันถามเขาว่าชอบออกมาเคลื่อนไหวหรือไม่
“ไม่ชอบ ถ้าเลือกได้เราไม่อยากออกมาเคลื่อนไหวทำกิจกรรม เราอยากปั่นจักรยาน อยากอยู่กับธรรมชาติ อยากอยู่ที่แม่น้ำ ภูเขา และทะเล แต่นี่คือสิ่งที่เราต้องทำ”
“ถ้าโลกนี้มีสันติภาพ ตอนนั้นผมคงจะต้มกาแฟและปั่นจักรยาน ส่วนลูกก็คงจะทำตามความใฝ่ฝันของตัวเอง ลูกคนโตคงปั่นจักรยานรอบโลก ลูกคนที่สองคงปั่นจักรยานไปนครเมกกะ ถ้าผมไม่โดนคดีตอนนี้คงปั่นจักรยานอยู่ที่อินโดนีเซียแล้ว” มูฮำหมัดอาลาดีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
