เป็นระยะเวลายาวนานกว่าทศวรรษที่ประเทศไทยดำเนินมาตรการปราบปรามยาเสพติดด้วยโทษรุนแรง ด้วยเชื่อว่าจะทำให้ปัญหาหมดไป แต่ที่ผ่านมา ยาเสพติดกลับไม่เคยหายไปไหน และตรงกันข้าม กลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ยังไม่นับว่ามีปัญหาอื่นๆ ที่เป็นผลพวงของการปราบปรามยาเสพติด ทั้งคนล้นคุก การกลับมาติดยาเสพติดซ้ำ หรืออาชญากรรมต่างๆ อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกิดแค่ในไทยเท่านั้น หลายประเทศทั่วโลกต่างประสบปัญหาคล้ายกัน จนนำมาสู่ได้ข้อสรุปว่าการปราบปรามยาเสพติดด้วยวิธีรุนแรงไม่ใช่ทางออกที่ดี และเราต้องหาแนวทางการแก้ไขปัญหาใหม่ๆ
นั่นเป็นที่มาของกฎหมายด้านยาเสพติดใหม่ 2 ฉบับในไทย คือ พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2564 ซึ่งบังคับใช้เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2564 ที่ผ่านมา โดยถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่เปลี่ยนมุมมองการแก้ไขปัญหายาเสพติดจากการ ‘ปราบปราม’ สู่ ‘บำบัด’ กล่าวคือเน้นบำบัดรักษาผู้เสพให้กลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้ มากกว่าลงโทษคุมขังในเรือนจำ และมีตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิต
จากวันนั้นจนถึงตอนนี้ ปัญหายาเสพติดในไทยเปลี่ยนไปเช่นไร? วันโอวันชวนมองปัญหายาเสพติดให้ลึกถึงต้นตอปัญหาที่ยังคงคั่งค้าง ไปจนถึงการแก้ไขและป้องกันความเสี่ยงในอนาคต จากมุมของคนทำงานเยียวยาผู้ติดยาเสพติด เพื่อค้นหาแง่มุมใหม่ ตลอดจนวิธีแก้ไขที่ครอบคลุม รอบด้าน และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อคิดเห็นโดย…
– อภิรดี โพธิ์พร้อม ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา
– แพทย์หญิงดวงดาว ศรียากูล รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลเพชรบูรณ์
– นายแพทย์สันติ ลาภเบญจกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าวุ้ง และเลขานุการมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
– นายแพทย์อภินันท์ อร่ามรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการสารเสพติดภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
หมายเหตุ : สรุปความจากเวทีเสวนา หัวข้อ ‘ฝ่าวิกฤตยาเสพติด Justice in Action‘ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการประชุมวิชาการระดับชาติว่าด้วยงานยุติธรรม ครั้งที่ 22 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 โดยสำนักงานกิจการยุติธรรม
ต้นตอของปัญหายาเสพติดอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด
เริ่มต้นจาก แพทย์หญิงดวงดาว ศรียากูล ที่บอกเล่าจากประสบการณ์การทำงานเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดของตัวเอง เธอระบุว่าจากสิ่งที่ค้นพบจากข้อมูลสถิติในศูนย์คัดกรองและค่ายบำบัดตลอดหลายปีที่ผ่านมา คือคนที่เข้ารับการบำบัดเพราะเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมีอายุต่ำสุดที่11-12 ปี นั่นหมายความว่าเด็กส่วนหนึ่งในสังคมไทยสามารถเข้าถึงยาเสพติดได้ตั้งแต่อายุยังน้อย และเติบโตมาในชุมชน โรงเรียน หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม
เธอยกตัวอย่างกรณีที่เคยเจออย่างเด็กบางคนไม่ไปโรงเรียน หายตัวไปเป็นเดือนๆ เมื่อครูรับทราบและไปหาที่บ้าน กลับพบว่าเด็กเผชิญปัญหาความรุนแรงในครอบครัว และเสพยาเสพติด จนกลายเป็นที่มาของพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือเด็กบางคนเกิดในเรือนจำเพราะมีพ่อแม่เป็นนักโทษ เมื่อญาติรับมาเลี้ยงดูก็ประสบปัญหาฐานะขัดสน เนื่องจากพ่อแม่ซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวติดคุก ไม่มีรายได้เพียงพอกับรายจ่าย พอเด็กโตขึ้นจึงอยากช่วยทางบ้านหาเงิน เกิดเป็นความเสี่ยงให้ข้องเกี่ยวกับสิ่งไม่เหมาะสม
ดังนั้น หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน แพทย์หญิงดวงดาวมองว่าการที่เยาวชนเข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดเกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกัน
ปัจจัยที่หนึ่ง คือปัจจัยทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางพันธุกรรม การทำงานของสมอง ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจและควบคุมตนเอง
ปัจจัยที่สอง คือปัจจัยทางพฤติกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลักษณะของช่วงวัยรุ่นที่ชอบความท้าทายและสิ่งแปลกใหม่ เรียกว่า ‘Sensation Seeking’ หรือพฤติกรรมอยากรู้อยากลอง
ปัจจัยที่สาม คือการใช้สารเสพติดเป็นกลไกการเผชิญปัญหา (Coping Mechanism) เด็กอาจเรียนรู้จากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม อย่างครอบครัวและชุมชน ทั้งรูปแบบการเลี้ยงดู ความสัมพันธ์ในครอบครัว การมีภาพจำหรือแบบอย่างการใช้สารเสพติดจากสมาชิกในครอบครัว ไปจนถึงความง่ายในการเข้าถึง และความแพร่หลายของยาเสพติดในสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ทำให้เด็กเลือกใช้สารเสพติดเป็นทางออกเมื่อเจอปัญหาชีวิต อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์อาจลงเอยที่ปัญหายาเสพติดในชุมชนยิ่งทวีความรุนแรง วนเวียนเป็นวงจร รวมถึงเป็นสาเหตุของพฤติกรรมไม่เหมาะสมอื่นๆ ตามมา
จากปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการประยุกต์ใช้โมเดลในการป้องกันและแก้ไขปัญหารอบด้าน ประกอบไปด้วย การแทรกแซงทางชีวภาพ คือการบำบัดด้วยยา (Medication Therapy) การจัดการถอนยา ไปจนถึงการฟื้นฟูสมดุลสารเคมีในสมอง
การแทรกแซงทางจิตสังคม คือการบำบัดความคิดและพฤติกรรม เสริมสร้างแรงจูงใจ พัฒนาทักษะชีวิตและการจัดการปัญหา
และ การแทรกแซงทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งมุ่งเน้นการบำบัดครอบครัว สร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยในชุมชนที่จะช่วยลดการเข้าถึงยาเสพติด
เช่นเดียวกับความเห็นของแพทย์หญิงดวงดาว นายแพทย์อภินันท์ อร่ามรัตน์ เสริมว่าสาเหตุของการใช้สารเสพติดส่วนมากมักเกิดจากเหตุจูงใจรอบตัวผู้เสพ เช่น เด็กโตมาในครอบครัวที่ใช้ยาเสพติด มีปัญหาความยากจน และปัญหาการศึกษาที่บีบให้ต้องค้ายาเสพติด เป็นต้น
นอกจากนี้ จากสถิติยังพบว่าปัญหายาเสพติดในไทยส่วนใหญ่มักเกิดตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น ทำให้เกิดวงจรเสพยาเสพติดซ้ำได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘สุรา’ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของสารเสพติดที่เข้าถึงง่ายและสะดวก ทำให้คนติดสุราเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน
“บางคนที่เสพยาเสพติด เพราะต้องการหลีกหนีจากความเครียด หรือทำงานที่ต้องใช้แรงงาน จึงต้องการหาตัวช่วยที่จะทำให้ทำงานหนักทั้งวันทั้งคืนได้ไหว แต่ความน่ากลัวของยาเสพติดคือเมื่อเสพไปมากเข้า ก็จะกลายเป็นวงจรของการเสพติดที่ออกได้ยาก และรู้สึกเสพติดมากกว่าเดิม ท้ายที่สุดก็จะเริ่มดื้อยา จนต้องเพิ่มปริมาณสารเสพติดไปเรื่อยๆ เปรียบเทียบให้เห็นภาพคือการที่บางคนต้องกินกาแฟทุกวันเพื่อให้มีแรงทำงาน” นายแพทย์อภินันท์กล่าว
“เมื่อเสพจนกลายเป็นความเคยชิน สมองก็จะจดจำและเสพติดสารนั้นตามไปด้วย ทำให้หลักการและเหตุผลที่ควรจะมีหายไป และสั่งการตัวเองให้ทำทุกอย่างเพื่อจะได้สารเสพติดมาเสพอย่างต่อเนื่อง”
กระบวนการยุติธรรมที่ให้โอกาส ‘ผู้เสพ’
เมื่อปัญหายาเสพติดไต่ระดับมาถึงกระบวนการยุติธรรม อภิรดี โพธิ์พร้อม ระบุว่าวันนี้อยากให้ทุกคนเปลี่ยนแนวคิดจากการไล่ล่า หรือเปิดฉากสงครามยาเสพติด มาเป็นการมอง ‘ผู้เสพ’ เป็น ‘ผู้ป่วย’ เช่นเดียวกับระบบศาลที่เปลี่ยนจากการตัดสินลงโทษผู้เสพ มาเป็นการให้คำปรึกษาและบำบัดรักษา โดยมีประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 เป็นตัวกลางวางบทบาทหน้าที่ของแต่ละองค์กรและหน่วยงานให้เชื่อมต่อร้อยเรียงกันอย่างเป็นระบบ
อภิรดีอธิบายว่า เมื่อมีการจับกุมคดียาเสพติดและเข้าสู่ชั้นศาล ผู้ต้องหาสามารถเลือกเข้ารับการบำบัดยาเสพติดตามความสมัครใจได้ เป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยยังไม่ถูกดำเนินคดี แต่หากไม่เลือกบำบัด และถูกส่งตัวไปดำเนินคดี ก็ยังมีช่องทางให้ศาลดูแลนักโทษเหล่านี้ในฐานะผู้ป่วยได้แทนการลงโทษจำคุก โดยเฉพาะผู้ต้องหาที่ไม่มีคดีอื่นติดพันอยู่ หรือกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมให้ผู้ต้องหาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมติดยาเสพติดของตนเอง เช่น การใช้ระบบคลินิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคม
ทั้งนี้ เนื่องจากคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเกิดจากปัจจัยที่แตกต่างกันไป ทั้งปัญหาความยากจน ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาสุขภาพ ฯลฯ ศาลจึงใช้วิธีการทางจิตวิทยาทำงานกับคนเหล่านี้ ผ่านคลินิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาลทั่วประเทศไทย โดยคลินิกจะทำงานเป็นส่วนหนึ่งในศาล ประกอบไปด้วยนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ผู้ให้คำปรึกษา ช่วยสร้างกำลังใจในการปรับปรุงชีวิตแก่ผู้ถูกดำเนินคดี เพื่อให้มองเห็นปัญหาและแนวทางแก้ไขร่วมกัน
อภิรดีเน้นย้ำว่าระบบคลินิกต้องดำเนินงานควบคู่ไปกับกระบวนการในชั้นศาล โดยศาลจะทำงานกับข้อมูลความเป็นจริงด้านภาวะจิตใจของผู้ต้องหา ใช้กลไกด้านอาชญาวิทยาเพื่อการบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยนอกเหนือไปจากการตัดสินโทษ เพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน และผลการดำเนินการที่ผ่านมาพบว่า การพัฒนาระบบนี้ช่วยลดปัญหานักโทษล้นคุก รวมถึงปัญหาการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องหาคดียาเสพติดได้เป็นจำนวนมาก
“อันดับแรกเราเปิดโอกาสให้ได้สมัครรับการรักษา แต่ถ้าผู้ต้องหายังไม่สมัครใจในทีแรก ระบบยุติธรรมก็ยังไม่ปล่อยมือเขา แต่จะมีพื้นที่อย่างคลินิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมที่จะคู่ขนานไปกับกระบวนการศาล เพื่อไม่ให้เกิดการกระทำผิดซ้ำเกิดขึ้นอีก” อภิรดีกล่าว
“หากเรามองว่าคนติดยาเสพติดเป็นผู้ช่วย เราจะเข้าใจว่าการคุมขังคนป่วยไม่ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไร แต่การบำบัดรักษาจนหายขาดจะเกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวผู้ป่วยและสังคมมากกว่า ทั้งนี้ก็เพื่อมองไปถึงอนาคนไม่ให้จำนวนผู้ใช้เสพติดเพิ่มมากทุกวัน”
ป้องกันปัญหาที่ต้นน้ำ ด้วยการสร้างพื้นที่ปลอดภัยแก่เด็ก
เพื่อลดปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน อาจต้องแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำ ดังที่ นายแพทย์สันติ ลาภเบญจกุล ระบุว่าเด็กและเยาวชนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดส่วนใหญ่เป็นเด็กกลุ่มเปราะบาง มีปัญหาทางครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่เติบโตมา ทั้งยังไม่มีคนไว้ใจคอยให้คำปรึกษาในการดำเนินชีวิต เมื่อหาที่พึ่งไม่ได้ เด็กจำนวนมากจึงเลือกหันไปพึ่งยาเสพติดตั้งแต่อายุยังน้อย กระทั่งกลายเป็นการเสพติดจนแก้ไขได้ยาก
หากเราสามารถประคับประคองเด็กกลุ่มเปราะบางทั้งร่างกายและจิตใจ ผ่านการสร้างความไว้วางใจแก่ผู้ใหญ่ และมีพื้นที่ปลอดภัยให้เด็ก จะช่วยลดความเสี่ยงที่เยาวชนจะหันไปพึ่งพายาเสพติดได้ กลายเป็นที่มาของ ‘โครงการครูนางฟ้า’ ซึ่งจัดอบรมเสริมศักยภาพครูเพื่อช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษาด้วยองค์ความรู้ทางจิตวิทยาสังคม โดยมีทีมแพทย์ช่วยถ่ายทอดเทคนิคการเข้าถึงและเยียวยาเด็กในเชิงจิตวิทยา
นายแพทย์สันติเผยว่าจากผลงานหลังดำเนินโครงการไป 3 เดือนในโรงเรียนต้นแบบแรกเริ่ม พบว่าจากนักเรียนกลุ่มเปราะบางกว่า 30.48% ที่มีภาวะซึมเศร้า ขาดเรียน มีความเสี่ยงในการทำร้ายตัวเองและใช้สารเสพติด ลดลงเหลือเพียง 7.32%
“หัวใจสำคัญของการเป็นครูนางฟ้า คืออย่าด่วนตัดสินและฟังให้เป็น เพราะผมเชื่อว่ามนุษย์เราต้องการการรับฟังตอนที่มีปัญหา ยิ่งเด็กมีที่พึ่งในวันที่เขามีปัญหา แนวโน้มที่เด็กจะหันไปพึ่งยาเสพติดก็จะยิ่งลดน้อยลง”
“การแก้ปัญหาอย่าเสพติดมีหลายวิธี และวิธีหนึ่งที่สำคัญคือการป้องกันตั้งแต่ต้นทางไม่ให้เยาวชนข้องเกี่ยวกับยาเสพติดจนถลำลึกเป็นผู้ต้องหา หรือผู้เสพติดยาในอนาคต” นายแพทย์สันติกล่าวทิ้งท้าย