หากจะกล่าวถึงนักคิดคนสำคัญระดับโลกในวงวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ชื่อของศาสตราจารย์โจเซฟ เอส. ไนย์ จูเนียร์’ (Joseph S. Nye Jr.) หรือ โจเซฟ ไนย์ คงเป็นชื่อแรกๆ ที่ใครหลายคนนึกถึง
ไนย์สร้างคุณูปการไม่เพียงในฐานะนักวิชาการเจ้าของทฤษฎี ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ (soft power) อันทรงอิทธิพลและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย หากแต่รวมถึงบทบาทของเขาในฐานะอาจารย์และอดีตคณบดีที่วิทยาลัยฮาร์วาร์ดเคนเนดี้ (Kennedy School of Government) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นอกเหนือจากนั้น เขายังมีบทบาทด้านการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฝ่ายกิจการความมั่นคงระหว่างประเทศ ในสมัยของประธานาธิบดี บิล คลินตัน
การจากไปของไนย์ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมา นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ แต่แนวคิดที่เขาได้วางรากฐานไว้ยังคงทรงอิทธิพลต่อทั้งนโยบายระหว่างประเทศและกรอบการมองโลกของเหล่าสาธารณชน ในห้วงเวลาที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกากำลังสั่นสะเทือนภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ บทความนี้จึงอยากชวนย้อนสำรวจสายธารความคิดของไนย์ โดยเฉพาะบทวิเคราะห์ในช่วงท้ายของชีวิตที่เขาได้ทำนายอนาคตของซอฟต์พาวเวอร์สหรัฐอเมริกา
1.
ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นซอฟต์พาวเวอร์สหรัฐอเมริกา จำเป็นจะต้องย้อนกลับไปสำรวจสำนักคิดของไนย์ ผ่านแนวคิดสำคัญที่เขาร่วมพัฒนาขึ้นกับโรเบิร์ต โคเฮน (Robert O. Keohane) อย่าง ‘การพึ่งพากันแบบสลับซับซ้อน’ (complex interdependence) ซึ่งเสนอว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องความมั่นคงทางทหาร หากแต่เชื่อมโยงกันในหลากหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม
จากแนวคิดดังกล่าว ไนย์และโคเฮนร่วมกันวางรากฐานทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบ liberal institutionalism ขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970 ท่ามกลางบริบทสงครามเย็น โดยแนวคิดนี้เชื่อว่าความร่วมมือระหว่างรัฐเป็นไปได้ หากสถาบันอย่างองค์กรระหว่างประเทศเข้ามามีบทบาทสำคัญในการลดความขัดแย้ง สร้างกฎกติกา และส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกัน
เมื่อทำความเข้าใจที่รากฐานความคิดของไนย์ จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดผลงานสำคัญที่ทำให้ไนย์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง คือการบัญญัติคำว่า ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ (soft power) ซึ่งถือได้ว่าเป็นการขยายกรอบความเข้าใจเรื่องอำนาจในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้กว้างไกลกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต ในห้วงเวลาที่รัฐแข่งขันและต่อสู้กันแย่งชิงอำนาจ
นิยามของอำนาจคือความสามารถในการทำให้ผู้อื่นทำสิ่งที่เราอยากให้ทำ ไนย์แยกอำนาจออกเป็นสองประเภทหลัก คือ 1) ฮาร์ดพาวเวอร์ (hard power) ซึ่งเป็นการให้ผู้อื่นทำสิ่งที่เราอยากให้ทำโดยการบีบบังคับ เช่น การใช้อำนาจทางการทหาร หรือการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และ 2) ซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งคืออำนาจที่เป็นความสามารถในการดึงดูดให้ผู้อื่นเลือกทำในสิ่งที่เราต้องการโดยสมัครใจ โดยเขาเปรียบเทียบว่าหากฮาร์ดพาวเวอร์ถูกใช้ผ่านมาตรการให้รางวัลและบทลงโทษ (carrot and stick) ซอฟต์พาวเวอร์กลับเป็นน้ำผึ้ง (honey) ที่ดึงดูดใจให้ผู้อื่นเข้ามาหาเราด้วยตนเอง โดยอาจเป็นได้ทั้งค่านิยมและวัฒนธรรมของประเทศ
ทั้งนี้ ซอฟต์พาวเวอร์และฮาร์ดพาวเวอร์เติมเต็มซึ่งกันและกัน ไนย์กล่าวว่าการใช้ซอฟต์พาวเวอร์คือหนทางลดการใช้มาตรการแบบ carrot and stick ที่ต้องลงแรงและทรัพยากรมหาศาล ซอฟต์พาวเวอร์จึงเป็นพลังที่ยั่งยืนในระยะยาว เพราะย่อมมีแนวโน้มที่ประเทศต่างๆ จะคล้อยตามหรือให้ความร่วมมือกับประเทศที่เป็นมิตรน่าคบหา มากกว่าประเทศที่ใช้กำลังข่มขู่ซึ่งน่าถอยหนีเมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส
แนวคิดนี้กลายเป็นฐานคิดสำคัญในการอธิบายนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในยุคหลังสงครามเย็น โดยเฉพาะในฐานะผู้นำโลกเสรีที่ใช้อุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตยเป็นพลังในการเผยแพร่อำนาจของตน
2.
จากที่กล่าวมาข้างต้น อาจมองได้ว่าตลอดชีวิตของไนย์นับตั้งแต่เขาพัฒนาทฤษฎีซอฟต์พาวเวอร์ แนวคิดดังกล่าวก็ยังคงฝังรากอยู่ในนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ เรื่อยมา แม้จะมีช่วงเวลาที่ประเทศสูญเสียความน่าเข้าหา เช่น ช่วงการรุกรานอิรัก กระนั้น ผู้นำสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ก็ยังคงดำรงท่าทีว่าตนเป็นผู้นำโลกเสรีในทางใดทางหนึ่ง และไม่เคยมีประธานาธิบดีคนใดดำเนินนโยบายขัดแย้งกับฐานคิดซอฟต์พาวเวอร์มากเท่ากับโดนัลด์ ทรัมป์
น่าคิดว่า สำหรับเจ้าของแนวคิดซอฟต์พาวเวอร์อย่างไนย์ เขาจะมองสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างไร เมื่อนโยบายของทรัมป์สวนทางกับสิ่งที่เขาเสนอมาโดยตลอด โดยไนย์เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายสำนัก เช่น CNN ว่า ทรัมป์ขาดเครื่องมือสำคัญที่ชื่อว่าซอฟต์พาวเวอร์
คำถามสำคัญ เมื่อเรารู้แน่ว่าซอฟต์พาวเวอร์ของสหรัฐอเมริกากำลังสั่นคลอน แล้วอนาคตของมันจะเป็นอย่างไรต่อไป? ไนย์เองก็ตั้งคำถามนี้เช่นกันในช่วงท้ายชีวิต ในบทความสุดท้ายของเขา ‘The Future of American Soft Power’ ไนย์ชวนเราทบทวนกรอบคิดเรื่องซอฟต์พาวเวอร์อีกครั้ง พร้อมทำนายอนาคตของซอฟต์พาวเวอร์สหรัฐฯ
ในบทความดังกล่าว ไนย์ยกตัวอย่างการดำเนินนโยบายของทรัมป์ ที่นอกจากจะบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของพันธมิตรที่มีอยู่ ยังทำให้สหรัฐฯ มีภาพลักษณ์แง่ลบหลายด้านในสายตาประชาคมโลก เช่น การถอนตัวจากข้อตกลงปารีส, การบีบบังคับพันธมิตรประชาธิปไตยอย่างเดนมาร์กหรือแคนาดา, การขู่ยึดคลองปานามา, การตัดงบประมาณหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ (USAID), การตัดงบองค์กรสื่อ จนทำให้ Voice of America (VOA) ได้รับผลกระทบ, การขึ้นภาษีนำเข้า, การจำกัดเสรีภาพในการพูดในประเทศ ซึ่งไนย์มองว่า สหรัฐฯ กำลังทุบทำลายซอฟต์พาวเวอร์ของตนเองผ่านการดำเนินการเหล่านี้
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ประเทศมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนกำลังผงาดขึ้น จนน่าตั้งคำถามว่าจะซอฟต์พาวเวอร์จีนจะทรงพลังกว่าสหรัฐฯ หรือไม่ ต่อประเด็นนี้ ไนย์กล่าวว่าแม้จีนพยายามสร้างซอฟต์พาวเวอร์มาตั้งแต่ปี 2007 ในช่วงประธานาธิบดี หู จิ่นเทา แต่ไนย์ชี้ว่าจีนติดกับดักสองประการคือ 1) ความขัดแย้งเรื่องเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 2) การที่ประชาสังคมถูกควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทำให้ภาพลักษณ์ของจีนไม่สามารถดึงดูดใจประเทศอื่นได้แบบที่ซอฟต์พาวเวอร์สหรัฐฯ เคยทำได้
แม้การดำเนินโยบายภาครัฐของสหรัฐฯ จะสวนทางกับซอฟต์พาวเวอร์ แต่ไนย์เน้นย้ำว่าซอฟต์พาวเวอร์ไม่ได้มีที่มาจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง โดยเมื่อสำรวจข้อมูลเพิ่มเติมจากที่ไนย์กล่าว จะพบว่าสหรัฐอเมริกามีประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเสรีภาพมายาวนาน นับตั้งแต่การเลิกทาส การเรียกร้องสิทธิพลเมือง การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของผู้หญิงและกลุ่มชายขอบ โดยจะเห็นได้ว่าองค์กรภาคประชาสังคมของสหรัฐฯ ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 1943 มีจำนวนองค์กรไม่แสวงหากำไร 80,250 องค์กร และเพิ่มขึ้นเป็น 309,000 องค์กรในปี 1967 ต่อมาพุ่งสูงถึงราว 1 ล้านองค์กร ในปี 1990[1] และปี 2022 พบว่ามีราว 1.97 ล้านองค์กร[2] ความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมจึงเป็นรากฐานสำคัญของซอฟต์พาวเวอร์สหรัฐฯ ที่จีนยังไม่สามารถเอาชนะได้
ดังนั้น ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อถามถึงอนาคตของคุณค่าโลกเสรีประชาธิปไตยในฐานะซอฟต์พาวเวอร์ ไนย์ทำนายว่า “ระบอบประชาธิปไตยอเมริกันมีแนวโน้มจะยังอยู่รอดและกลับมาได้เมื่อพ้นการบริหารของทรัมป์หลังจากสี่ปีนี้ เพราะสหรัฐอเมริกามีวัฒนธรรมทางการเมืองที่มีการปรับตัวและฟื้นตัวได้ มีรัฐธรรมนูญที่ส่งเสริมการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ มีความเป็นไปได้ที่พรรคเดโมแครตจะกลับมาควบคุมสภาผู้แทนราษฎรได้ในการเลือกตั้งปี 2026 นอกจากนี้ ภาคประชาสังคมยังคงเข้มแข็ง และศาลก็มีความเป็นอิสระ องค์กรต่างๆ จำนวนมากได้ยื่นฟ้องร้องต่อนโยบายของทรัมป์ ขณะที่ตลาดก็ส่งสัญญาณความไม่พอใจต่อนโยบายเศรษฐกิจของเขาเช่นกัน”
ไนย์กล่าวว่าซอฟต์พาวเวอร์ของสหรัฐฯ เคยฟื้นตัวได้หลังจากจุดตกต่ำในช่วงสงครามเวียดนามและสงครามอิรัก รวมถึงช่วงแรกของรัฐบาลทรัมป์ แต่เมื่อความไว้วางใจสูญเสียไปแล้ว การจะเรียกคืนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงประเมินไว้ว่าการกลับมาของซอฟต์พาวเวอร์สหรัฐฯ จะต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่สูงมาก
สุดท้ายแล้ว แม้ซอฟต์พาวเวอร์สหรัฐฯ อาจเปลี่ยนแปลงและสั่นคลอนไปตามการดำเนินโยบายของผู้นำ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามรดกความคิดของไนย์ยังคงเป็นเข็มทิศนำทางในการวิเคราะห์นโยบายต่างประเทศ ที่ชวนให้หันกลับมาตั้งคำถามว่าท้ายที่สุดแล้วการใช้อำนาจแบบไหนที่จะยั่งยืนอย่างแท้จริง
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราคงได้รู้คำตอบว่าสหรัฐฯ จะสามารถฟื้นฟูซอฟต์พาวเวอร์โลกเสรีประชาธิปไตยกลับมาได้หรือไม่ – หวังว่ามรดกความคิดที่ไนย์ฝากไว้ จะยังคงอยู่ในนโยบายของผู้มีอำนาจ เพื่อที่สหรัฐฯ จะไม่เป็นผู้ทำลายสิ่งที่ตนใช้เวลาสร้างขึ้นมาอย่างยาวนาน
[1] Peter Dobkin Hall. “A Historical Overview of Philanthropy, Voluntary Associations, and Nonprofit Organizations in the United States, 1600-2000”. In Walter Powell and Richard Steinberg. eds. The Nonprofit Sector: A Research Handbook. 2nd edition. (New Haven: Yale University Press, 2006). p. 52. อ้างใน นิธิ เนื่องจำนงค์. 2012. “ประชาสังคมระดับโลก: ข้อถกเถียงทางทฤษฎี และความเป็นไปได้ของแนวคิด”. วารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ 35 (1). Bangkok, Thailand:151-98. https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socialresearchjournal/article/view/84121.
[2] อ้างอิงจากเว็บไซต์ statista เข้าถึงได้จาก https://www.statista.com/statistics/189245/number-of-non-profit-organizations-in-the-united-states-since-1998/