เลือกตั้งอินเดีย 2024 : สมัยที่ 3 ของโมดี กับการจัดตั้งรัฐบาลผสมครั้งแรก

นเรนทรา โมดี จากพรรคภารติยะ ชนะตะ (BJP) คว้าชัยชนะเป็นสมัยที่ 3 ในการเลือกตั้งระดับประเทศของอินเดีย แต่ชัยชนะในครั้งนี้กลับถือเป็นความล้มเหลว เพราะพรรค BJP ได้ที่นั่งในสภาเพียง 240 ที่นั่ง ซึ่งไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเก้าอี้ในสภาทั้งหมด 543 ที่นั่ง ต่างจากการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้าเมื่อปี 2019 ที่พรรค BJP ครองเสียงข้างมากเด็ดขาดถึง 303 ที่นั่ง

ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ ทำให้พรรค BJP ต้องจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคอื่นๆ ในกลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (NDA) เป็นครั้งแรก ด้วยจำนวน สส.ทั้งหมด 292 ที่นั่ง ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรฝ่ายค้าน หรือกลุ่มพันธมิตรเพื่อการพัฒนาแห่งชาติอินเดีย (INDIA) นำโดยพรรคคองเกรสแห่งชาติอินเดีย มีเก้าอี้สส.ในสภาจำนวน 234 ที่นั่ง ซึ่งถือเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับรัฐบาลมากที่สุด นับตั้งแต่โมดีขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยแรกเมื่อปี 2014

นัยความเปลี่ยนแปลงจากการเลือกตั้งอินเดียครั้งล่าสุดคืออะไร? 101 ชวนสนทนากับ ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก คอลัมนิสต์ประจำ The101.world และนักวิชาการผู้สนใจศึกษาอินเดียในมิติทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เปิดมุมมองวิเคราะห์ผลการเลือกตั้ง ทิศทางการเป็นรัฐบาลผสมครั้งแรกของพรรค BJP รวมถึงบทบาทของอินเดียต่อโลกและไทย

หมายเหตุ : เรียบเรียงเนื้อหาจากรายการ 101 One-on-One Ep.327 – ‘สู่สมัยที่ 3 ของโมดี: นัยต่อโลกและไทย’ กับ ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก เผยแพร่เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567


YouTube video


ความพ่ายแพ้ของผู้ชนะ : คะแนนเสียงที่ลดลงของพรรค BJP


หากย้อนมองลักษณะการเลือกตั้งของประเทศอินเดียที่ผ่านมา จะพบว่าบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ได้จับกลุ่มพันธมิตรกันไว้ก่อนการเลือกตั้ง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสต่อประชาชนว่าถ้าประชาชนเลือกพรรคใดก็จะได้รัฐบาลที่มีทิศทางร่วมกันกับพรรคอื่นๆ ในกลุ่มพันธมิตร และเพื่อป้องกันการตัดคะแนนกันเองระหว่างพรรคที่อยู่ในแนวร่วมเดียวกัน ซึ่งในการเลือกตั้งปี 2024 นี้ กลุ่มพันธมิตรของฝ่ายรัฐบาล หรือ NDA ได้คะแนนเสียงลดลง โดยจำนวนที่ลดลงนี้เป็นจำนวนที่นั่งของพรรค BJP ในขณะที่พรรคอื่นๆ ในกลุ่ม NDA ได้ที่นั่งตามเป้าเกือบทุกรัฐ

ผลคะแนนเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของพรรค BJP จากการทำงานใน 2 สมัยที่ผ่านมา ซึ่งหนึ่งในปัญหาที่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นสาเหตุสำคัญคือ ‘กฎหมายการปฏิรูปเกษตรกรรม’ ส่งผลกระทบต่อกลุ่มเกษตรกร ทำให้เกษตรกรจำนวนมากที่อาศัยในรัฐใหญ่ๆ ตัวอย่างเช่นกลุ่มที่อาศัยอยู่ในฝั่งตะวันตกของรัฐอุตตรประเทศ -รัฐซึ่งมีจำนวนที่นั่ง สส.ในสภาเยอะสุดในอินเดีย- เทคะแนนเสียงให้พรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน ที่นั่งของพรรค BJP ในรัฐอุตตรประเทศจึงลดลงเหลือเพียง 33 ที่นั่ง จากที่เคยได้รับที่นั่งถึง 62 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งก่อน

ในขณะเดียวกัน พรรค BJP ได้รับชัยชนะส่วนใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งนี้จากเขตเมือง เนื่องจากนโยบายทางเศรษฐกิจในสมัยที่ผ่านมาอย่างนโยบาย ‘Make In India’ และ ‘Digital India’ เป็นนโยบายที่พยายามพัฒนาพื้นที่เขตเมือง ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายเหล่านี้จึงเป็นกลุ่มชนชั้นกลางในเมือง ในทางกลับกัน ศุภวิชญ์กล่าวว่าการผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจของพรรค BJP ยังเข้าไม่ถึงประชากรกลุ่มอื่นในพื้นที่ชนบท ปัญหาความเหลื่อมล้ำในอินเดียจึงเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ พรรค BJP เองมองว่า สาเหตุที่ทำให้พรรคได้รับคะแนนเสียงลดลงคือพรรคให้ความสำคัญกับแคมเปญการหาเสียงเลือกตั้งของฝ่ายค้านในเรื่องรัฐธรรมนูญน้อยเกินไป กล่าวคือ ในขณะที่พรรคแนวร่วมฝ่ายค้านชูประเด็นเรื่องการหยุดอำนาจนิยมของโมดีและการปกป้องรัฐธรรมนูญ พรรค BJP กลับเน้นหาเสียงว่าถ้าเลือกพรรค BJP โมดีจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ ซึ่งสอดคล้องกับแคมเปญของฝ่ายค้านว่าถ้าโมดียังอยู่ต่อ ก็จะเป็นการสานต่อระบอบอำนาจนิยม

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคะแนนเสียง คือกระแสชาตินิยมฮินดูที่ปรากฏผ่านนโยบายทางสังคมและการเมืองมากมายภายใต้รัฐบาล BJP ในการเลือกตั้งรอบนี้ พรรค BJP ต้องการเกณฑ์คะแนนเสียงจากชาวฮินดู และส่งสัญญาณเชิงลบกับชาวมุสลิมซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในอินเดีย ทำให้ชาวมุสลิมเทคะแนนเสียงให้พรรคแนวร่วมฝ่ายค้านมากขึ้น เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้า โดยศุภวิชญ์มองว่าพรรค BJP คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าการหาเสียงของพรรคในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา จะทำให้พรรคสูญเสียการสนับสนุนจากชาวมุสลิม

แต่คำถามที่ตามมาคือ แนวนโยบายฮินดูชาตินิยมแบบอินเดียของพรรค BJP เป็นของคนวรรณะอะไร เพราะไม่ใช่ชาวฮินดูทุกวรรณะที่ได้ประโยชน์จากแนวทางนี้ คนที่ได้ประโยชน์มีเพียงคนวรรณะสูง ในขณะที่คนวรรณะล่างหรือวรรณะดาลิตกลับได้รับผลกระทบเชิงลบ ซึ่งผลการเลือกตั้งรอบนี้ก็สะท้อนว่าพรรค BJP สูญเสียคะแนนเสียงจากดาลิตให้กับกลุ่ม INDIA ทำให้ที่นั่งในสภาในหลายพื้นที่ของพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านสูงขึ้น โดยเฉพาะในรัฐอุตตรประเทศ

“รัฐอุตตรประเทศมีดาลิตอาศัยอยู่จำนวนมาก ซึ่งดาลิตกลุ่มใหญ่ หรือ Yadav สนับสนุนพรรคสมาจวดี (SP) จากแนวร่วมฝ่ายค้านอยู่แล้ว แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ดาลิตกลุ่มอื่นที่แต่เดิมเคยสนับสนุนพรรค BJP รอบนี้ก็หันมาสนับสนุนพรรค SP ดังนั้นถ้ามองในเชิงวรรณะ ศาสนา ก็ปรากฏชัดว่าถ้าพรรค BJP ขับเคลื่อนฮินดูชาตินิยมมากเกินไป ไม่เป็นประโยชน์กับพรรค BJP ในเชิงการเมือง” ศุภวิชญ์กล่าว

 
ชัยชนะของผู้แพ้ : การกลับมาของพรรคคองเกรส


กลุ่มแนวร่วมฝ่ายค้านชนะคะแนนเสียงในหลายรัฐที่เป็นฐานเสียงเดิมของพรรค BJP และในรัฐใหญ่อย่างรัฐอุตตรประเทศ และรัฐมหาราษฏระที่กล่าวกันว่า ถ้าพรรคไหนชนะคะแนนเสียงในเขตรัฐเหล่านี้จะมีโอกาสได้เป็นรัฐบาล

กลุ่ม INDIA ปรับกลยุทธ์การลงเลือกตั้งในเขตรัฐอุตตรประเทศเพื่อป้องกันการตัดคะแนนกันเอง เนื่องจากในการเลือกตั้ง 2 ครั้งก่อนหน้า พรรคใหญ่อย่างพรรคคองเกรสยืนกรานที่จะต่อสู้ในเขตรัฐอุตตรประเทศ ทำให้เกิดการตัดคะแนนกันเองกับพรรคสมาชวาที (SP) ซึ่งเป็นพรรคสำคัญที่มีฐานเสียงในพื้นที่ดังกล่าวอยู่แต่เดิม แต่ในการเลือกตั้งรอบนี้ พรรคคองเกรสยอมถอยให้พรรค SP โดยส่งผู้สมัครลงในรัฐอุตตรประเทศลดลง ซึ่งผลที่ออกมาก็ถือว่าเป็นความสำเร็จ เพราะพรรค SP ชนะพรรค BJP ในหลายเขตเลือกตั้ง โดยเป็นพรรคอันดับ 1 ในรัฐอุตตรประเทศที่ได้ 37 ที่นั่ง จากทั้งหมด 80 ที่นั่ง

แนวร่วมฝ่านค้านยังชนะพรรค BJP ในอีกหนึ่งรัฐใหญ่อย่างรัฐมหาราษฏระ ซึ่งมีเมืองเอกคือมุมไบ โดยศุภวิชญ์วิเคราะห์ว่า นอกจากกฎหมายการปฏิรูปเกษตรกรรมแล้ว คนมหาราษฏระเป็นกลุ่มที่เห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในเชิงการเมือง และมองว่าแนวทางการพัฒนาของพรรค BJP อาจไม่เหมาะกับรัฐของตัวเอง ส่งผลให้พรรคแนวร่วมฝ่ายค้านได้รับเสียงสนับสนุนเพิ่มมากขึ้น

“รัฐมหาราษฏระเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการเมืองรอบนี้ที่ทำให้พรรคคองเกรสได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น ถือเป็นการกลับมาอีกครั้งของพรรคคองเกรส เพราะในอดีตพรรคคองเกรสเคยมีที่นั่งในสภามากกว่านี้ ผลการเลือกตั้งรอบนี้จึงถือเป็นการกลับมาที่ดีขึ้นโดยอาศัยระบบพันธมิตร ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นไอเดียที่น่าสนใจในการปรับกลยุทธ์เลือกตั้งรอบนี้ ผลการเลือกตั้งมันบอกกับพรรคคองเกรสว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันถูกต้องแล้ว” ศุภวิชญ์กล่าว


ประชาธิปไตยแบบอินเดีย


ศุภวิชญ์เล่าว่าคนอินเดียมีนิสัยที่พร้อมเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ เมื่อนเรนทรา โมดี ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา 10 ปี คนอินเดียก็มองเห็นว่าถ้าใครมีอำนาจมากเกินไปก็ไม่เป็นผลดี ประชาธิปไตยแบบอินเดียจึงพยายามตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance) อยู่ตลอด ซึ่งการเลือกตั้งรอบนี้เป็นการเลือกตั้งในเชิงอุดมการณ์ทางการเมือง แต่พรรค BJP กลับไม่จริงจังในเรื่องนี้ และเน้นต่อสู้ด้วยนโยบายเชิงเศรษฐกิจมากกว่า

“ถ้าเรามองประวัติศาสตร์การเมืองอินเดีย ตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี 1947 และมีรัฐธรรมนูญเมื่อปี 1950 ในช่วงแรกพรรคคองเกรสชนะการเลือกตั้งมาตลอด แต่ก็มีบางช่วงสั้นๆ ที่พรรคอื่นๆ สลับขึ้นมามีอำนาจ แม้ว่าอินเดียไม่เคยมีการรัฐประหาร แต่ก็มีการหยุดชะงักของระบบประชาธิปไตย เพราะมีการงดเว้นการเลือกตั้ง ประกาศสภาวะฉุกเฉินช่วงทศวรรษที่ 1970 โดยอินทิรา คานธี จากพรรคคองเกรส ซึ่งอินทิรา คานธี ใช้ช่วงเวลานี้ปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือหลังจากปลดล็อกสภาวะฉุกเฉินและมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป พรรคอื่นๆ ชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย ส่วนพรรคคองเกรสสูญเสียที่นั่งไปจำนวนมาก นี่คือการสั่งสอนจากคนอินเดียว่า ไม่ว่ายังไงคุณก็ต้องมีการเลือกตั้งให้เรา ไม่ว่าสถานการณ์การเมือง หรือสถานการณ์รอบโลกจะเป็นยังไง คนอินเดียก็ยังมองว่าการเลือกตั้งเป็นคำตอบของเขา เพราะนี่เป็นสิทธิอย่างเดียวที่คนทุกวรรณะ ศาสนา ชาติพันธุ์ จะเท่าเทียมกันหมด” ศุภวิชญ์อธิบาย

นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างกรณีของรัฐมณีปุระ ที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเกิดปัญหาขัดแย้งกันระหว่าง 2 กลุ่มชาติพันธุ์ เมเต (Meitei) และกูกิ (Kuki)  ซึ่งนักวิเคราะห์จำนวนมากเชื่อว่ารัฐบาลของรัฐมณีปุระที่มาจากพรรค BJP มีส่วนเกี่ยวข้องกับสาเหตุความขัดแย้ง ทำให้การเลือกตั้งครั้งล่าสุด พรรคคองเกรสชนะที่นั่งทั้งหมดในรัฐนี้ สะท้อนให้เห็นว่าคนมณีปุระพร้อมที่จะ ‘สั่งสอน’ พรรค BJP ที่ผลักให้เกิดความขัดแย้งในรัฐ ซึ่งลักษณะการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ก็มีปรากฏในรัฐอื่นตลอดประวัติศาสตร์การเมืองอินเดียที่ผ่านมา


แนวโน้มนโยบายของรัฐบาลผสมพรรค BJP


รัฐบาลอินเดียเป็นรัฐบาลระบบสหภาพแห่งรัฐ (Union of States) แต่ละรัฐจะมีการเลือกตั้งระดับรัฐของตัวเองและรัฐบาลกลางต้องอาศัยความร่วมมือของรัฐบาลระดับรัฐในการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ผลการเลือกตั้งระดับประเทศในรอบนี้จึงสะท้อนแนวโน้มผลการเลือกตั้งระดับรัฐที่จะมีขึ้นในอนาคต ซึ่งหากพรรค BJP สูญเสียที่นั่งในการเลือกตั้งระดับรัฐ ก็จะดำเนินการตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้ยาก เพราะมีโอกาสที่รัฐบาลระดับรัฐจากพรรคอื่นจะขัดแย้งกับแนวนโยบายของรัฐบาลกลาง 

อย่างไรก็ตาม หลังจากนเรนทรา โมดี สาบานตนรับแต่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 3 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567  โครงการแรกที่โมดีลงนามอนุมัติคือโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร ในงประมาณราว 2 แสนล้านรูปี ซึ่งศุภวิชญ์มองว่าทางพรรค BJP เองตระหนักได้ว่าพรรคจำเป็นต้องดึงฐานเสียงสำคัญที่เป็นกลุ่มเกษตรกรกลับมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นก็จะสูญเสียคะแนนเสียงในการเลือกตั้งระดับรัฐ โดยเฉพาะในรัฐสำคัญอย่างมหาราษฏระ ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคมปีนี้ 

นอกจากโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้มีการลงนามไปแล้ว ศุภวิชญ์มองว่า การที่พรรค BJP ไม่ได้แลนด์สไลด์อย่างที่คิด ทำให้คาดการณ์แนวโน้มการผลักดันนโยบายของรัฐบาลผสมรอบนี้ได้ยาก อาทิ การแก้ไขกฎหมายสัญชาติที่ทำให้ประชาชนออกมาประท้วงช่วงปี 2019-2020 ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง พรรค BJP ก็ยังคงผลักดันกฎหมายนี้ แต่เมื่อผลการเลือกตั้งเป็นเช่นนี้ พรรค BJP อาจต้องกลับมาทบทวนการผลักดันกฎหมายสัญชาติอีกครั้ง เพราะพรรค BJP ได้จำนวนที่นั่งลดลงในรัฐใหญ่อย่างรัฐอัสสัมที่ต่อต้านกฎหมายดังกล่าว

ยิ่งไปกว่านั้น ความไม่แน่นอนของการรวมนโยบายจากแต่ละพรรคในรัฐบาลผสมก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การคาดการณ์แนวโน้มการบริหารประเทศในอีก 5 ปีต่อจากนี้เป็นไปได้ยาก

“การคาดการณ์ว่าพรรค BJP จะทำอะไรต่อไป ขึ้นอยู่กับว่าพรรค BJP จะกลับมาทบทวนอะไรบ้าง พอมันกลายเป็นรัฐบาลผสม และพรรคฝ่ายค้านมีอำนาจในการ Check and Balance มีปากมีเสียงในสภามากขึ้น ซึ่งฝ่ายค้านไม่เคยยอมแพ้ในการจัดตั้งรัฐบาล แม้ในวันที่พรรค BJP จัดตั้งรัฐบาลแล้ว แกนนำแนวร่วมฝ่ายค้านคนหนึ่งก็ยังให้สัมภาษณ์ว่า เขาพร้อมที่จะจัดตั้งรัฐบาล เพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสม” ศุภวิชญ์กล่าว


โมดี 3.0 กับบทบาทของอินเดียต่อโลก


ศาสตราจารย์แฮปปี้มอน เจคอบ (Happymon Jacob) จากมหาวิทยาลัยเยาวหราล เนรูห์ วิเคราะห์ว่า แม้ว่ารัฐบาลของพรรค BJP ในรอบนี้จะเป็นรัฐบาลผสม แต่แนวนโยบายการต่างประเทศในภาพกว้างอาจไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะนโยบายการต่างประเทศของอินเดียไม่ได้มาจากรัฐบาลโดยตรง แต่มาจากกระทรวงการต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายการต่างประเทศของพรรค BJP ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างมาก คือการปักหมุดอินเดียบนแผนที่โลก กล่าวคือ อินเดียเข้าไปมีบทบาทในการเมืองโลกมากขึ้น และเป็นประเทศที่อยู่ตรงกลางระหว่างสมรภูมิความขัดแย้งของจีนและสหรัฐอเมริกา 

ในส่วนของการต่างประเทศในระดับที่เล็กลง สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในรัฐบาลผสมคือการเมืองระดับรัฐจะเข้าไปมีส่วนกำหนดนโยบายการต่างประเทศ โดยหนึ่งในรัฐสำคัญที่มีพรมแดนติดกับประเทศเนปาลคือรัฐพิหาร รัฐบาลผสมและรัฐบาลระดับรัฐจะมีส่วนสำคัญในการกำหนดนโยบายการต่างประเทศระหว่างอินเดียและเนปาล เนื่องจากประชากรใน 2 ประเทศนี้มีการเดินทางข้ามพรมแดนกันและกัน อินเดียและเนปาลยกเว้นภาษีให้กัน และคนเนปาลก็สามารถเข้ามาทำงานในฝั่งอินเดียได้ ซึ่งกลุ่มแนวร่วม NDA ก็อาจเข้าไปร่วมกดดันนโยบายการต่างประเทศในส่วนนี้

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าจับตาคือความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอินเดีย เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนเข้าไปมีบทบาทมากขึ้นกับประเทศในแถบเอเชียใต้ ซึ่งนักวิเคราะห์ด้านเอเชียใต้ให้ความเห็นว่านี่เป็นความผิดพลาดของนโยบายการต่างประเทศของอินเดียที่ยังมองเอเชียใต้เป็นเขตอิทธิพลของอินเดียฝ่ายเดียว อินเดียจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญต่อนโยบายการต่างประเทศกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียใต้มากขึ้น และศุภวิชญ์มองว่า การเชิญผู้นำประเทศแถบเอเชียใต้มาเป็นสักขีพยานในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของโมดีในครั้งนี้ เป็นเครื่องสะท้อนว่านโยบาย Neighbourhood First Policy ก็ยังคงเป็นนโยบายหลักของอินเดีย

“แนวนโยบายการต่างประเทศของอินเดียในรอบนี้จะหันมาให้ความสนใจกับพื้นที่แถบเอเชียใต้มากขึ้น และจะได้เห็นการให้ความช่วยเหลือมากมาย รวมถึงการแข่งขันกันระหว่างจีนกับอินเดียในพื้นที่เอเชียใต้” ศุภวิชญ์กล่าว

นอกจากนี้ อินเดียและจีนยังมีความขัดแย้งในการอ้างสิทธิ์เหนือพรมแดนตามแนวเทือกเขาหิมาลัยระยะทางกว่า 3,488 กิโลเมตร ซึ่งศุภวิชญ์คาดว่าปัญหาความขัดแย้งนี้จะไม่ลุกลามบานปลายและทั้ง 2 ประเทศจะมีการเจรจากันมากขึ้น เพราะหลายปีที่ผ่านมา อินเดียและจีนได้ดำเนินการกำหนดจุดลาดตระเวนไม่ให้ล้ำเขตไปในพื้นที่ที่ยังมีข้อพิพาทกันอยู่


นัยต่อไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


ในสมัยที่ผ่านมาของโมดี นโยบาย Act East Policy ที่ต้องการให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของอินเดีย ซึ่งนโยบายนี้สะท้อนผ่านการที่อินเดียเข้ามามีบทบาทกับประเทศอาเซียนมากขึ้น สาเหตุแรกคือเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับจีน สองคืออินเดียอยากก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจในพื้นที่อื่นๆ นอกจากเอเชียใต้ ดังจะเห็นว่าหลายปีที่ผ่านมา อินเดียเข้ามาลงทุนในในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น อย่างเช่นร่วมลงทุนด้านอุตสาหกรรมดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของประเทศไทย ทั้งยังค้าอาวุธให้กับหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทยด้วยเช่นกัน

อีกด้านหนึ่ง เมื่อชนชั้นกลางในอินเดียมีจำนวนเพิ่มขึ้น ก็ยังผลให้คนที่มีกำลังซื้อออกมาเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น ประเทศไทยเองก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของคนอินเดีย โดยในปัจจุบัน ผู้ถือพาสปอร์ตอินเดียก็ได้รับฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวในไทย และไทยกับอินเดียยังมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีร่วมกันอีกด้วย

“คนอินเดียบินมาไทยเพื่อซื้อของที่ไม่สามารถหาซื้อได้อินเดีย ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา คนอินเดียจำนวนมากบินมาไทยเพื่อซื้อทีวี LED กลับบ้าน ซึ่งจากเมืองโกลกาตา รัฐเบงกอลตะวันตก ถือว่าใกล้ไทยมาก ใช้เวลาบินไม่กี่ชั่วโมง ตรงนี้จึงถือเป็นโอกาสของไทย” ศุภวิชญ์กล่าว พร้อมให้ความเห็นว่า

รัฐบาลไทยมีปฏิกิริยาต่อการเลือกตั้งอินเดียในครั้งนี้ค่อนข้างดีและเร็ว เพราะตั้งแต่ก่อนที่โมดีจะเข้าร่วมพิธีสาบานตน เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีของไทย ก็ได้ร่วมแสดงความยินดีกับโมดีทางโทรศัพท์ และกล่าวต้อนรับโมดีสู่การประชุมความร่วมมือกลุ่ม BIMSTEC ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนกันยายนนี้

“นายกรัฐมนตรีไทยในรัฐบาลรอบนี้น่าจะมีความกระตือรือร้นในเชิงการต่างประเทศพอสมควร เราอาจได้เห็นการเยือนอินเดียของเศรษฐา และถ้าทั้ง 2 ฝ่ายมีมุมมองเชิงบวกก็อาจได้เห็นการมาเยือนไทยของโมดีที่เป็น State Visit แบบตัวต่อตัวอย่างเป็นทางการ ภายใน 5 ปีนี้ ในช่วงสมัยที่ 3 ของโมดี” ศุภวิชญ์ทิ้งท้าย

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

Asia

27 Jun 2023

โฉมหน้าใหม่การเมืองการปกครองอัฟกานิสถาน หลัง 2 ปี ตาลีบันรีเทิร์น

อัครพันธ์ อัครโรจน์กิจ ชวนมองการเปลี่ยนแปลงของอัฟกานิสถาน หลังผ่านระยะเวลาเกือบ 2 ปี ภายใต้การกลับมาปกครองของตาลีบัน

อัครพันธ์ อัครโรจน์กิจ

27 Jun 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save