‘กอดสะเทือนโลก’ ฉากทัศน์ความสัมพันธ์อินเดีย-รัสเซียภายใต้ความผันผวนการเมืองโลก

เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมระหว่างวันที่ 8-9 ที่ผ่านมานี้ นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ได้เดินทางเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการโดยมีประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ซึ่งภาพที่ทั่งคู่โผเข้ากอดกันเมื่อพบหน้ากันเป็นครั้งแรกหลังจากไม่ได้พบกันนานหลายปี กลายเป็นเป็นภาพถ่ายที่สะท้านสะเทือนไปทั้งโลก

ท่ามกลางสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่กำลังเข้าสู่ปีที่ 3 ส่งผลให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริการวมถึงชาติยุโรปมีความคาดหวังอย่างมากต่อบทบาทของอินเดียในการให้ความร่วมมือในการกดดันรัสเซียเพื่อยุติสงครามในยูเครน อย่างไรก็ตามภาพการเดินทางเยือนและการสวมกอดกันฉันมิตรไมตรีที่สนิทสนมกันมาอย่างยาวนาน รวมถึงอากัปกิริยาระหว่างสองผู้นำตลอด 2 วัน สร้างแรงสั่นสะเทือนมากมายโดยเฉพาะในฝั่งของสหรัฐอเมริกา ชาติยุโรป และยูเครนที่กำลังเผชิญผลกระทบอย่างหนักจากสงครามที่เกิดขึ้นกว่า 3 ปี นักวิเคราะห์มากมายออกมาวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีโมดีถึงการเดินทางไปจับมือกับปูตินถึงบ้าน โดยละเลยถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในยูเครน

อย่างไรก็ตาม การพูดคุยระหว่างสองผู้นำไม่มีการกล่าวหรือระบุถึงสถานการณ์ในยูเครน แต่ส่วนใหญ่เน้นย้ำถึงสายสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่มีมาอย่างยาวนาน รวมถึงความร่วมมือที่ทั้งสองประเทศสามารถมีร่วมกันได้ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต บทความชิ้นนี้จึงอยากชวนวิเคราะห์ถึงปัจจัยเบื้องหลังที่ส่งผลให้อินเดียต้องตัดสินใจเดินหน้าสานสัมพันธ์กับรัสเซีย และการเดินทางเยือนรัสเซียในรอบนี้ของนายกรัฐมนตรีอินเดียส่งผลอย่างไรต่อพันธมิตรอื่นๆ รวมถึงจีน ตลอดจนวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศภายใต้สภาวะภูมิรัฐศาสตร์โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง

ปัจจัยอะไรที่ทำให้อินเดียตัดสินใจเดินหน้าเข้าหารัสเซีย

การเดินทางเยือนรัสเซียในครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรีโมดีถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง และถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในพัฒนาการความสัมพันธ์อินเดีย-รัสเซีย การเยือนครั้งนี้ถือเป็นการเยือนรัสเซียครั้งแรกของโมดีนับตั้งแต่เริ่มดำรงตำแหน่งสมัยที่สาม และที่สำคัญกว่านั้น คือ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนทวีความรุนแรงขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022 ฉะนั้นการเดินทางเยือนในครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างมากในเชิงสัญลักษณ์ โดยเฉพาะการส่งสัญญาสู่ประชาคมระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม คำถามที่สำคัญคืออะไรทำให้อินเดียที่พยายามสงวนท่าทีมาโดยตลอดตัดสินใจเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้นในครั้งนี้ ทั้งที่ภาพที่ออกมาอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของอินเดียในประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเข้าใกล้รัสเซียมากเกินไปในสภาวะที่สงครามยูเครนยังไม่สงบ

นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าปัจจัยสำคัญของการเคลื่อนไหวของฝั่งอินเดียในรอบนี้เป็นผลสำคัญมาจากปัจจัยสำคัญอย่างประเทศจีนที่ก่อนหน้านี้เพิ่งลงนามข้อตกลงในการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้านกับรัสเซีย ซึ่งสำหรับอินเดียถือว่าความเคลื่อนไหวนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อดุลอำนาจทั้งในภูมิภาคและระดับโลก โดยเฉพาะในเวทีพหุภาคีที่ทั้งจีน อินเดีย และรัสเซียทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดทั้งใน BRICS และ SCO (Shanghai Cooperation Organisation) ยิ่งไปกว่านั้นในสภาวะที่อินเดียกับจีนยังมีความขัดแย้งทางพรมแดนต่อกัน การแสวงหาพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นจึงเป็นเรื่องจำเป็น และรัสเซียเองก็เป็นหนึ่งในมหาอำนาจที่อินเดียไม่อาจสูญเสียให้กับจีนได้

ภาพสะท้อนว่าปัจจัยจีนมีส่วนสำคัญต่อการเยือนรัสเซียในรอบนี้ ยังสะท้อนผ่านการที่ทั้งจีนและรัสเซียร่วมมือกันในหลากหลายเรื่องที่ใกล้ตัวอินเดียโดยที่อินเดียไม่รับรู้ เช่น ประเด็นพม่า บังคลาเทศ และปากีสถาน จีนจึงกลายเป็นปัจจัยผลักดันสำคัญให้อินเดียต้องเคลื่อนไหวและเดินทางเยือนรัสเซียเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เพราะเมื่อพิจารณาจากเนื้อหาสาระที่ทั้งสองฝ่ายบรรลุในการพูดคุยรอบนี้ถือว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก และส่วนใหญ่เป็นประเด็นที่ถูกพูดคุยกันมาโดยตลอด

ประเด็นทางเศรษฐกิจเองถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นแรงผลักให้อินเดียออกแรงในการเยือนรอบนี้ แม้ว่านักวิเคราะห์จำนวนมากจะมองว่าประเด็นนี้ถูกยกขึ้นมาเพื่อบังหน้าความกังวลของอินเดียต่อปัจจัยเรื่องจีนต่อรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าการพูดคุยรอบนี้มีการพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างสองประเทศด้านเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ในภาพรวม เพราะรัสเซียกำลังเผชิญกับการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากอเมริกาและชาติยุโรป การเดินหน้าเจรจาทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการค้ากับรัสเซียของอินเดียในรอบนี้จึงส่งสัญญาณไม่ดีนักต่อโลกฝั่งตะวันตก เพราะนั่นอาจทำให้รัสเซียฟื้นตัวและไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกตามที่ประเทศเหล่านั้นคาดหวัง เพราะก่อนหน้านี้ก็มีมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีนคอยหนุนเศรษฐกิจและทำการค้ากับรัสเซียอยู่ด้วย

อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากสำหรับอินเดียในการลดหรือร่วมคว่ำบาตรรัสเซีย แต่ดูเหมือนนับวันเศรษฐกิจอินเดียจะเชื่อมโยงกับรัสเซียมากยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ โดยข้อมูลการค้าระหว่างสองประเทศชี้ว่าปัจจุบันทั้งสองประเทศมีมูลค่าการค้าระหว่างกันรวมกว่า 65.7 พันล้านดอลลาร์ โดยอินเดียเป็นฝ่ายขาดดุลให้กับรัสเซีย ซึ่งจำนวนมากเป็นผลมาจากการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย ที่ทุกวันนี้รัสเซียกลายเป็นแหล่งนำเข้าหลักของอินเดีย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบกว่าร้อยละ 36 จากการนำเข้าทั้งหมด และที่น่าสนใจกว่านั้นคือก่อนสงครามยูเครนอินเดียนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียเพียงร้อยละ 2 จากการนำเข้าทั้งหมดเท่านั้น ฉะนั้นประเด็นด้านเศรษฐกิจนี้เองก็ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่อินเดียต้องการเจรจาเพิ่มเติมกับรัสเซีย เพราะปริมาณน้ำมันดิบที่อินเดียนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็นผลสำคัญจากการลดราคาของรัสเซียนั่นเอง

ทั้งนี้ทั้งนั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงมองว่าเกมการเมืองระหว่างประเทศของอินเดียในการเยือนรัสเซียรอบนี้มุ่งเน้นการแสดงเชิงสัญลักษณ์มากกว่าเนื้อหาสาระ เพราะพฤติกรรมของอินเดียในรอบนี้เป็นลักษณะการป้องกันความเสี่ยงในเชิงนโยบายการต่างประเทศและความมั่นคง เพื่อส่งสัญญาณและแสดงถึงสิ่งที่อินเดียคาดหวังต่อรัสเซียในสภาวะที่ภูมิรัฐศาสตร์โลกมีความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการขยายอิทธิพลของจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งสองประเทศต่างตระหนักดีถึงประโยชน์และข้อจำกัดของความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระดับทวิภาคี ที่สำคัญคือการได้บอกกล่าวถึงท่าทีในอนาคตต่อการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ของทั้งสองประเทศที่อาจขัดแย้งกับเป้าหมายของแต่ละฝ่าย อันเป็นผลมาจากที่ทั้งสองประเทศมีอิทธิพลเพียงเล็กน้อยที่จะกำหนดตัวเลือกเชิงยุทธศาสตร์เหล่านั้น

อินเดียเยือนรัสเซีย กระทบอินเดียมากน้อยแค่ไหน

การตัดสินใจในทางเลือกต่างๆ ในการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการตัดสินใจเยือนประเทศใดประเทศหนึ่ง ประเทศหนึ่งๆ ย่อมคำนึงถึงผลได้ และผลเสียที่ตนเองจะได้รับจากการดำเนินนโยบายต่างประเทศดังกล่าว ซึ่งสำหรับการเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศของอินเดียในรอบนี้ ที่เข้าไปพัวพันกับรัสเซียในสภาวะที่ภูมิรัฐศาสตร์โลกกำลังเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจากการแข่งขันกันของจีนและสหรัฐอเมริกา สงครามในยูเครนของรัสเซีย และปัญหาฮามาสกับอิสราเอล มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อมุมมองภาพรวมระบอบระหว่างประเทศและภูมิรัฐศาสตร์โลก เพราะการเคลื่อนไหวของอินเดียซึ่งถือว่ามีบทบาทสำคัญในกลุ่มประเทศมหาอำนาจเกิดใหม่ย่อมส่งนัยสำคัญต่อพันธมิตรอื่นๆ โดยเฉพาะในวันที่รัสเซียกำลังเผชิญการคว่ำบาตรจากโลกตะวันตกอย่างหนักจากสงครามในยูเครน การเคลื่อนไหวนี้ของอินเดียย่อมมีผลกระทบตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย

นักวิเคราะห์นโยบายการระหว่างประเทศและศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยชวาหร์ลาล เนห์รูของอินเดีย อย่างศาสตราจารย์ Rajesh Rajagopalan ออกมาเขียนบทวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนและชวนตั้งคำถามต่อท่าทีของอินเดียในรอบนี้ว่า ‘ได้แต่ไม่คุ้มเสีย’ กล่าวคือการเดินทางเยือนรัสเซียในรอบนี้ นอกจากสาระที่เป็นเนื้อหนังไม่มีความชัดเจนเท่าไหร่นัก อินเดียยังแทบไม่สามารถสกัดรัสเซียไม่ให้ใกล้ชิดกับจีนตามที่ตัวเองหวังไว้

นั่นหมายความว่าที่อินเดียคาดหวังจะเข้าไปสร้างสมดุลระหว่างรัสเซีย-จีน อาจทำไม่ได้อย่างที่ตัวเองคิด แต่ในทางกลับกันคือสถานะของอินเดียต่อชาติพันธมิตรตะวันตกนั้นเปลี่ยนแปลงไปทันที และท่าทีนี้ของอินเดียจะสร้างช่องว่างที่กว้างขึ้นระหว่างอินเดียกับพันธมิตรอื่นๆ ภายใต้ชื่อ ‘อินโดแปซิฟิก’ ที่ชาติในกลุ่มนี้ต่างก็มองว่าอินเดียมีส่วนสำคัญทำให้กรอบความร่วมมือนี้ไม่ก้าวหน้ามากนักโดยเฉพาะการที่อินเดียพยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงจีนอย่างตรงไปตรงมา [1]

น่าสนใจว่าข้อวิเคราะห์นี้ดูเหมือนจะสอดคล้องกับท่าทีของชาติตะวันตกจำนวนมากที่ออกมาวิจารณ์อินเดียอย่างเปิดเผยทั้งฝ่ายสหรัฐอเมริกา ยูเครน และชาติยุโรป ซึ่งกังวลต่อการกระทำของอินเดียที่อาจมีส่วนในการสนับสนุนให้รัสเซียฟื้นตัวขึ้นมาได้ จนส่งผลให้การคว่ำบาตรไม่เป็นผลตามที่ตนเองคาดหวัง และอาจส่งผลให้สงครามยูเครนยืดเยื้อมากกว่าที่เป็นอยู่ ฉะนั้นการเยือนรัสเซียในรอบนี้ พร้อมภาพการกอดกันอย่างแนบแน่นระหว่างสองผู้นำได้ส่งสัญญาเชิงสัญลักษณ์ที่ชัดเจนของอินเดียต่อพันธมิตรอื่นที่อยู่ฝ่ายเดียวกันกับยูเครน แม้ว่าอินเดียไม่ได้สนับสนุนสงคราม และต้องการเข้าไปเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยหาข้อยุติของสงครามนี้ก็ตาม แต่นักวิเคราะห์มองว่าสถานการณ์ดังกล่าวกำลังเปลี่ยนแปลงหลังอินเดียเยือนรัสเซียในรอบนี้

นี่คือผลกระทบอีกด้านที่อินเดียได้รับจากการตัดสินใจเชิงนโยบายการต่างประเทศในรอบนี้ ซึ่งหลายส่วนคาดการณ์ว่าปรากฏการณ์เหล่านี้อยู่ในสมการของกระทรวงการต่างประเทศของอินเดียที่คาดหมายเอาไว้แล้ว เพราะในท้ายที่สุดแล้ว อินเดียมองว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือการไม่ปล่อยให้รัสเซียถลำลึกเข้าไปอยู่ในมือของจีน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อภาพรวมการต่างประเทศและความมั่นคงในระยะยาวของอินเดีย ที่สำคัญกว่านั้นคืออินเดียยังคงมองว่าอินเดียมีความสำคัญต่อชาติพันธมิตรเหล่านั้นมากกว่าที่ชาติเหล่านั้นจะผลักอินเดียออกไปเป็นศัตรู ซึ่งจะไม่เป็นผลดีอย่างมากต่อสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร เพราะเพียงแค่เกิดการร่วมมือกันระหว่างอินเดีย จีน และรัสเซีย ใน BRICS ก็สร้างความกังวลใจมากพอสมควรอยู่แล้ว และนี่ก็คือเหตุผลที่อินเดียยังคงสามารถ ‘มั่น’ คง ในแนวนโยบายต่างประเทศของตัวเองอยู่ได้นั่นเอง


[1] บทความ Modi visit isn’t driving a wedge between Russia & China, but India & Indo-Pacific allies โดย Rajesh Rajagopalan จาก ThePrint

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

Asia

27 Jun 2023

โฉมหน้าใหม่การเมืองการปกครองอัฟกานิสถาน หลัง 2 ปี ตาลีบันรีเทิร์น

อัครพันธ์ อัครโรจน์กิจ ชวนมองการเปลี่ยนแปลงของอัฟกานิสถาน หลังผ่านระยะเวลาเกือบ 2 ปี ภายใต้การกลับมาปกครองของตาลีบัน

อัครพันธ์ อัครโรจน์กิจ

27 Jun 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save