ประวัติศาสตร์ ‘ส้วม’ อินโดนีเซียฉบับย่อ: จากปลดทุกข์ลงแม่น้ำสู่ชักโครก

“คนดัตช์กับคนอินโดนีเซียสมัยอาณานิคมถ่ายหนักเหมือนกันไหม?”

“ชาวดัตช์ปลดทุกข์ที่ไหน?”

“ส้วมอินโดนีเซียมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

คำถามเหล่านี้มาจากนักศึกษาท่านหนึ่งก่อนเริ่มคลาสเรียนวิชาประวัติศาสตร์อินโดนีเซียร่วมสมัยในสัปดาห์ที่สองของภาคการศึกษา เป็นคำถามที่น่าสนใจ และผู้เขียนตอบไม่ได้ในทันทีแม้จะเข้าส้วมที่อินโดนีเซียมานับครั้งไม่ถ้วน จึงบอกศึกษาท่านนั้นว่าจะมาตอบวันหลัง 

ปัจจุบันห้องส้วมที่อินโดนีเซียมีทั้งแบบชักโครกและแบบนั่งยอง ส้วมแบบชักโครกจะพบได้ตามห้างสรรพสินค้า โรงแรม ภัตตาคาร สนามบิน โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย และสำนักงานต่างๆ ส่วนส้วมแบบคอห่านหรือนั่งยองอาจพบได้ตามสถานที่ข้างต้นบ้าง แต่ส่วนมากจะพบตามบ้านเรือนทั่วไป ร้านอาหารระดับกลางถึงล่าง รวมถึงตามสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป แม้ว่าห้องน้ำจะไม่ถูกสุขลักษณะเพียงใด แต่ตามแหล่งท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต้องเตรียมเงินสำหรับค่าปลดทุกข์ซึ่งแทบทุกที่ สนนราคาอยู่ที่ราว 2,000-5,000 รูเปียห์

ประชากรอินโดนีเซียส่วนใหญ่เป็นมุสลิม การทักทายของชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่คือยื่นมือขวามาจับกัน มือซ้ายเป็นสิ่งต้องห้ามในสังคมวัฒนธรรมอินโดนีเซีย อันเนื่องมาจากกิจกรรมในห้องส้วมนี่แหละ ชาวอินโดนีเซียไม่นิยมใช้กระดาษชำระเพราะรู้สึกว่าไม่สะอาด ดังนั้นจึงใช้มือซ้ายในการชำระล้างหลังทำธุระ มือซ้ายจึงถือเป็นมือที่ไม่สะอาด ห้ามจับมือผู้อื่นด้วยมือซ้าย ห้ามส่งของและรับของจากผู้อื่นด้วยมือซ้าย และการกินข้าวด้วยมือยังคงเป็นสิ่งที่ชาวอินโดนีเซียกระทำกันเป็นปกติทั้งในบ้านและนอกบ้าน ตามร้านอาหารต่างๆ จึงแทบไม่เห็นชาวอินโดนีเซียกินข้าวด้วยมือซ้าย 


ชาวอินโดนีเซียเรียกส้วมว่า ‘ตอยเล็ต’ และ ‘เวเซ’


ชาวอินโดนีเซียเรียกห้องส้วมว่าตอยเล็ต (toilet) ซึ่งทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษ และมีคำที่แปลว่าห้องน้ำคือกามาร์มันดี (kamar mandi) มาจากคำว่า ‘ห้อง’ บวกกับคำว่า ‘อาบน้ำ’ ซึ่งหากเป็นในบ้านทั่วไป กามาร์มันดีก็เป็นได้ทั้งห้องน้ำและห้องส้วม และอีกคำที่หมายถึงห้องส้วมคือกามาร์เกอจิล (kamar kecil) มาจากคำว่า ‘ห้อง’ บวกกับคำว่า ‘เล็ก’ เพราะเป็นห้องที่เล็กที่สุดในบ้าน แต่ห้องส้วมในสถานที่สาธารณะจะนิยมเรียกว่าตอยเล็ตหรือเวเซ (WC) ซึ่งย่อมาจาก water closet ในภาษาอังกฤษเช่นกัน ทั้งตอยเล็ตและเวเซเป็นคำที่ชาวอินโดนีเซียใช้กันโดยทั่วไป เข้าใจความหมายได้ทันที ป้ายห้องน้ำตามสถานที่ต่างๆ ก็ใช้สองคำนี้เป็นปกติ ในยุคอาณานิคมเรียกห้องส้วมว่ากากุส (kakus) มาจากคำว่า kakhuis ในภาษาดัตช์ แต่ในปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมใช้กันแล้ว 

คำว่าปัสสาวะและอุจจาระในภาษาอินโดนีเซียเกิดจากวัฒนธรรมการใช้ส้วม เนื่องจากในตอนแรกที่มีการใช้ห้องส้วม ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั่งยอง เมื่อทำธุระเสร็จก็จะต้องใช้ขันน้ำที่มีด้ามจับตักน้ำในถังหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ใช้รองน้ำไว้ในห้องน้ำราดลงไปที่คอห่าน โดยปัสสาวะคือ buang air kecil ซึ่งแปลว่าทิ้งน้ำเล็ก ส่วนอุจจาระคือ buang air besar แปลว่าทิ้งน้ำใหญ่

เล็กหรือใหญ่ไม่ใช่ขนาดของสิ่งที่เราปล่อย หากเป็นน้ำที่เราราดลงไปเพื่อทำความสะอาด ถ้าเป็นอุจจาระน้ำที่ราดลงไปก็ต้องมากกว่าปัสสาวะ แม้ในปัจจุบันมีส้วมชักโครกใช้กันแพร่หลายแล้ว แต่คำว่า buang air kecil และ buang air besar ก็ยังคงใช้สำหรับการถ่ายเบาและถ่ายหนักอยู่ ยังมีอีกคำที่แปลว่าอุจจาระ ได้แก่ hajat หากทำให้เป็นคำกริยาก็คือ buang hajat แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมใช้เท่ากับ buang air besar นอกจากนี้ยังมีคำนามอื่นๆ ที่แปลว่าอุจจาระอีกมากมาย ทั้งภาษาอินโดนีเซียและภาษาท้องถิ่น


ห้องส้วมสมัยใหม่ในอินโดนีเซียเกิดในสมัยอาณานิคม


ชาวอินโดนีเซียเพิ่งรู้จักส้วมราวคริสต์ศตวรรษที่ 19 นี้เอง ก่อนจะมีส้วมชาวบ้านถ่ายอุจจาระลงในแม่น้ำ บ่อปลา ทุ่งนา หรือขุดดินให้เป็นหลุมแล้วปลดทุกข์ในสวนหลังบ้านของตัวเอง แม้ในช่วงที่ VOC หรือบริษัทการค้าของเนเธอร์แลนด์เข้าไปปกครองดินแดนหมู่เกาะอินโดนีเซียแล้วก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็ยังไม่มีห้องส้วม

VOC ก่อตั้งเมืองปัตตาเวีย (ปัจจุบันคือจาการ์ตา) ขึ้นเมื่อปี 1619 เห็นได้จากอาคารเก่าในยุคสมัย VOC เช่น อาคารพิพิธภัณฑ์จาการ์ตาที่ถนนฟาตาฮิลละห์ (Fatahhillah) ซึ่งเมื่อก่อนถูกใช้เป็นที่ทำการรัฐบาลอาณานิคม พิพิธภัณฑ์หนังตะลุง (Museum Wayang) หรือพิพิธภัณฑ์ศิลปะ อาคารเก่าเหล่านี้ล้วนไม่มีห้องส้วม คำถามคือชาวดัตช์ที่ทำงานตามสถานที่เหล่านี้ทำเช่นไรเมื่อปวดหนัก คำตอบคือพวกเขาจะถ่ายหนักใส่ถังไม้ไว้ก่อน เมื่อเต็มแล้วพวกทาสจะนำไปเททิ้งลงแม่น้ำ

บ้านเรือนชาวดัตช์ในปัตตาเวียในขณะนั้นไม่มีบ่อบำบัดน้ำเสีย ส่วนมากบ้านของชาวดัตช์จะสร้างติดคลองหรือแม่น้ำ พวกเขาปัสสาวะและอุจจาระใส่กระโถนที่สั่งทำจากจีน เช่นเดียวกับชาวเมืองปัตตาเวียที่ปลดทุกข์ใส่ในถัง แล้วนำไปเททิ้งลงแม่น้ำในช่วงกลางคืนหลังจากสามทุ่มเป็นต้นไปจนถึงตีสี่ของอีกวัน ต่างกันตรงชาวดัตช์มีเหล่าทาสทำหน้าที่นำสิ่งปฏิกูลไปทิ้งในแม่น้ำให้ เหตุที่ต้องทิ้งในช่วงกลางคืนเนื่องจากรัฐบาลอาณานิคมเนเธอร์แลนด์กำหนดกฎเกณฑ์เรื่องเวลาทิ้งอุจจาระ โดยห้ามเทอุจจาระทิ้งในแม่น้ำช่วงเวลากลางวัน เพราะช่วงกลางวันประชาชนใช้น้ำในแม่น้ำสำหรับอาบน้ำ ซักผ้า และอื่นๆ

กฎเกณฑ์นี้ถูกกำหนดตั้งแต่ปี 1630 จริงๆ แล้วก่อนหน้าที่จะมีการอุจจาระใส่กระโถนหรือถังแล้วค่อยนำไปทิ้งตามเวลาที่กำหนด ชาวพื้นเมืองอุจจาระลงแม่น้ำเป็นเรื่องปกติ ไม่เลือกเวลา และเมื่อชาวยุโรปเดินทางมาถึงดินแดนหมู่เกาะอินโดนีเซียก็ทำตามอย่างคนพื้นเมือง ส่งผลให้แม่น้ำสกปรก ก่อให้เกิดโรค และเกิดภาพไม่ชวนมอง นอกจากนั้นยังมีการทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง รัฐบาลจึงสั่งห้ามทุกคนทิ้งขยะและอุจจาระลงแม่น้ำโดยตรง แต่กรณีหลังอนุโลมให้นำกระโถนหรือถังอุจจาระไปทิ้งในแม่น้ำได้หลังเวลาสามทุ่ม อย่างไรก็ตามมีการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์การอุจจาระโดยตรงทั้งจากชาวพื้นเมืองและชาวยุโรปที่สร้างบ้านติดแม่น้ำลำคลอง พวกเขาจะสร้างศาลาไว้ที่ท่าน้ำ เอาไว้นั่งรับลมเล่น ลงอาบน้ำ ไปจนถึงถ่ายหนัก  

การกำหนดเวลาทิ้งอุจจาระลงแม่น้ำไม่ได้กำหนดแบบไร้ที่มาที่ไป สามทุ่มเป็นเวลาที่ผับปิดและเป็นเวลาที่งานเลี้ยงหรืองานประชุมต่างๆ ของชาวยุโรปเสร็จสิ้น ผู้คนต่างกลับบ้านพักผ่อน จะมีเรือสัมปั้นจีน (หรือที่รู้จักกันว่าเรืออุจจาระ) ล่องมาตามแม่น้ำแล้วตะโกนเรียก บรรดาพวกทาสและชาวบ้านก็จะนำกระโถนหรือถังใส่อุจจาระไปทิ้งที่เรือดังกล่าว จนเป็นที่เรียกกันว่า ‘ดอกไม้ยามสามทุ่ม’ แม้กิจวัตรดังกล่าวดูจะไม่ค่อยถูกสุขลักษณะ แต่มีบันทึกของชาวต่างชาติที่ระบุว่าชาวดัตช์ก็ไม่ได้เดือดร้อนกับสภาพดังกล่าว หากมีกลิ่นโชยออกมาจากกระโถนอุจจาระที่กำลังรอเวลาทิ้ง พวกเขาบางคนจะกล่าวติดตลกว่า ‘ดอกไม้ยามสามทุ่มบานแล้วจ้า’

อย่างไรก็ตาม กฎดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในบ้านเรือน เนื่องจากทุกบ้านต้องเก็บอุจจาระไว้ที่บ้านตลอดทั้งวัน ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคบิด มาลาเรีย โรคกระเพาะลำไส้อักเสบ และอหิวาตกโรค ทำให้มีผู้เสียชีวิตนับพันคนจากโรคระบาดในปัตตาเวีย มีรายงานบันทึกว่าปี 1733 มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดสูงถึง 2,000-3,000 คนต่อปี ประชาชนจึงเริ่มตระหนักเรื่องสุขาภิบาลและสิ่งแวดล้อม 

ห้องส้วมเพิ่งเกิดในดินแดนหมู่เกาะอินโดนีเซียราวช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ตามบ้านของชาวยุโรปในหมู่เกาะอินโดนีเซียเริ่มมีการสร้างห้องส้วมและห้องน้ำ อย่างเช่นในเมืองบันดุงซึ่งเป็นเมืองที่ชาวยุโรปไปพำนักกันเป็นจำนวนมาก รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เคยคิดจะย้ายศูนย์การปกครองไปที่นั่นเนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็นเหมือนในยุโรป โดยทั่วไปการสร้างห้องส้วมและห้องน้ำจะสร้างแยกกันโดยล้อมรอบด้วยผนังและหลังคากระเบื้อง คือแบ่งเป็นสองพื้นที่ติดกัน มักตั้งอยู่ด้านหลังบ้าน และใกล้กับบ่อน้ำ ในช่วงเวลานั้นยังไม่มีเทคโนโลยีการระบายน้ำและไม่มีท่อระบายน้ำเสีย ดังนั้นของเสียจากส้วมจะถูกเก็บรวบรวมไว้ในถังส้วมแบบปิด ส้วมจึงเป็นแบบคอห่านเพื่อไม่ให้กลิ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว จนกระทั่งช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่เมืองบันดุงก็ยังไม่มีระบบกำจัดขยะแบบบูรณาการและยังไม่มีท่อน้ำสะอาดที่ติดตั้งตามบ้านเรือนต่างๆ แต่ละบ้านต้องดูแลเรื่องการสุขาภิบาลและความสะอาดกันเอาเอง 

ส่วนห้องส้วมของชาวบ้านโดยทั่วไปจะสร้างเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสแยกออกจากตัวบ้าน ปิดแค่เฉพาะส่วนล่าง โดยจะมีการขุดหลุมสำหรับไว้ใส่อุจจาระ หากอุจจาระเต็มหลุมแล้วก็จะฝังกลบด้วยดินแล้วไปขุดหลุมใหม่ ทำแบบนี้วนไป ซึ่งห้องส้วมแบบนี้ไม่สามารถกำจัดกลิ่นจากอุจจาระได้ และกลิ่นจะยิ่งรุนแรงขึ้นในฤดูแล้ง ซึ่งชาวบ้านยังไม่รู้จักส้วมแบบนั่งยองหรือคอห่าน

ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 รัฐบาลเนเธอร์แลนด์สร้างส้วมสาธารณะสำหรับประชาชนเป็นครั้งแรกที่จาการ์ตา เรียกว่ากากุส ห้องส้วมในตอนนั้นใช้โถส้วมแบบนั่งยอง นอกจากนี้มีการสร้างห้องส้วมแบบนั่งยองใช้ในอาคารสำนักงานการรถไฟ หรือที่เรียกว่า Lawang Sewu สร้างขึ้นในปี 1902 ที่เมืองเซอมารัง ชวากลาง หลังจากนั้นสำนักงานหลายแห่งได้จัดให้มีห้องส้วมซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นอาคารแยกออกไปอยู่ด้านหลังสุด ดังนั้น เมื่อชาวอินโดนีเซียจะไปห้องส้วม ไม่ว่าจะถ่ายหนักถ่ายเบา ก็จะพูดว่า ‘เม้า เกอ เบอลากัง (mau ke belakang)’ ที่แปลว่าอยากไปด้านหลัง เพราะห้องส้วมอยู่ด้านหลังอาคาร ซึ่งการพูดแบบนี้ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน

ช่วงทศวรรษ 1930 ห้องส้วมแบบนั่งยอง ห้องอาบน้ำสาธารณะ และการระบายน้ำได้แผ่ขยายไปยังหมู่บ้านต่างๆ คนพื้นเมืองเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ห้องน้ำและห้องส้วมแบบใหม่ เมื่อเห็นห้องส้วมและห้องน้ำสาธารณะทำให้ประชาชนเริ่มนิยมสร้างห้องส้วมและห้องน้ำไว้ที่บ้านของตัวเองบ้าง 


‘ส้วมชักโครก’ สัญลักษณ์ของความทันสมัยในทศวรรษ 1970


ทศวรรษ 1970 เป็นช่วงที่อินโดนีเซียมีพัฒนาการเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด ภายใต้การชูนโยบายการพัฒนาของรัฐบาลประธานาธิบดีซูฮาร์โต อินโดนีเซียเข้าสู่โลกทุนนิยมแบบเต็มที่ แม้แต่ห้องส้วมก็เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของการพัฒนา ส้วมแบบชักโครกถูกมองเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจและมีวิถีชีวิตแบบสมัยใหม่ ส้วมแบบชักโครกเข้ามาแทนที่ส้วมแบบนั่งยอง ห้องส้วมแบบชักโครกถูกถือว่าเป็นห้องน้ำแบบแห้งและถูกสุขอนามัยกว่าส้วมแบบนั่งยองที่เป็นห้องน้ำแบบเปียก 

แต่การเปลี่ยนผ่านจากส้วมแบบนั่งยองสู่ส้วมแบบชักโครกก็ไม่ได้ราบรื่นและรวดเร็ว ประชาชนอินโดนีเซียจำนวนไม่น้อยนิยมและคุ้นชินกับส้วมแบบนั่งยองมากกว่า สาเหตุหนึ่งเนื่องจากชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่เป็นมุสลิมซึ่งต้องละหมาดวันละห้าเวลา จึงคุ้นเคยกับห้องน้ำแบบเปียกมากกว่า ดังนั้นในหลายที่จะพบการผสมผสานทางวัฒนธรรม คือมีทั้งส้วมแบบนั่งยอง มีอ่างน้ำ และมีขันในห้องน้ำ ใครใคร่กดชักโครกกด ใครใคร่ตักน้ำราดชักโครกก็ตามสะดวก และจะเห็นได้ว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยขึ้นไปนั่งยองๆ บนชักโครกเวลาทำธุระส่วนตัว จนต้องมีป้ายบอกและป้ายห้ามให้เห็นกัน ส้วมแบบชักโครกแพร่หลายและเป็นที่นิยมใช้ในอินโดนีเซียราวทศวรรษ 1990 

ปัจจุบันมีการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า ‘สมาร์ทตอยเล็ต’ หรือห้องน้ำอัจฉริยะเข้าไปติดตั้งตามสถานที่ต่างๆ ในอินโดนีเซีย เช่น ตรงสะพานลอยฟ้าที่ตานะห์ อาบัง (Tanah Abang) จาการ์ตากลาง หรือในรถไฟระดับไฮเอ็นบางสาย สมาร์ทตอยเล็ตจะมีประตูห้องน้ำอัจฉริยะที่เปิดปิดอัตโนมัติ ตลอดจนปุ่มกดน้ำเพื่อชำระล้างหลังเสร็จธุระ

อินโดนีเซียเป็นประเทศใหญ่และมีประชากรจำนวนมาก จนถึงทุกวันนี้เรายังคงเห็นห้องส้วมแทบจะทุกรูปแบบดำรงอยู่ในประเทศ เมื่อกลางปี 2024 ผู้เขียนกับเพื่อนๆ จำนวนหนึ่งเดินทางไปเยือนจาการ์ตา ในเช้าวันหนึ่งที่เรากำลังจะไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเรือที่ตั้งอยู่บริเวณจาการ์ตาทางเหนือ ทางไปพิพิธภัณฑ์ต้องผ่านคูคลอง ขณะที่รถบัสกำลังผ่านคลอง ผู้เขียนเห็นชายผู้หนึ่งนั่งปลดทุกข์ (หนัก) ลงแม่น้ำ เห็นกันจะๆ คาตา ราวกับได้ย้อนกลับไปในยุคอาณานิคมโดยที่ไม่ต้องผ่านกระจก ตกน้ำ หรือฟ้าผ่าร่างแต่อย่างใด 


ข้อมูลประกอบการเขียน

Alexander, Hilda B. “Tahun 1970, Toilet Duduk Simbol Kesukesan Ekonomi.” Kompas, 29 September 2014, https://properti.kompas.com/read/2014/09/29/1214034/Tahun.1970.Toilet.Duduk.Simbol.Status.Kesuksesan.Ekonomi

Budiman, Hary Ganjar. “Perkembangan Sanitasi dan Prasarana Kebersihan di Kota Bandung awal Abad ke-20.” Paradigma: Jurnal Kajian Budaya, Volume 12, Number 3, December 2022: 263-280. 

Misbahuddin, Muhammad, Setyawan, Agus, Amaliya, Niila Khoiru and Sholihah, Rizki Amalia. “Toilet dan Process Inkulturasi Masyarakat Jawa Menjadi Masyarakat Kolonial di Surakarta Abad XX.” JUSPI (Jurnal Sejarah Peradaban Islam), Volume 4, Nomor 2, January 2021: 133-148. 

Muhammad, Wahyudi Akmaliah. “Tinjauan Buku: Politik Wacana Budaya Kebersihan dalam Paskolonial Indonesia.” Masyarakat Indonesia, Volume 38, No. 2, December 2012: 477-496. 

Putri, Risa Herdahita. “Peradaban dari Jamban ke Jamban.” Historia, 20 February 2021, https://historia.id/asal-usul/articles/peradaban-dari-jamban-ke-jamban-D80GQ/page/1 

Rachmadita, Amanda. “Dari Guci Jadi WC.” Historia, 25 August 2023, https://historia.id/urban/articles/dari-guci-jadi-wc-PdM47 

“Sejarah Toilet dari Masa ke Masa / Dari yang bikin shock sampai yang Wow!!.” Griyasatria, 18 September 2021, https://www.griyasatria.co.id/sejarah-toilet-dari-masa-ke-masa/

Tim Redaksi. “Awal Kebiasaan Kita Berak di Sungai.” VOI, 23 November 2021, https://voi.id/memori/107187/awal-kebiasaan-kita-berak-di-sunga 

Trengginas, Satrio Sarwo. “Meseum Fatahillah Dulu Tak Punya Toilet, Begini Cara Orang Belanda Bila Mules Ingin BAB.” TribunJakarta, 2 July 2022, https://jakarta.tribunnews.com/2022/07/02/museum-fatahillah-dulu-tak-punya-toilet-begini-cara-orang-belanda-bila-mules-ingin-bab 

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save