อิตาเลียนในลาตินอเมริกา (1): กรณีศึกษาในบราซิล

เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเดินทางไปทำภารกิจที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลาสองสัปดาห์ โดยขากลับได้แวะเปลี่ยนเครื่องที่ท่าอากาศยานเลโอนาร์โด ดา วินชี-ฟีอูมีชีโน ในกรุงโรม อิตาลี เป็นเวลากว่า 8 ชั่วโมง ระหว่างที่นั่งรอต่อเครื่องกลับมายังกรุงเทพมหานคร ผมก็คอยดูตารางสายการบินเป็นระยะๆ พบว่ามีเที่ยวบินที่บินตรงจากกรุงโรมไปประเทศต่างๆ ในลาตินอเมริกาจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นบราซิล อาร์เจนตินา ชิลี เปรู โคลอมเบีย และเม็กซิโก เป็นต้น ทำให้ผมเกิดความสงสัยว่าทำไมจึงมีสายการบินจำนวนไม่น้อยเดินทางจากกรุงโรมไปยังลาตินอเมริกา เป็นการพานักท่องเที่ยวอิตาเลียนไปก็ไม่น่าจะใช่ เพราะระยะทางค่อนข้างไกล ผมมีความรู้พื้นฐานว่ามีคนเชื้อสายอิตาเลียนอยู่เป็นจำนวนมากในอาร์เจนตินา แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีอีกเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ในประเทศอื่นๆ ในลาตินอเมริกาหรือไม่ ผมจึงเก็บความสงสัยว่าตกลงแล้วคนเชื้อสายอิตาเลียนอพยพไปอยู่ในลาตินอเมริกาในประเทศใดบ้าง

และแล้วเมื่อผมกลับมาเมืองไทยและได้ทำการค้นคว้าอย่างจริงจัง พบว่าตัวผมเองนั้นมีความเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าคนเชื้อสายอิตาเลียนในลาตินอเมริกามีมากที่สุดในอาร์เจนตินา แต่ความเป็นจริงแล้วหาใช่ไม่ พวกเขามีจำนวนมากที่สุดอยุ่ในบราซิล โดยเฉพาะในรัฐ São Paulo ซึ่งก็เป็นที่ที่มีคนญี่ปุ่นอพยพไปอยู่เป็นจำนวนมากตามบทความที่ผมเขียนไว้ก่อนหน้านั้น ด้วยเหตุนี้เอง ในบทความคราวนี้ผมจึงเขียนถึงคนเชื้อสายอิตาเลียนในบราซิลว่าพวกเขาอพยพไปยังบราซิลตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ไหน และปัจจุบันมีความเป็นอยู่เช่นไรบ้าง

คนเชื้อสายอิตาเลียนในบราซิลนั้นถือเป็นกลุ่มคนเชื้อสายอิตาเลียนที่ใหญ่มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกที่อาศัยอยู่นอกประเทศอิตาลี โดยมีชุมชนคนอิตาเลียนที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่เมือง São Paulo ขณะที่เมือง Nova Veneza ที่อยู่ทางใต้ของบราซิลมีประชากรมากกว่าร้อยละ 95 เป็นคนเชื้อสายอิตาเลียน ในปี 1940 สำนักงานสถิติแห่งชาติของบราซิลได้ทำสำมะโนประชากร พบว่าคนบราซิลเลียนจำนวน 1,260,931 คน มีบิดาเป็นชาวอิตาเลียน ขณะที่ 1,069,862 คน มีมารดาเป็นชาวอิตาเลียน โดยมีชาวอิตาเลียนโดยกำเนิดอยู่ 285,000 คน และที่แปลงสัญชาติเป็นบราซิลเลียนอีก 40,000 คน รวมมีคนเชื้อสายอิตาเลียนในขณะนั้นคิดเป็นร้อยละ 3.8 ของประชากรบราซิลทั้งหมดในปี ค.ศ. 1940 และในปี 2013 สถานทูตอิตาลีในบราซิลรายงานว่ามีคนเชื้อสายอิตาเลียนในบราซิลทั้งสิ้น 32 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 15 ของประชากรบราซิลทั้งหมดในขณะนั้น

คนอิตาเลียนเริ่มอพยพไปยังบราซิลตั้งแต่ครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 16 ขณะที่บราซิลยังเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส และได้อพยพเข้าไปยังบราซิลเรื่อยๆ อย่างไม่ขาดสาย อาจจะมีขาดตอนไปบ้างในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งอิตาลีอยู่ฝ่ายอักษะและเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ขณะที่ประเทศในลาตินอเมริกาเกือบทั้งหมดรวมทั้งบราซิลอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร มีคนบราซิลเชื้อสายอิตาเลียนเป็นจำนวนมากที่เป็นคนที่มีชื่อเสียงไม่ว่าจะในฐานะศิลปิน นักฟุตบอล นางแบบ หรือนักการเมือง โดยประธานาธิบดีบราซิลเชื้อสายอิตาเลียนที่มีชื่อเสีย(ง)มากที่สุดในยุคประวัติศาสตร์ร่วมสมัยคือ ประธานาธิบดีฌาอีร์ เมซีอัส โบลโซนารู (Jair Messias Bolsonaro) ที่ได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของบราซิลคนที่ 38 ในปี 2018 และอยู่ในตำแหน่งระหว่างปี 2019-2023

ส่วนประเทศอิตาลีเองนั้นเพิ่งจะรวมเป็นรัฐชาติเดียวกันในปี 1861 โดยก่อนหน้านั้นอิตาลี แบ่งออกเป็นอาณาจักรย่อยๆ ในช่วงที่จักรวรรดิออสเตรีย (The Empire of Austria) มีอำนาจในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งจักวรรดิออสเตรียได้ขัดขวางการรวมตัวของอิตาลีระหว่างปี 1848-1861 ทำให้ชาวอิตาเลียนจำนวนมากลี้ภัยออกนอกประเทศ และเมื่ออิตาลีประสบวิกฤตเศรษฐกิจในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็มีคนเป็นจำนวนมากต้องตกงานเนื่องจากมีการพัฒนาและนำเทคโนโลยีทางการเกษตรสมัยใหม่มาใช้แทนที่แรงงานคน ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมในอิตาลีก็ยังอยู่ในฐานะพึ่งเริ่มต้น ส่งผลให้แรงงานอิตาเลียนในภาคการเกษตรเดินทางไปหางานทำนอกประเทศ

ขณะเดียวกันบราซิลในขณะนั้นขาดแคลนแรงงานในภาคการเกษตร เนื่องจากอังกฤษได้กดดันให้บราซิลยกเลิกการค้าทาสในปี 1850 ทำให้ไม่มีการนำเข้าแรงงานทาสผิวสีจากทวีปแอฟริกามายังบราซิลอีกต่อไป บราซิลนั้นพึ่งพาแรงงานทาสผิวสีในภาคการเกษตรขนาดใหญ่โดยเฉพาะการปลูกอ้อยและกาแฟ ดังนั้นรัฐบาลบราซิลจึงมีความจำเป็นเป็นอย่างมากที่จะต้องหาแรงงานภาคการเกษตรมาชดเชยอย่างเร่งด่วน โดยรัฐบาลบราซิลเห็นว่าแรงงานจากยุโรปสามประเทศดังต่อไปนี้ คือ อิตาลี โปรตุเกส และสเปน มีความเหมาะสมมากที่สุดที่จะสนับสนุนและส่งเสริมให้เข้ามาทำงานในบราซิลเพราะใช้ภาษาที่มีรากฐานมาจากภาษาละตินเหมือนกันและนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกไม่ต่างจากชาวบราซิล โดยแรงงานชาวอิตาเลียนที่เข้ามานั้นส่วนใหญ่มาตั้งรกรากในรัฐ São Paulo ซึ่งเป็นฐานการการผลิตกาแฟที่สำคัญของบราซิล

แรงงานชาวอิตาเลียนเริ่มหลั่งไหล่เข้าไปในบราซิลช่วงนี้ โดยเฉพาะนับตั้งแต่ปี 1875 เป็นต้นมา และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วระหว่างปี 1880-1900 ซึ่งพบว่ามีคนอิตาเลียนอพยพไปมากกว่าหนึ่งล้านคน และส่วนใหญ่ได้แปลงสัญชาติเป็นบราซิลเลียน ตามนโยบาย The Great Naturalization ของรัฐบาลบราซิลในขณะนั้นที่ให้สัญชาติบราซิลโดยอัตโนมัติแก่ผู้อพยพที่มาถึงบราซิลก่อนวันที่ 15 พฤศจิกายน 1889 ยกเว้นผู้ที่ขอสงวนเก็บสัญชาติเดิมไว้ (แต่ต้องแจ้งให้รัฐบาลบราซิลทราบด้วย ไม่เช่นนั้นจะถือว่าได้รับการแปลงสัญชาติเป็นบราซิลโดยอัตโนมัติ) อย่างไรก็ตามเมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลบราซิลปฏิบัติต่อคนอิตาเลียนที่อพยพไปไม่ดีและปัญหาการเผชิญหน้ากับความยากจนของผู้อพยพ ในปี 1902 รัฐบาลอิตาลีได้ยกเลิกการสนับสนุนให้คนอิตาเลียนอพยพไปยังบราซิล ทำให้เมื่อถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 การอพยพของแรงงานอิตาลีไปยังบราซิลจึงได้ลดลงเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้น

Arrival of Italian immigrants to Brazil by periods
1884-18931894–19031904–19131914–19231924–19331934–19441945–19491950–19541955–1959
510,533537,784196,52186,32070,17715,312N/A59,78531,263
ที่มา Instituto Brasileiro de Geografia e Estatística (IBGE)

จากตารางจะเห็นได้ว่า ระหว่างปี 1904-1923 มีคนอิตาเลียนอพยพไปยังบราซิลแค่เพียง 282,841 คน เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวน 953,435 คน ที่อพยพไปยังอาร์เจนตินา ขณะที่ 3,581,322 คน อพยพไปยังสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลาเดียวกัน

บราซิลในขณะนั้นยังไม่มีกฎหมายแรงงานบังคับใช้ [กฎหมายแรงงานของบราซิลเริ่มประกาศบังคับใช้ในสมัยประธานาธิบดีเกตูลิโอ โดเนเยส บาร์กัส (Getúlio Dornelles Vargas) ระหว่างคริสต์ทศวรรษที่ 1930] ดังนั้นแรงงานชาวอิตาเลียนจึงทำงานโดยปราศจากกฎหมายแรงงานคุ้มครอง มีบ่อยครั้งที่นายจ้างชาวบราซิลยกเลิกการจ้างงานแรงงานอพยพโดยไม่มีเหตุผลและไม่จ่ายค่าจ้างชดเชย นอกจากนี้จากความคุ้นเคยที่นายจ้างชาวบราซิลเคยปฏิบัติต่อแรงงานทาสผิวสีในอดีต ทำให้แรงงานชาวอิตาเลียนจึงได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมและต้องทำงานอย่างหนัก ในบางกรณีพวกเขาถูกบังคับให้ต้องซื้อของกินของใช้จากนายจ้างเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากไร่กาแฟมักอยู่ห่างไกลจากใจกลางเมือง ทำให้เมื่อแรงงานชาวอิตาเลียนเจ็บป่วย ก็จำเป็นต้องใช้เวลานานกว่าที่พวกเขาจะมาถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดได้

ถึงแม้ว่าแรงงานชาวอิตาเลียนจะได้รับการมองว่ามีสถานะที่ดีกว่าแรงงานผิวสีจากนายจ้างชาวบราซิล แต่จากสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง พวกเขากลับได้รับการปฏิบัติอย่างไม่แตกต่างจากแรงงานผิวสีเท่าใดนัก ส่งผลให้แรงงานชาวอิตาเลียนจำนวนไม่น้อยทนความยากลำบากและการกดขี่จากนายจ้างชาวบราซิลไม่ไหว พวกเขาจึงอพยพกลับประเทศ หรือไม่ก็ย้ายไปอาร์เจนตินา อุรุกวัย และสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงานในไร่กาแฟในรัฐ São Paulo อีกครั้ง รัฐบาลบราซิลจึงเพิ่มการนำเข้าแรงงานจากสเปน แต่เมื่อแรงงานจากสเปนเผชิญปัญหาที่ไม่ต่างจากที่แรงงานชาวอิตาเลียนประสบมาก่อน รัฐบาลสเปนก็ได้ออกมาตรการจำกัดการอพยพ ท้ายที่สุดรัฐบาลบราซิลแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการนำเข้าแรงงานจากญี่ปุ่นเข้ามาทดแทนในปี 1908

อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีแรงงานชาวอิตาเลียนบางส่วนย้ายกลับประเทศ หรือย้ายไปประเทศอื่นๆ แต่แรงงานที่เหลือส่วนมากก็ยังอาศัยอยู่ในบราซิล แต่พวกเขาได้อพยพเข้าไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมในเมืองแทน ไม่ว่าจะเป็นในเมือง São Paulo หรือเมือง Rio de Janeiro หรือไม่ก็ผันตัวไปเป็นพ่อค้า ต่อมาเมื่อเก็บหอมรอมริบได้จำนวนนึง พวกเขาก็ขยับขยายมาเป็นนักลงทุน นายธนาคาร หรือนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เมือง São Paulo เป็นที่รู้จักกันในนาม ‘เมืองของคนอิตาเลียน’ เนื่องจากประชากรกว่าร้อยละ 31 มีเชื้อสายอิตาเลียน เราสามารถเห็นป้ายบอกทางหรือป้ายโฆษณาเป็นภาษาอิตาเลียนได้ตามถนนหนทางในเมืองอย่างดาษดื่น ภาคธุรกิจและภาคการบริการส่วนมากดำเนินงานโดยคนบราซิลเชื้อสายอิตาเลียน นอกจากนี้ลูกหลานชาวอิตาเลียนอพยพในบราซิลยังมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเมืองต่างๆ ในบราซิลให้เจริญเติบโตก้าวหน้า อาทิ เมือง São Paulo เมือง Porto Alegre เมือง Curitiba และเมือง Belo Horizonte เป็นต้น อาทิ ฟรานเชสโก อันโตนิโอ มารีอา มาตาราซโซ (Francesco Antonio Maria Matarazzo) ที่ครอบครัวของเขาเป็นผู้ร่ำรวยที่สุดในเมือง São Paulo มีเครือข่ายธุรกิจกว่า 200 แห่ง ขณะที่ในรัฐ Rio Grande do Sul ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของบราซิล ร้อยละ 42 ของภาคอุตสาหกรรมอยู่ภายใต้การบริหารงานของคนบราซิลเชื้อสายอิตาเลียน

เห็นได้ว่าชาวอิตาเลียนอพยพเหล่านี้ค่อยๆ เลื่อนสถานะทางสังคมตามลำดับเมื่อกาลเวลาผ่านไป ถึงแม้ว่าพวกที่อพยพมาในรุ่นแรกๆ จะเผชิญกับความยากลำบากความยากจน แต่ลูกหลานของพวกเขาเหล่านั้นซึ่งเกิดในบราซิลต่างก็ได้รับโอกาสและก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ จนปัจจุบันได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำในสังคมบราซิล

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save