รัฐไร้น้ำยา-สังคมไร้หวัง: ความคับแค้นของหนุ่มสาวอินโดนีเซีย สู่ปรากฏการณ์ ‘ย้ายประเทศกันเถอะ!’

ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลายเมืองของประเทศอินโดนีเซียได้ปรากฏฝูงชนคนหนุ่มสาวรวมกันนับหลักพันถึงหลักหมื่นคนลงถนนชุมนุมประท้วงกันครั้งใหญ่ โดยพวกเขาใช้ชื่อธีมของการชุมนุมในครั้งนี้ว่า ‘Indonesia Gelap’ หรือ ‘Dark Indonesia’ ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า ‘ยุคมืดของอินโดนีเซีย’

การประท้วงใหญ่ที่เกิดขึ้นนี้กลายเป็นความท้าทายต่อรัฐบาลของประธานาธิบดี ปราโบโว ซูเบียนโต (Prabowo Subianto) ที่เพิ่งตั้งไข่มาได้ราวๆ สี่เดือน ทำให้รัฐบาลชุดนี้กลายเป็นรัฐบาลที่ต้องเผชิญหน้ากับการประท้วงของมหาชนเร็วที่สุดในบรรดารัฐบาลอินโดนีเซียที่ผ่านมาทั้งหมดในยุคสมัยใหม่

หากถามว่าคนหนุ่มสาวอินโดนีเซียไม่พอใจอะไรจนถึงขั้นต้องมาลงถนนนั้น เรื่องของเรื่องคือตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีปราโบโวออกมาประกาศว่าจะใช้นโยบายรัดเข็มขัดงบประมาณ ทำให้มีการตัดงบของภาครัฐออกในหลายส่วน โดยเฉพาะงบส่วนที่ดูฟุ่มเฟือยไม่จำเป็น ด้วยเหตุผลว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารของรัฐ ซึ่งรวมๆ แล้วจะทำให้มีงบถูกลดไปทั้งหมดสูงถึงประมาณ 700 ล้านล้านรูเปียห์ (ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท) โดยการตัดงบนี้จะดำเนินไปเป็นระยะๆ

นโยบายนี้ฟังเหมือนว่าจะดูดี แต่เมื่อไปชำแหละไส้ในของการเฉือนงบจริงๆ คนอินโดนีเซียพบว่ามีงบประมาณสำคัญหลายส่วนที่ถูกหางเลขไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบประมาณในมือของกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม การวิจัย และเทคโนโลยี (Ministry of Education, Culture, Research, and Technology) ที่ถูกตัดออกไปถึงหนึ่งในสี่จากงบประมาณเดิม

การตัดงบกระทรวงศึกษาธิการฯ นี้เองคือชนวนสำคัญที่ทำให้กลุ่มนักเรียนนักศึกษาคนรุ่นใหม่ไม่พอใจจนต้องออกมาเดินขบวนประท้วง เพราะพวกเขากังวลว่าการตัดงบก้อนใหญ่ออกไปนี้จะส่งผลให้สถาบันการศึกษาเก็บค่าเล่าเรียนแพงขึ้น ให้ทุนการศึกษาลดลง และที่สำคัญคืออาจส่งผลให้คุณภาพการศึกษาแย่ลง

นอกจากกระทรวงศึกษาธิการแล้ว อีกกระทรวงที่โดนหั่นงบไปไม่น้อยคือกระทรวงโยธาธิการ (Ministry of Public Works) ซึ่งมีหน้าที่ก่อสร้างและดูแลโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น โครงข่ายถนน ระบบชลประทาน ฯลฯ ส่งผลให้หลายโครงการที่กำลังเดินหน้าอยู่ต้องชะงักลง และทำให้คนหนุ่มสาวกังวลถึงคุณภาพโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

แม้การประหยัดงบประมาณจะเป็นเรื่องที่ดี แต่คนอินโดนีเซียจำนวนมากก็ไม่เห็นด้วยที่งบประมาณสำคัญๆ เหล่านี้ต้องได้รับผลกระทบไปด้วย และความไม่พอใจของประชาชนก็ไม่ได้จบแค่นั้น เพราะประธานาธิบดีปราโบโวออกมากล่าวว่าเหตุผลที่เขาจำใจต้องเฉือนงบเหล่านี้ออกไปก็เพื่อจะนำงบไปสนับสนุนการเดินหน้านโยบายสำคัญๆ ของเขา โดยนโยบายหนึ่งที่ตกเป็นประเด็นคือนโยบายแจกอาหารกลางวันฟรีให้เด็กทั่วประเทศ

การชุมนุม Indonesia Gelap / Dark Indonesia วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2025
ภาพถ่ายโดย JUNI KRISWANTO / AFP

ย้อนไปตั้งแต่ช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 นโยบายอาหารกลางวันฟรีถือเป็นนโยบายไฮไลต์ที่ปราโบโวหยิบขึ้นมาหาเสียง ปราโบโวบอกว่านโยบายนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดต่ออินโดนีเซีย เพราะปัญหาเด็กขาดแคลนสารอาหารกำลังเป็นปัญหาใหญ่มากของประเทศ ซึ่งในที่สุดมันจะตามมาด้วยผลสืบเนื่องหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือปัญหาคุณภาพประชากรที่กำลังจะเติบโตมาเป็นแรงกำลังทางเศรษฐกิจของสังคม จนในที่สุดจะกลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และฉุดรั้งความฝันของอินโดนีเซียที่จะทะยานสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว

เมื่อปราโบโวชนะเลือกตั้งและรับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2024 เขาก็เดินหน้านโยบายนี้ตามคำมั่นสัญญา การแจกอาหารกลางวันฟรีนี้ครอบคลุมเด็กทั่วประเทศจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจำนวนรวมกันกว่า 80 ล้านคน แถมยังครอบคลุมถึงหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ขณะที่อาหารที่ถูกทำแจกนั้นก็ไม่ใช่ว่าสักแต่จะทำเมนูอะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นอาหารที่มีสารอาหารอย่างครบถ้วน ทำให้ต้องมีการตั้งโรงครัวหลายจุดทั่วประเทศเพื่อทำอาหารส่งให้กับเด็กๆ ไม่ว่าจะตามโรงเรียนหรือที่บ้าน โดยในเดือนมกราคม 2025 ที่ผ่านมานี้ โครงการเพิ่งได้เริ่มดำเนินการในเฟสแรกซึ่งครอบคลุมเด็กราว 15 ล้านคน

ถ้าดูจากตัวเลขประชากรที่นโยบายนี้ครอบคลุม แน่นอนว่านี่คือโครงการขนาดยักษ์ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล โดยมีการคาดการณ์ไว้ภายในระยะเวลาห้าปีตลอดวาระดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีปราโบโวนี้ โครงการนี้จะใช้งบรวมกันทั้งสิ้นถึง 450 ล้านล้านรูเปียห์ หรือเกือบ 1 ล้านล้านบาท

แม้ประชาชนอินโดนีเซียจะเห็นด้วยกับนโยบายนี้โดยหลักการ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่าการขาดสารอาหารในเด็กกำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ แต่คำถามก็เกิดขึ้นมามากมายว่าในเมื่อโครงการยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แล้วรัฐบาลจะนำงบมาจากไหน

ในที่สุดปราโบโวก็แสดงคำตอบให้เห็นว่าเงินที่จะได้เพื่อมาขับเคลื่อนนโยบายนี้ก็มาจากการตัดงบของรัฐส่วนอื่นมาโปะนั่นเอง แต่นี่ก็ทำให้หนุ่มสาวอินโดนีเซียตั้งคำถามว่า แม้นโยบายนี้จะสำคัญ แต่สิทธิสวัสดิการด้านการศึกษาอื่นๆ และงบที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ถูกตัดไป ก็สำคัญเหมือนกันไม่ใช่หรือ และขณะเดียวกันก็ยังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าดูเหมือนปราโบโวจะให้ความสำคัญกับการดันนโยบายที่ตัวเองหาเสียงไว้ให้ประสบความสำเร็จมากกว่า จนละเลยเรื่องอื่นๆ ไป

นอกจากโครงการอาหารกลางวันฟรีแล้ว อีกโครงการหนึ่งที่ปราโบโวบอกว่าจะผันเงินไปสนับสนุนก็คือการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติดานันตารา (Danantara) เพื่อนำเงินของรัฐไปลงทุนสร้างดอกผลกำไรกลับมาพัฒนาประเทศ ด้วยความคาดหวังว่าจะช่วยผลักดันให้จีดีพีของประเทศทะยานขึ้นไปเติบโตที่ระดับ 8%

ทั้งโครงการอาหารกลางวันฟรีและกองทุนดานันตาราอาจเป็นนโยบายที่มีรูปร่างหน้าตาต่างกันสิ้นเชิง หากแต่มีจุดหมายปลายทางเดียวกันคือการช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตจนขึ้นไปยืนในฐานะประเทศพัฒนาแล้วให้ได้ภายในปี 2045 เป็นไปตามวิสัยทัศน์ Indonesia Emas (Golden Indonesia) หรือยุคทองของอินโดนีเซีย ที่ปราโบโวหมายมั่นปั้นมือ

ไม่มีใครปฏิเสธว่าตนก็อยากให้ประเทศอินโดนีเซียไปถึงจุดนั้นให้ได้ แต่ก็มองว่าสิ่งที่รัฐบาลปราโบโวทำอยู่ไม่น่าจะมาถูกทาง และไม่น่าจะใช่การเข้าสู่ยุคทองของอินโดนีเซียตามที่ปราโบโวพูดไว้ แต่น่าจะเป็นยุคมืดมากกว่า จึงเป็นที่มาของการตั้งชื่อการประท้วงว่า Indonesia Gelap / Dark Indonesia  

การประท้วงดำเนินมาอยู่พักใหญ่พร้อมด้วยข้อเรียกร้อง 13 ข้อที่มีตั้งแต่ประเด็นการเรียกร้องให้รัฐทบทวนนโยบายต่างๆ ที่เพิ่งออกมา ไปจนถึงการแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมือง จนที่สุดรัฐบาลก็ยอมรับปากที่จะเอาข้อเสนอบางเรื่องของนักศึกษากลับไปทบทวน รวมถึงยืนยันว่าข้อกังวลของหลายคนจะไม่เกิดขึ้น เช่นการขึ้นค่าเทอม แต่ขณะเดียวปราโบโวก็ออกมาปกป้องแนวทางของตัวเอง โดยยืนยันว่าเป็นแนวทางที่จะทำให้อินโดนีเซียเป็นยุคทองได้จริง และทุกคนก็จะได้ดอกผลจากมัน

ปราโบโว ซูเบียนโต ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย
ภาพถ่ายโดย กอบบุญ บูรโชควิวัฒน์ / The101.world

แม้การประท้วงจะซาลงไป แต่ก็คงไม่น่าสงบลงเสียทีเดียว วันใดในหนึ่งที่รัฐบาลทำอะไรให้คนหนุ่มสาวไม่พอใจขึ้นมาอีก ก็มีแนวโน้มสูงที่การประท้วงจะกลับมา และจะว่าไปการประท้วงของกลุ่มคนรุ่นใหม่ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งถี่ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หรือหากเปรียบให้เห็นภาพ การประท้วงครั้งล่าสุดนี้ก็ยังเป็นแค่ตอนล่าสุดของซีรีส์ขนาดยาว

พลังเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในอินโดนีเซียยุคปัจจุบันปะทุขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ คือช่วงปี 2019 ตั้งแต่สมัยที่โจโก วีโดโด (Joko Widodo) หรือโจโกวี (Jokowi) ยังเป็นประธานาธิบดีอินโดนีเซีย หลังจากที่อินโดนีเซียไม่ได้เห็นนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ออกมาเคลื่อนไหวใหญ่นานมากนับ 20 ปี ตั้งแต่ที่ขบวนการนักศึกษาสามารถโค่นระบอบเผด็จการนายพลซูฮาร์โตลงได้ในปี 1998 ก่อนเดินหน้าเข้าสู่การพัฒนาประชาธิปไตย

การกลับมาของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ในปี 2019 มีเหตุปัจจัยมาจากความไม่พอใจที่ก่อตัวสั่งสมมาเรื่อยๆ ทั้งในมุมเศรษฐกิจและการเมือง

ในมุมเศรษฐกิจนั้น สิ่งที่คนหนุ่มสาวไม่พอใจมากที่สุดก็คือการที่รัฐบาลแก้กฎหมายที่ไปลดทอนสิทธิสวัสดิการของแรงงานในหลายประเด็น เพื่อจะเอาอกเอาใจนายทุนผู้ประกอบการ ด้วยข้ออ้างการลดข้อจำกัดเรื่องแรงงานต่างๆ ลงจะช่วยดึงดูดให้คนกล้ามาลงทุนมากขึ้น และช่วยสร้างงานมากขึ้น แม้ประเด็นนี้อาจจะยังไม่ได้เกี่ยวกับนักศึกษาโดยตรง แต่พวกเขาก็มองว่าอีกไม่ช้าไม่นานตนก็กำลังจะต้องเข้าสู่ตลาดแรงงาน และไม่อยากจะต้องเผชิญภาวะที่สิทธิสวัสดิการมาถูกลิดรอนเช่นนี้

ส่วนในมุมการเมือง คนหนุ่มสาวมองว่ารัฐบาลมีการแก้กฎหมายและมีพฤติกรรมหลายอย่างที่เริ่มจะดูไม่เป็นประชาธิปไตยนัก เสมือนว่าเป็นการทรยศหักหลังความพยายามปฏิรูปการเมืองสู่ประชาธิปไตยที่ดำเนินมาตลอดกว่าสองทศวรรษนับตั้งแต่การล่มสลายของเผด็จการซูฮาร์โต ยกตัวอย่างเช่น มีการแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจประธานาธิบดี ลดอำนาจองค์กรที่ทำหน้าที่กำกับดูแลรัฐ รวมทั้งเริ่มเห็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ และยังมีหลายกรณีที่ทำให้คนรู้สึกว่าประธานาธิบดีโจโกวีในตอนนั้นกำลังเอื้อประโยชน์ทางการเมืองให้กับคนในตระกูลและพวกพ้องบริวารของตัวเอง

การชุมนุมประท้วงของขบวนการนักศึกษาในปี 2019
ภาพถ่ายโดย ADEK BERRY / AFP)

แม้ว่าโจโกวีจะหมดวาระในตำแหน่งประธานาธิบดีลง และส่งต่อให้ปราโบโวเมื่อเดือนตุลาคม 2024 แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้คนหนุ่มสาวเห็นความหวังมากขึ้นเท่าไหร่นัก เพราะหลายนโยบายก็สานต่อมาจากโจโกวี และดูเหมือนจะยิ่งสิ้นหวังเสียด้วยซ้ำ เพราะภาพลักษณ์ของปราโบโวเองก็ไม่ได้ดูจะเป็นบวกต่อประชาธิปไตยเท่าไหร่นัก ด้วยความที่เขาเคยเป็นนายทหารใหญ่ที่มีบทบาทในการละเมิดสิทธิมนุษยชนประชาชนหลายคนในยุคซูฮาร์โต โดยไม่เคยเอ่ยคำขอโทษและแสดงความรับผิดชอบใดๆ ทั้งยังเคยแสดงความเห็นในเชิงลบต่อระบบประชาธิปไตย การเลือกตั้ง และคุณค่าสิทธิมนุษยชนอยู่ในบางครั้ง จนเป็นที่กังวลว่าประชาธิปไตยอาจถดถอยหนักกว่าเดิม

ถ้าวัดความนิยมของปราโบโว จะเห็นว่าเขายังได้คะแนนนิยมที่สูงมากโดยอยู่ที่ 81% นั่นอาจแปลว่าคนหนุ่มสาวที่ออกมาส่งเสียงต่อต้านเขาก็คือเสียงส่วนน้อย แต่ก็มีคนบางส่วนที่ตั้งคำถามคือความน่าเชื่อถือของตัวเลขนี้ แต่อย่างไรเสีย แม้คนกลุ่มนี้จะเป็นเสียงส่วนน้อยจริง ก็ถือเป็นเสียงที่ดัง และเป็นเสียงของคนที่จะเป็นพลังสำคัญขับเคลื่อนประเทศในอนาคต ความรู้สึกไม่พอใจและสิ้นหวังของพวกเขาจึงไม่น่าจะเป็นผลดีนัก

ความหมดหวังในประเทศของคนรุ่นใหม่ในอินโดนีเซียยังสะท้อนออกมาผ่านผลสำรวจของสถาบันวิจัย ISEAS – Yusof Ishak ในประเทศสิงคโปร์ที่เพิ่งจะเผยแพร่ออกมาเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา รายงานดังกล่าวสำรวจความรู้สึกของเยาวชนคนหนุ่มสาวในหกประเทศอาเซียนที่มีต่อประเทศตัวเอง ได้แก่ สิงคโปร์ เวียดนาม ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยข้อความหนึ่งในรายงานที่น่าตกใจสำหรับคนอินโดนีเซียก็คือประโยคที่ว่า “เยาวชนอินโดนีเซียมีแนวโน้มมองประเทศตัวเองในแง่ร้ายมากที่สุด” เมื่อเทียบกับเยาวชนในประเทศอื่นๆ ของอาเซียนที่ได้รับการสำรวจ

เมื่อดูลึกลงไปในรายละเอียดของตัวรายงาน จะเห็นว่าหนุ่มสาวอินโดนีเซียได้สะท้อนความไม่พอใจในสังคมตัวเองหลายต่อหลายเรื่อง โดยไม่ใช่เพียงเรื่องปัญหาเฉพาะหน้าเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างและปัญหาระยะยาวมากมายที่พวกเขาไม่พึงใจ ทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ำ การว่างงาน โอกาสเศรษฐกิจที่ตีบตัน การบังคับใช้กฎหมายที่ไร้ประสิทธิภาพ และคอร์รัปชัน เป็นต้น

ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้ก็ถือเป็นประเด็นที่กลุ่มขบวนการนักศึกษาออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐแก้ไขมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าเสียงของพวกเขาไม่ได้รับการตอบสนองเท่าไหร่นัก

เมื่อความโกรธเกรี้ยวไม่พอใจบวกกับความสิ้นหวังสั่งสมขึ้นมาเรื่อยๆ ในหมู่คนรุ่นใหม่ ในที่สุดอินโดนีเซียจึงได้เห็นอีกปรากฏการณ์หนึ่งเกิดขึ้นมาเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ผ่านแฮชแท็ก #KaburAjaDulu ที่แปลเป็นไทยว่า ‘หนีไปกันก่อนเถอะ’ และคำว่าหนีที่ว่านั้นจะหมายความเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก ‘หนีไปจากประเทศนี้’

อันที่จริงแฮชแท็กนี้ถูกพบครั้งแรกมาตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2024 แต่เพิ่งจะมาไวรัลและติดเทรนด์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียขึ้นมาก็ในเดือนกุมภาพันธ์โดยไม่มีใครรู้ต้นสายปลายเหตุแน่ชัด ข้อความบทสนทนาที่ปรากฏในแฮชแท็กนี้มีเนื้อหาหลากหลาย ซึ่งโดยมากเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันว่าถ้าจะย้ายไปประเทศนั้นนี้ ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง มีเทคนิคอะไรที่ช่วยให้ย้ายไปได้ง่าย และเมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ รายได้ ค่าครองชีพ เป็นอย่างไร รวมถึงมีการกระจายข่าวการรับสมัครงานในบริษัทต่างประเทศต่างๆ นอกจากนั้นยังมีข้อความอีกกลุ่มหนึ่งที่ปรากฏมาคู่กันในแฮชแท็กนี้ นั่นคือข้อความที่พร่ำบ่นถึงสารพัดปัญหาในประเทศอินโดนีเซียที่ทำให้ตนทนไม่ไหวจนต้องคิดย้ายออกไปหาประเทศที่ตอบโจทย์ชีวิตตัวเองและมีโอกาสเปิดกว้างมากกว่า  

เมื่อกระแสไวรัลนี้เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับการประท้วง Indonesia Gelap / Dark Indonesia ในที่สุดสองปรากฏการณ์นี้จึงถูกรวมเข้าด้วยกัน เห็นได้จากหลายข้อความบนโซเชียลมีเดียที่เริ่มปรากฏแฮชแท็ก #KaburAjaDulu และ #IndonesiaGelap มาคู่กัน และขณะเดียวกันคำว่า KaburAjaDulu นี้ก็ไปโผล่ในการชุมนุมบนท้องถนนของคนหนุ่มสาวด้วยเช่นกัน สะท้อนว่าแม้สองปรากฏการณ์นี้จะต่างคนต่างเกิดขึ้นมา แต่ที่สุดแล้วทั้งสองก็คือเรื่องที่เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ขาด

แต่ขณะเดียวกันก็มีประชาชนหลายคน รวมถึงคนระดับรัฐมนตรี ออกมาวิจารณ์ค่อนขอดแนวคิดอยากย้ายประเทศของคนหนุ่มสาวเหมือนกัน บางคนกล่าวหาว่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้เป็นพวกไม่รักชาติ บางคนก็ไล่ให้พวกเขาไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับมาอีก หรือบางคนก็ดูแคลนว่าคนพวกนี้แค่โพสต์ข้อความไปตามกระแสเท่านั้น ไม่ได้มีปัญญาที่จะย้ายไปจริง

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการบางคนก็ออกมาเตือนว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อาจไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ เช่น อีม ฮาลิมาตูซาดิยาห์ (Lim Halimatusa’diyah) และนอร์ชาฮ์ริล ซาอัต (Norshahril Saat) นักวิชาการจากสถาบัน ISEAS – Yusof Ishak ที่บอกว่าหากคนหนุ่มสาวไม่สามารถอดรนทนต่อสภาพบ้านเมืองได้อีกต่อไปและตัดสินใจพากันไปจริง ก็อาจทำให้อินโดนีเซียต้องเผชิญปรากฏการณ์สมองไหลครั้งใหญ่

หากว่าตามจริง เค้าลางก็เริ่มเห็นได้ชัดขึ้นแล้ว เช่น สถิติจากกระทรวงแรงงานของอินโดนีเซียเองที่ระบุว่า ในช่วงระหว่างปี 2019-2022 มีคนอินโดนีเซียถึงเกือบ 4,000 คนที่ได้ย้ายประเทศและเปลี่ยนสัญชาติเป็นสิงคโปร์

นักวิชาการยังเตือนอีกว่าถ้ายังปล่อยให้เทรนด์นี้เกิดขึ้นต่อไป นี่จะส่งผลร้ายแรงต่อเศรษฐกิจอินโดนีเซียที่จะขาดแรงกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ และในที่สุดวิสัยทัศน์ Indonesia Emas / Golden Indonesia ที่รัฐบาลให้คำมั่นว่าจะทำให้อินโดนีเซียเป็นประเทศพัฒนาแล้วให้ได้ภายในปี 2045 นั้น ก็อาจไม่เกิดขึ้นจริง

ท้ายสุด นักวิชาการจึงเสนอแนะต่อรัฐบาลอินโดนีเซียว่า ไม่ว่าเสียงเรียกร้องของหนุ่มสาวรุ่นใหม่จะขัดใจหรือตรงใจกับรัฐก็แล้วแต่ อย่างน้อยที่สุดรัฐก็ต้องรับฟังและเปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้ส่งเสียงมากขึ้น เพราะอย่างไรเสียการที่ประเทศชาติจะเดินหน้าพัฒนาต่อไปได้นั้นย่อมไม่มีทางที่จะขาดแรงกำลังของคนรุ่นใหม่ๆ ได้


อ่านเพิ่มเติมที่

“แพ้ ก็ดีกว่าไม่ทำอะไร” คุยกับขบวนการนักศึกษาอินโดนีเซีย กับการต่อสู้ครั้งใหม่ในยามประชาธิปไตยใกล้ริบหรี่

การประท้วงในอินโดนีเซีย กับการตื่นขึ้นอีกครั้งของพลังนักเรียนนักศึกษาในรอบกว่า 20 ปี

Youth and Civic Engagement in Southeast Asia: A Survey of Undergraduates in Six Countries

Prabowo Should Take Heed of Discontent Among Indonesian Youth

#KaburAjaDulu and the urge to resist, in whatever form, from whatever place

Indonesia Faces Rising Brain Drain as Skilled Workers Move Abroad

Young Indonesians yearn to ‘run away’ overseas for work as frustration grows

‘Most deadly 100 days’: Indonesia’s Prabowo faces major student protests against costly policies

Will the ‘Dark Indonesia’ protests against Prabowo’s austerity cuts escalate further?


หมายเหตุ: สามารถรับฟังเนื้อหาประเด็นนี้ในรูปแบบรายการได้ที่ ASEAN บ่มีไกด์ EP.40: #ย้ายประเทศกันเถอะ เมื่อหนุ่มสาวอินโดฯ สิ้นหวังกับรัฐบาล

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

18 Oct 2022

รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นได้อย่างไร?: จากสงเคราะห์คนยากไร้ สู่สิทธิสวัสดิการที่ขาดไม่ได้

โกษม โกยทอง เขียนถึง เส้นทางการกำเนิดรัฐสวัสดิการในโลกตะวันตกและข้อถกเถียงในการสร้างรัฐสวัสดิการในแต่ละรูปแบบ

โกษม โกยทอง

18 Oct 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save