เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เกิดคดีสะเทือนขวัญที่เมืองกัลกัตตา เมืองเอกของรัฐเบงกอลตะวันตกของอินเดีย คดีนี้ไม่เพียงโด่งดังในประเทศอินเดียเท่านั้น แต่ยังเป็นที่จับตาไปทั่วโลก โดยคดีสะเทือนขวัญนี้เกิดขึ้นในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงกัลกัตตา เมื่อมีผู้พบศพนักศึกษาแพทย์ภายในห้องสัมมนาของสถาบัน จากการชันสูตรเบื้องต้นพบว่าเธอถูกข่มขืน และถูกฆ่าในท้ายที่สุด
คดีนี้ได้ปลุกกระแสความไม่พอใจต่อรัฐบาลรัฐเบงกอลตะวันตกเป็นอย่างมาก ที่สำคัญ ยังนำมาซึ่งการประท้วงใหญ่ทั่วอินเดีย เพื่อเรียกร้องการให้ความสำคัญต่อสิทธิและเสรีภาพ รวมถึงการเคารพต่อสตรีให้มากยิ่งขึ้น เพราะสถานที่เกิดคดีเป็นถึงโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ที่ซึ่งควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ แต่จนแล้วจนรอดก็เกิดคดีข่มขืนขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอายเป็นอย่างมาก
คดีข่มขืนนี้ได้กลับมาหลอกหลอนสังคมอินเดียอีกครั้ง ภายหลังจากที่อินเดียเคยมีประท้วงใหญ่เกี่ยวกับเหตุการณ์ข่มขืนฆ่าสะเทือนขวัญใจกลางกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย เมื่อช่วงปี 2012 ต่อมา เหตุการณ์นี้ได้ถูกนำมาสร้างเป็นซีรีส์ในชื่อ ‘Delhi Crime’ โดย Netflix เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ถือเป็นการตอกย้ำว่าสังคมอินเดียยังคงมีความไม่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงอยู่ ดังที่มีข้อมูลจากหลายสำนักจัดอันดับที่สะท้อนตัวเลขสถิติเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมา
คดีที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลสะท้านสะเทือนในหลายแวดวงของอินเดีย ตั้งแต่ระดับการเมืองภาพใหญ่ ไปจนถึงครอบครัว เพราะไม่เพียงเรื่องนี้จะเป็นกรณีการข่มขืนเท่านั้น แต่จากข้อมูลการสืบสวนเบื้องต้น เหตุการณ์นี้เชื่อมโยงกับความพยายามเปิดโปงการทุจริตภายในโรงพยาบาลของเหยื่อด้วย เหตุการณ์นี้จึงเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่บทความชิ้นนี้จะพาทุกท่านทำความเข้าใจปรากฎการณ์ต่างๆ ภายในอินเดีย ภายหลังจากเกิดคดีข่มขืนฆ่าสะเทือนขวัญนี้
เกิดอะไรขึ้นที่กัลกัตตา อินเดีย
ก่อนที่จะทำความเข้าใจสถานการณ์ภาพรวมของแรงโกรธแค้น และความเคลื่อนไหวหลังเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญในครั้งนี้ เราอาจจำเป็นต้องทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นจริงจากเคสนี้เสียก่อน เพื่อให้รับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกร่วมที่สังคมอินเดียมีพร้อมกัน ภายหลังจากคดีนี้ถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นและข้อมูลการสืบสวนถูกปล่อยออกมาเป็นระยะๆ ที่สำคัญเรื่องราวไม่จบเพียงแค่ในระดับรัฐ แต่กลับขยายวงกว้างไปทุกภาคส่วนของอินเดียอีกด้วย
หากจะเริ่มเรื่องราวก็คงต้องปักหมุดไว้ที่วันที่ 9 สิงหาคม 2024 เมื่อมีผู้พบเหยื่อ (นักศึกษาแพทย์) เสียชีวิตในห้องสัมมนาของในโรงพยาบาลวิทยาลัยการแพทย์ R.G. Kar เพื่อนร่วมงานของเหยื่อให้การว่าเหยื่อทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน จึงปลีกตัวออกไปพักผ่อน แต่เนื่องจากโรงพยาบาลไม่มีสถานที่พักผ่อนสำหรับแพทย์โดยเฉพาะ เหยื่อจึงใช้ห้องสัมมนาเป็นที่พักผ่อนมาโดยตลอดก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ตำรวจเริ่มการสืบสวนตั้งแต่วันที่พบศพก่อนที่จะสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ในวันที่ 10 สิงหาคม ซึ่งผู้ต้องสงสัยนั้นเป็นอาสาสมัครที่เข้ามาทำงานในโรงพยาบาล
ข่าวที่สะพัดออกไปจากกรณีการข่มขืนฆ่าในโรงพยาบาลแพทย์นี้ได้ปลุกกระแสการประท้วงที่รุนแรงภายในอินเดีย ในคืนวันเดียวกันกับที่มีการพบศพผู้เสียชีวิต สตรีชาวอินเดียในเมืองกัลกัตตาได้พร้อมใจกันออกมาเดินขบวนประท้วง เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการสืบสวนคดีนี้อย่างเร่งด่วน และดำเนินการกับผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาด โดยการเดินขบวนประท้วงนี้มีเป้าหมายสำคัญคือการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต พร้อมๆ กับการเรียกร้องให้สังคมอินเดียให้ความสำคัญกับสิทธิสตรีมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าการเดินขบวนประท้วงของเหล่าบรรดาสตรีไม่ได้จบเพียงวันเกิดเหตุ แต่กินระยะเวลายาวนานจนกระทั่งถึงวันครบรอบปีที่ 77 ที่อินเดียได้อิสรภาพจากอังกฤษในวันที่ 14 สิงหาคม เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน เสียงเพลงชาติอินเดียดังขึ้นพร้อมๆ กับการเดินขบวนท่ามกลางสายฝนที่มีสตรีหลายหมื่นคนมารวมตัวกัน ภายในขบวนประท้วงมีการกู่ตะโกนถึงความอัดอั้นของผู้ชุมนุมเป็นระยะๆ เช่น “พวกเราไม่เคยได้รับความเคารพที่แท้จริง” “พวกเรามีสถานะไม่ต่างอะไรไปจากวัวและแพะ” “เมื่อไหร่พวกเราจะได้อิสรภาพที่แท้จริง” “เราต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะทำงานได้โดยไม่ต้องกลัว” เป็นต้น นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากเสียงกู่ร้องตะโกนของผู้ชุมนุมที่ออกมารวมตัวกัน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องพื้นฐานอย่างสิทธิสตรีให้มากยิ่งขึ้น
ปัญหาการข่มขืน และคำถามต่อสถานะสตรีของอินเดีย
ความโกรธเคืองและความไม่พอใจจากกรณีการข่มขืนฆ่าในสถาบันการศึกษาด้านการแพทย์ในอินเดียครั้งนี้ นำมาซึ่งคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมาอีกครั้งเกี่ยวกับบทบาทและสิทธิของสตรีในอินเดีย เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่ารัฐบาลอินเดียจะพยายามบอกกับประชาคมโลกว่าได้มีความพยายามอย่างมากในการสร้างความเท่าเทียมระหว่างชายและหญิงมากขึ้น แต่เหตุการณ์ข่มขืนฆ่าในกัลกัตตาครั้งนี้ทำให้หลายคนกลับมาฉุกคิดอีกครั้งว่าสถานะของสตรีในอินเดียสูงขึ้นจริงหรือ?
นั่นก็เพราะกัลกัตตาถือเป็นเมืองใหญ่และเมืองสำคัญที่ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงมีบทบาทมากที่สุดในประเทศอินเดีย ถึงขนาดที่มุขมนตรีคนปัจจุบันก็เป็นผู้หญิง และครองอำนาจมาอย่างยาวนาน กัลกัตตาถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่ผู้หญิงมีความปลอดภัยในการใช้ชีวิต และผู้หญิงก็มีสิทธิและบทบาทในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมากที่สุดของอินเดีย เพราะขนาดเทพที่คนกัลกัตตานับถือบูชามากที่สุดก็คือเทพสตรี อย่างพระแม่ทุรคาหรือพระกาลี ด้วยเหตุนี้เองเหตุการณ์ข่มขืนฆ่าในกัลกัตตากลางโรงพยาบาลจึงจุดชนวนประท้วงใหญ่ทั่วทั้งอินเดียได้ และชวนให้หลายคนตั้งคำถามต่อการทำงานในการส่งเสริมความปลอดภัยให้กับผู้หญิงของภาครัฐ
เมื่อนานมาแล้ว ผมได้มีโอกาสเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องสิทธิสตรีในอินเดีย ไม่น่าเชื่อว่าผ่านมา 6 ปี เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นประเด็นร่วมสมัยอยู่ ครั้งก่อนผมได้สรุปไว้ว่าแม้สถานะทางการเมืองของผู้หญิงอินเดียจะมากขึ้น แต่ภาพรวมในระดับสังคมและครอบครัว สถานะของผู้หญิงอินเดียยังอยู่ค่อนข้างห่างไกลกับคำว่าเท่าเทียมพอสมควร แต่กระนั้นสังคมอินเดียก็ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ และที่เราเห็นได้ชัดก็คือการที่ผู้หญิงไม่ยอมทนต่อความอยุติธรรมอีกแล้ว การประท้วงที่เกิดขึ้นในกัลกัตตาและหลายเมืองใหญ่จากคดีข่มขืนล่าสุดสะท้อนสิ่งเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
ในประวัติศาสตร์สังคมอินเดียที่ผ่านมา เสียงของสตรีอินเดียเคยเงียบสนิทตั้งแต่ระดับครอบครัว ไปจนถึงการเมืองชั้นสูง แต่ในวันนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เสียงของเธอและเขาเหล่านั้นถูกได้ยิน ยิ่งเมื่อมีการรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องสิ่งใดสิ่งหนึ่ง พวกเธอก็มักจะได้รับ นี่คือวิวัฒนาการทางสังคมอินเดียเกี่ยวกับสิทธิสตรีที่ค่อนข้างสำคัญ แม้ว่าในเชิงโครงสร้างภาพใหญ่ สิทธิสตรีในทางกฎหมายหลายประการยังคงถูกจำกัด และนโยบายของรัฐหลายรัฐ ยังคงมองไม่เห็นบทบาทของสตรีมากเท่าที่ควรจะเป็น กระนั้นก็ต้องยอมรับว่า แม้อินเดียจะยังเป็นประเทศที่ไม่ค่อยปลอดภัยสำหรับผู้หญิง แต่เรื่องราวเหล่านี้ก็เกิดพลวัตตลอดมา โดยเฉพาะการรวมพลังกันที่เข้มแข็งมากขึ้นของกลุ่มสตรีที่ในอดีตไม่ค่อยมีมาก่อนด้วยซ้ำ อย่างน้อยนี่ก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดีสำหรับสังคมอินเดียในอนาคต
จากคดีข่มขืนสู่ปัญหาการทุจริตในวงการแพทย์
อย่างไรก็ตามคดีข่มขืนฆ่าในรอบนี้ดูเหมือนว่าจะไปไกลเกินกว่าการฆาตกรรมของผู้ต้องสงสัย เพราะเมื่อตำรวจสอบสวนกลางได้ลงมาทำคดีเองก็พบกับข้อสงสัยในพยานหลักฐานมากมาย ที่บ่งชี้ว่าการกระทำความผิดในครั้งนี้ อาจมีผู้มีส่วนให้ความช่วยเหลือเป็นคนใหญ่คนโตภายในวิทยาลัยแพทย์แห่งนี้ ข่าวการสืบสวนที่แพร่ออกไปส่งผลให้สังคมกดดันกระบวนการทำงานของตำรวจและรัฐบาลรัฐเบงกอลตะวันตกเป็นอย่างมาก นำมาซึ่งการสั่งพักงานและปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีส่วนเกี่ยวข้องมากมาย ที่สำคัญไปกว่านั้น ยังมีการอายัดเอกสารมากมายของอดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยแพทย์แห่งนี้ ซึ่งข้อมูลเบื้องต้นระบุว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับเงินทุจริตที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาล
แต่ที่ร้ายแรงไปกว่านั้นคือการสอบสวนเบื้องต้นพบว่าอดีตผู้อำนวยการคนนี้มีส่วนต่อการเข้าไปขัดขวาง และมีส่วนรู้เห็นในการทำให้การยื่นรายงานข้อมูลเบื้องต้น (First information report: FIR) ล่าช้า และจัดการหลักฐานสำคัญในคดีอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นการร่วมมือกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ โดยการสืบสวนพบว่าพวกเขาทั้งสองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานสำคัญ ซึ่งส่งผลให้การสืบสวนหลงทิศทาง โดยเหตุการณ์จับกุมบุคคลทั้งสองเกิดขึ้นภายหลังเหตุการณ์ข่มขืนฆ่าไปแล้วถึงหนึ่งเดือนเต็ม และดูเหมือนว่าจากการสืบสวนในเชิงลึก การเสียชีวิตของเหยื่อจะมีส่วนพัวพันกับการทุจริตภายในโรงพยาบาลด้วย
แน่นอนว่าข้อมูลใหม่นี้ส่งผลให้เกิดการหยุดงานประท้วงครั้งใหญ่ของบรรดาแพทย์ทั้งหลายเกือบทั่วทั้งอินเดีย โดยพวกเขาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปโครงสร้างระบบสาธารณสุขใหม่ทั้งหมด และลดบทบาทอำนาจของฝ่ายบริหารที่มีส่วนต่อการกดดันและบีบบังคับให้เกิดการทุจริตในวงการแพทย์ของอินเดีย พร้อมเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกฎหมาย และเพิ่มแนวทางการปกป้องผู้แจ้งเบาะแสทางการทุจริต อันจะนำมาซึ่งการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นที่กัลกัตตาเป็นครั้งที่สอง
ข้อเรียกร้องดังกล่าวของบรรดาผู้ชุมนุมได้ส่งเสียงไปถึงศาลสูงสุดของอินเดีย โดยศาลได้มีคำสั่งให้รัฐบาลรัฐเบงกอลตะวันตก รวมถึงรัฐบาลรัฐอื่นๆ ในอินเดียออกมาตรการทางกฎหมายเฉพาะขึ้นเพื่อปกป้องการทำงานของแพทย์ให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ผ่านการติดตั้งกล้องวงจรปิด มีระบบการร้องเรียนผู้บริหารระดับสูงที่ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน ตลอดจนยกระดับมาตรฐานกฎหมายให้เป็นสากลมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในวงการแพทย์ และวงการอื่นๆ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ดูเหมือนว่าเรื่องราวคดีข่มขืนฆ่าในกัลกัตตา ณ เวลานี้ แม้ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน แต่หลักฐานหลายอย่างชี้ว่าทั้งผู้กระทำผิด อดีตผู้อำนายการ และเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ ล้วนมีส่วนพัวพันกับการกระทำผิดในครั้งนี้ โดยหลายฝ่ายคาดว่าส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากเหยื่ออาจไปรู้เห็นการทุจริตบางอย่างของเครือข่ายนี้ นำมาซึ่งการพยายามฆ่าปิดปากในท้ายที่สุด ไม่ว่าผลสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร ในไม่กี่วันมานี้รัฐบาลรัฐเบงกอลตะวันตกได้มีการแก้ไขกฎหมายการข่มขืนใหม่ ให้โทษสูงสุดคือการประหารชีวิต ซึ่งถือเป็นรัฐแห่งแรกของอินเดียในเวลานี้