ดูราวกับว่าผู้คนในสังคมไทยจะเป็นบุคคลที่มีน้ำใจเอื้ออารีต่อกันเป็นอย่างมาก
ดังจะพบว่าเมื่อต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเหตุการณ์น้ำท่วม ไฟไหม้ แผ่นดินไหว อุบัติภัยนานัปการ ยิ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดผลกระทบอย่างกว้างขวาง ก็ยิ่งทำให้ผู้คนในสังคมต่างแสดงออกถึงความมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมสังคมทวีเพิ่มมากขึ้น
กรณีน้ำท่วมที่พื้นที่ภาคเหนือ เราได้เห็นการบริจาคเงินของประชาชน การจัดรายการระดมทุนของหน่วยงานต่างๆ การเข้าร่วมในการกู้ภัยจากผู้คนหลากหลายองค์กร เซเลปและดาราจำนวนไม่น้อยก็พากันไปร่วมด้วยช่วยกันด้วยความเต็มใจแม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล นักธุรกิจ องค์กรเอกชน ล้วนให้การสนับสนุนทางการเงินและอุปกรณ์กันอย่างถ้วนหน้า
ความมีน้ำใจของผู้คนไม่ใช่จำกัดอยู่กับเฉพาะปัจเจกบุคคลเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่ยังมีการบริจาคที่นำไปสู่การจัดตั้งองค์กรให้มีสถานะที่มั่นคงและสามารถทำงานสาธารณะประโยชน์ได้อย่างต่อเนื่อง ป่อเต็กตึ๊ง ร่วมกตัญญู เป็นตัวอย่างขององค์กรที่สามารถดำรงอยู่มาได้อย่างยาวนานด้วยการสนับสนุนของผู้คน การทำงานที่จริงจังและต่อเนื่องย่อมเป็นเครื่องหมายรับประกันถึงความมุ่งมั่นขององค์กรเหล่านี้ และอาจรวมไปถึงองค์กรที่มีจัดตั้งขึ้นใหม่ในภายหลังก็มีเป็นจำนวนไม่น้อยด้วยเช่นกัน
ความมีน้ำใจของผู้คนนั้นคงเป็นแง่มุมของหลักคุณค่าที่ยากจะปฏิเสธ การรู้ร้อนรู้หนาวร่วมกับบุคคลที่ต้องประสบกับปัญหาอย่างรุนแรงในชีวิต ความพยายามที่จะช่วยเหลือในแง่มุมเท่าที่จะทำได้ ย่อมนับเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่มนุษย์ผู้อยู่ร่วมกันในสังคมพึงกระทำ
แต่นอกจากการบ่งบอกถึงความเอื้ออารีของผู้คนในสังคมไทยแล้ว อีกด้านหนึ่งสังคมอุดมน้ำใจก็เป็นภาพสะท้อนถึงความไร้น้ำยาของรัฐไทยได้เช่นกัน
แทบทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติสาธารณะในสังคมไทย ภาพอีกด้านที่จะมองเห็นไปพร้อมกันก็คือความล้มเหลวของรัฐต่อการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะในด้านของการป้องกันก่อนเกิดเหตุ หรือการรับมือภายหลังที่ได้เกิดเหตุภัยพิบัติไปแล้ว
เหตุการณ์น้ำท่วมที่เชียงรายก็แสดงถึงความอ่อนแอของรัฐเป็นอย่างมาก การแจ้งเตือนเป็นไปอย่างขอไปที ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนถึงพื้นที่ ระดับความรุนแรง ช่วงระยะเวลาที่จะเกิดภัยพิบัติ กระทั่งการเตือนให้อพยพเมื่อเกิดน้ำท่วมแต่ก็ยังไม่มีการเตรียมพื้นที่รองรับการอพยพไว้
เราอยู่ในบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไม่รู้กันเลยหรือว่ามีพายุกำลังมุ่งหน้ามาถึงและด้วยระดับความรุนแรงที่ต้องระมัดระวัง ประชาชนเขารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองเหลือแต่หน่วยงานรัฐที่ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างที่ควรจะเป็น
ในขณะที่ภายหลังเกิดเหตุภัยพิบัติ การรับมือกับสถานการณ์ที่ควรต้องมีการรวมศูนย์เพื่อประมวลสภาพปัญหาอันจะนำมาสู่การวางนโยบาย จัดลำดับ และกระจายภาระหน้าที่ออกไปแก่หน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าทั้งหน่วยงานรัฐส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ท้องถิ่น หรือองค์กรเอกชน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและกระจายอย่างทั่วไป
แต่ภาพที่เห็นอย่างชินชาก็คือ บรรดารัฐมนตรี ผู้ว่าฯ นักการเมือง ออกไปใส่เสื้อเหลืองกวาดถนนแสดงให้เห็นว่า ‘กูทำงานแล้วนะ’
ขณะที่องค์กรเอกชนหลายแห่งพยายามคิดหาแนวทางอย่างหลากหลายในการแก้ไขปัญหานี้ การนำเอารถแจกจ่ายสินค้าแบบพุ่มพวงออกไปสู่พื้นที่ที่ประสบปัญหา การรับแลกข้าวของที่จมน้ำเพื่อมาปรับปรุงแก้ไขแทนที่จะโยนทิ้งไป มีการระดมรถฉีดน้ำเข้าไปในพื้นที่ซึ่งโคลนกำลังแข็งตัวและยากต่อการชำระล้างเมื่อผ่านไปนานวัน แต่กลับไม่เห็นแผนรับมือที่ครอบคลุมและรอบด้านอันจะทำให้ประชาชนรู้สึกไว้วางใจต่อการทำงานของรัฐ
ความไร้น้ำยาของรัฐในการปกป้องภัยพิบัติหรือการดูแลสวัสดิภาพของผู้คนไม่ใช่เรื่องลึกลับ เราต่างเห็นตำตากันอยู่ในโลกของความเป็นจริง แม้ว่าในปัจจุบันจะมีหน่วยงานกรมกองต่างๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนไม่น้อย ด้วยภารกิจส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ดูจะไม่สู้มีความสำเร็จให้เห็นกว้างขวางมากนัก การรับมือภัยพิบัติเป็นสิ่งที่รัฐไทยมีความสามารถจำกัดเป็นอย่างมาก เหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นมาหลายครั้ง เช่น สึนามิ (Tsunami) ที่ภาคใต้, น้ำท่วมกรุงเทพฯ เมื่อ 2554 หรือแม้กระทั่งฝุ่น PM 2.5 นานนับทศวรรษก็ล้วนแสดงถึงสภาพง่อยเปลี้ยเสียขาของรัฐได้เป็นอย่างดี
การตระหนักถึงความไร้น้ำยาในลักษณะเช่นนี้ส่วนหนึ่งสะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจน ทำไมหน่วยกู้ภัยจากหลายจังหวัดห่างไกลจึงออกแรงในการขับรถเดินทางไปเชียงราย เพราะพวกเขาย่อมตระหนักถึงความสำคัญถึงการออกแรงของประชาชนด้วยกันว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง
การกล่าวเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่าน้ำใจของประชาชนเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ความร่วมมือร่วมใจในหลายสังคมเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น ก่อนหน้าการขยายตัวของอำนาจรัฐและเทคโนโลยีสมัยใหม่ การรับมือโดยผู้คนในสังคมมีความสำคัญอย่างมากในหลายประเทศ แต่การขยายตัวของรัฐที่เห็นความสำคัญในชีวิตของประชาชนก็จะทำให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีในการรับมือต่อภัยพิบัติในสังคมนั้นๆ ที่มีประสิทธิภาพ ภัยพิบัติที่สลับซับซ้อนมากขึ้นก็จะเรียกร้องประสิทธิภาพและทรัพยากรที่มโหฬาร การจัดการกับภัยพิบัติก็จะถ่ายโอนไปเป็นภารกิจของรัฐเพิ่มมากขึ้น
ลองนึกถึงหลายประเทศที่รัฐมีน้ำยา เมื่อเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม ดินถล่ม ก็ล้วนแล้วแต่เป็นหน่วยงานรัฐที่จะต้องเข้ามาแบกรับภาระในการจัดการกับปัญหาดังกล่าวเป็นหลัก
กล่าวให้ชัดเจนมากขึ้นก็คือ ขณะที่รัฐไทยขยายอำนาจเพิ่มมากขึ้นแต่กลับมีน้ำยาในการจัดการปัญหาที่เกิดกับประชาชนเบาบางมาก ด้วยสภาวะเช่นนี้จึงทำให้น้ำใจระหว่างประชาชนในสังคมเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นไม่น้อย แต่นั่นแหละ การแก้ไขปัญหาด้วยน้ำใจนั้นมีข้อจำกัดเป็นอย่างมาก เพราะมันปราศจากระบบและอำนาจที่ชัดเจน ทรัพยากรจำนวนมากแบบต่อเนื่อง บุคลากรที่สั่งสมความเชี่ยวชาญ เครือข่ายการทำงานที่แผ่กระจาย
การช่วยเหลือผ่านระบบน้ำใจจึงอาจกลายเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือขี่ช้างจับตั๊กแตน ที่อาจเป็นการใช้ทรัพยากรไปแบบมากมายแต่ไม่อาจสร้างระบบป้องกันหรือเยียวยาผู้คนได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพต่อประชาชนทุกกลุ่ม
ท้ายที่สุดแล้ว คงไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องช่วยกันทำให้รัฐไทยเห็นหัวประชาชนมากขึ้น อันจะทำให้การแก้ไขภัยพิบัติสามารถเป็นไปในเชิงภาพรวม แต่ตราบเท่าที่รัฐไทยยังคงไร้น้ำยา ‘น้ำใจ’ ก็จะยังคงเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับสังคมไทยต่อไป และอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยปลอบประโลมผู้คนว่าอย่างน้อยพวกเราก็อยู่ในสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกันในยามต้องเผชิญกับความยากลำบาก