ลิงวุ่นวายกับชายในสวนฝรั่ง Hullabaloo in the Guava Orchard

Hullabaloo in the Guava Orchard เป็นนิยายอินเดีย (ผมเข้าใจว่าต้นฉบับเขียนเป็นภาษาอังกฤษ) โดยกิรัน เดไซ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1998 และประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งในแง่คำวิจารณ์ เสียงชื่นชมจากนักอ่านในวงกว้าง (หนึ่งในนั้นคือนักเขียนใหญ่อย่างซัลมาน รัชดี) และที่สำคัญคือ ได้รับรางวัล Betty Trask เป็นรางวัลที่มอบให้กับนิยายเรื่องแรก โดยนักเขียนที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี ซึ่งพำนักอาศัยในประเทศเครือจักรภพ

กิรัน เดไซเขียนนิยายเรื่องนี้ขณะอายุ 27 ปี อีก 8 ปีต่อมา The Inheritance of Loss นิยายเรื่องที่ 2 ของเธอ ก็ประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดด ชนะรางวัลใหญ่อย่าง Man Booker Prize (ปี 2006)

กิรัน เดไซเกิดที่นิวเดลี เมื่อวันที่ 3 กันยายน 1971 แม่ของเธอ อนิตา เดไซ ก็เป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงโด่งดังมากเช่นกัน (อนิตา เดไซเคยมีผลงานเข้ารอบสุดท้าย Man Booker Prize 3 ครั้ง จากเรื่อง Clear Light of Day (ปี 1980), In Custody (ปี1984) และ Fasting, Feasting (ปี 1999)

เธอใช้ชีวิตวัยเด็กในอินเดีย จนเมื่ออายุ 14 ก็เดินทางไปอังกฤษพร้อมแม่ ถัดจากนั้นอีกหนึ่งปีก็ย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกา และปักหลักพำนักอยู่ที่นั่นมาจนถึงปัจจุบัน

Hullabaloo in the Guava Orchard แปลเป็นฉบับภาษาไทยตั้งแต่ พ.ศ.2546 ใช้ชื่อเรื่องว่า ‘ในสวนฝรั่ง’

ผมได้อ่าน ‘ในสวนฝรั่ง’ ตั้งแต่วาระนั้น จนถึงปัจจุบันก็ลืมหมดสิ้นแล้วว่ามีเนื้อหาเหตุการณ์เกี่ยวกับอะไร แต่สิ่งหนึ่งซึ่งยังจำได้ไม่ลืมคือเป็นนิยายที่ตลก มีรสชาติแปลก แบบที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน

ล่าสุดเมื่อปลายปี 2566 นิยายเรื่องนี้ก็พิมพ์ใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น ‘ลิงวุ่นวายกับชายในสวนฝรั่ง’ พร้อมทั้งแก้ไขปรับปรุงสำนวนภาษา จนต่างจากเดิมอยู่พอสมควร

นิยายเรื่องนี้เล่าถึงชีวิตของชายหนุ่มชื่อสัมพัทธ์ ตั้งแต่เหตุการณ์ในวันที่เขาถือกำเนิด ที่ชาฮ์คอต (อยู่ทางตอนเหนือของอินเดียในรัฐปัญจาบ) เมืองที่ได้ชื่อว่ามีอุณหภูมิสูงสุดของประเทศ มิหนำซ้ำยังเป็นช่วงขณะประสบกับปัญหาภัยแล้ง เกิดความขัดสนเดือดร้อนไปทั่ว

ความพิลึกพิลั่น เริ่มตั้งแต่คัลฟี (แม่ของสัมพัทธ์) เกิดอาการเจริญอาหารเกินปกติขณะตั้งท้อง กินทุกอย่างที่ขวางหน้าในระดับล้างผลาญ จนชาวบ้านร่ำลือนินทากันสนุกปาก ยิ่งไปกว่านั้นขนาดของท้องยังใหญ่โตมโหฬาร จนทำให้ผู้พบเห็นเกิดอาการตกตะลึงไปตามๆ กัน

สัมพัทธ์ลืมตาดูโลกในวันที่ภัยแล้งยุติลง ฝนตกหนักหลังจากห่างหายมาเนิ่นนาน ชาวบ้านพากันตื่นเต้นยินดี

อาจกล่าวได้ว่า เป็นการเกิดมาพร้อมกับนิมิตหมายอันเป็นมงคล ชวนให้คิดฝันทำนายทายทักไปว่าเด็กชายผู้นี้ น่าจะเติบโตเป็นคนสำคัญ มีอนาคตยิ่งใหญ่รออยู่เบื้องหน้า

20 ปีต่อมา สัมพัทธ์เติบโตเป็นหนุ่มในสภาพตรงกันข้ามกับความคาดหวังของทุกคน ล้มเหลวไม่เอาไหนในทุกๆ ด้าน ผลการเรียนย่ำแย่ ต่อมาก็ทำงาน (โดยการฝากฝังของคุณชวาลาผู้เป็นพ่อ) เป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ต๊อกต๋อย ซึ่งแม้กระทั่งงานเสมียนง่ายๆ ก็ยังเป็นไปด้วยความยากลำบาก และมักจะเผลอเหม่อลอยจมอยู่ในภวังค์ส่วนตัว

กิจวัตรที่เป็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันของสัมพัทธ์ เริ่มต้นด้วยการทำงานในช่วงเช้า แล้วความคิดจิตใจก็ค่อยๆ หันเหเป็นอื่น จนกระทั่งไกลห่างจากงานที่อยู่เบื้องหน้า รู้สึกตัวอีกทีก็ล่วงสู่ยามบ่าย โดยไม่มีอะไรสำเร็จคืบหน้าเป็นชิ้นเป็นอัน และต้องเบนความสนใจไปที่การแอบอ่านจดหมายต่างๆ จนล่วงรู้ความลับความเป็นไปของใครต่อใครในเมืองชาฮ์คอต

แล้วในที่สุด สัมพัทธ์ก็โดนไล่ออกจากงาน ไม่ใช่เพราะความไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ด้วยเหตุอื่นอันครื้นเครงเฮฮา จนทำลายบรรยากาศพิธีแต่งงานของลูกสาวเจ้านายพังพินาศ

คุณชวาลาผู้พ่อ เดือดเนื้อร้อนใจกับพฤติกรรมและความเฉื่อยเนือยปราศจากอนาคตของลูกชาย พร่ำบ่นไม่เลิกรา พร้อมๆ กับตระเตรียมหาลู่ทางฝากฝังงานใหม่ให้ลูกชาย ขณะที่สัมพัทธ์ปรารถนาจะหนีให้พ้นจากสภาพชีวิตไร้อิสระเช่นที่เป็นอยู่ วันหนึ่งชายหนุ่มจึงนั่งรถโดยสารออกไปยังนอกเมือง ผ่านสวนฝรั่งรกร้างเนินเขา รถประจำทางเกิดอาการเครื่องดับชั่วขณะ เขาจึงปีนออกนอกหน้าต่าง วิ่งเข้าไปในบริเวณสวน ปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ และพบแหล่งแห่งที่สำหรับจะปักหลักใช้ชีวิตสงบปลีกวิเวกดังใจหมาย

เมื่อครอบครัวรู้ข่าว ทุกคน (ประกอบไปด้วยพ่อ แม่ ย่า และน้องสาว) ก็เดินทางมาที่สวนฝรั่ง เพื่อโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมให้สัมพัทธ์ลงมาจากต้นไม้ แต่ก็ไม่เป็นผล จึงระดมความคิดจนได้แผนที่แยบยล นั่นคือการจัดแจงให้สัมพัทธ์แต่งงาน ติดต่อทาบทามสรรหาจนได้หญิงสาวคนหนึ่ง หน้าตาไม่สู้จะงามนัก (เนื่องจากตัวเลือกมีจำกัด)

ขณะหนุ่มสาวดูตัวพบเจอกันครั้งแรกในสภาพทุลักทุเล เพราะฝ่ายหญิงต้องปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ชาวบ้านที่ผ่านไปมาก็พากันมุงดูด้วยความสนใจใคร่รู้ จากแรกเริ่มเพียงไม่กี่คน กลายเป็นฝูงชนคับคั่ง

การจับคู่แต่งงานล้มเหลวพังไม่เป็นท่า แต่ไปประสบความสำเร็จในอีกทางที่ไม่มีใครคาดหมายมาก่อน เมื่อสัมพัทธ์ที่อยู่บนต้นไม้พูดจาทักทายบรรดานักมุง ด้วยข้อมูลส่วนตัวจากการถือวิสาสะแอบอ่านจดหมาย นั่นส่งผลให้ผู้คนเกิดความรู้สึกอัศจรรย์ใจ คิดทึกทักไปเองว่าสัมพัทธ์เป็นผู้วิเศษหยั่งรู้ คำร่ำลือแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว

การหลบหนีความวุ่นวายมาหาที่สงบสำหรับพักพิงของสัมพัทธ์ จึงจบเห่เอวังภายในเวลาอันรวดเร็ว สวนฝรั่งกลายเป็นแหล่งชุมนุมที่ใครๆ ต่างมุ่งหน้ามารวมตัวกันเนืองแน่น หมายใจจะได้พบปะกับนักบวช  นักบุญ ฤาษี ผู้ทรงศีลที่เปี่ยมด้วยความศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอความช่วยเหลือให้ขจัดปัดเป่าปัญหาความทุกข์ต่างๆ นานา ทุกคนที่เคยเย้ยหยันดูแคลนล้อเลียนสัมพัทธ์ เปลี่ยนมาเป็นนับถือ เลื่อมใส เคารพนบนอบต่อชายหนุ่มโดยถ้วนหน้า

คุณชวาลาผู้พ่อ เล็งเห็นโอกาสทำเงินจากกระแสตื่นฮือของผู้คน จนกลายเป็นธุรกิจทำกำไรบาน ข่าวคราวแผ่ขยายจากระดับภายในหมู่บ้านท้องถิ่น กลายสู่วงกว้างทั่วทั้งเมือง แล้วก็ลุกลามใหญ่โตสู่ระดับประเทศ

ยิ่งไปกว่านั้น ในกาลต่อมา ก็เกิดเหตุหนุนส่งทำให้ผู้วิเศษยิ่งแลดูน่าศรัทธามากขึ้นไปอีก เมื่อฝูงลิงที่เคยก่อกวนสร้างความรำคาญแก่ผู้คนบริเวณหน้าโรงหนัง ย้ายฝูงมาที่สวนฝรั่ง และผูกพันเป็นมิตรกับสัมพัทธ์ จนลือกันว่าชายหนุ่มมีพลังอำนาจพิเศษสามารถสื่อสารรู้ใจสัตว์ ฝ่ายลิงก็สมประโยชน์ในหลักแหล่งที่อยู่ใหม่ มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องดิ้นรนช่วงชิงลักขโมยอีกต่อไป

เรื่องมีทีท่าว่าทุกฝ่ายจะชื่นมื่นเป็นสุขกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ยกเว้นสัมพัทธ์ที่ติดอยู่กับการจองจำรูปแบบใหม่ ซึ่งวุ่นวายโกลาหลหนักข้อกว่าเดิม

จนวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์เล็กๆ ที่นำไปสู่จุดเปลี่ยนใหญ่ เมื่อฝูงลิงบังเอิญได้กินเหล้าเมามาย เกิดความพึงใจในรสสุรา กลายเป็นลิงติดเหล้า นิสัยการกระทำเปลี่ยนไปจากเดิม และเริ่มอาละวาดหนักข้อขึ้นโดยลำดับ บานปลายกลายเป็นความโกลาหล

ผมคิดว่าเรื่องราวคร่าวๆ ใน Hullabaloo in the Guava Orchard น่าจะเล่าสู่กันฟังแต่เพียงเท่านี้ อันที่จริงจะเล่าต่อไปจนจบครบถ้วนก็ไม่สู้จะกระทบต่ออรรถรสในการอ่านเท่าไรนัก เนื่องจากความสนุกบันเทิงของนิยายเรื่องนี้ อยู่ที่รายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าเค้าโครงหลัก

เป็นความสนุกที่บรรจุอยู่แทบทุกบรรทัด ทุกย่อหน้า และยากจะนำมาบอกอธิบายอีกทอดให้ได้รสเฮฮาใกล้เคียง

อย่างไรก็ตาม ผมควรเล่าเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า มีพล็อตย่อยรองลงมา อีก 2-3 เหตุการณ์ นอกเหนือจากเหตุการณ์วุ่นวายในสวนฝรั่ง

เหตุการณ์แรก คือความสัมพันธ์ระหว่างพิงกี (น้องสาวของสัมพัทธ์) กับชายหนุ่มขายไอศกรีมหน้าโรงหนัง ซึ่งเป็นเรื่องรักที่พิลึกพิลั่นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโครงเรื่องหลัก

ถัดมาเป็นเรื่องของสายลับจากสมาคมผู้ไม่นับถือศาสนา ซึ่งเฝ้ามองเหตุการณ์ตื่นผู้วิเศษด้วยความไม่ไว้วางใจ เชื่อว่าเป็นการต้มตุ๋นหลอกลวงขนานใหญ่ ฉวยโอกาสจากความงมงายของชาวบ้าน จึงลงมือสืบเสาะค้นหาความจริง เพื่อจะแฉเปิดโปง

และท้ายสุด คือเรื่องราวของนายพล หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ นายอำเภอคนใหม่ และอีกหลายฝักฝ่าย ซึ่งต่างมีแผนปราบปรามการอาละวาดของฝูงลิง

ทั้งหมดนี้ผูกโยงขมวดเข้าหากัน จนทำให้เรื่องดำเนินไปบนความโกลาหลอลหม่าน และนำไปสู่บทสรุปที่พิสดารเกินคาดคิด

มีนักวิจารณ์ต่างประเทศยกย่องชื่นชมกิรัน เดไซ ไว้ว่าเป็นนักเขียนที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ 2 ประการ คืออารมณ์ขันและจินตนาการ

คุณสมบัติ 2 อย่างข้างต้น คือจุดเด่นสำคัญที่ปรากฏชัดใน Hullabaloo in the Guava Orchard

จุดเด่นเรื่องจินตนาการ สะท้อนออกมาอย่างถี่ถ้วนผ่านพล็อต การดำเนินเรื่องที่รวดเร็ว กระชับฉับไว ดูเผินๆ เหมือนจับแพะชนแกะจวนเจียนจะเลอะเทอะ แต่ก็มีระบบระเบียบกำกับ และเขียนคุมทุกสิ่งได้อยู่มือ จนกลายเป็นการเล่าเรื่องที่ชาญฉลาด, การบรรยายฉากได้อย่างงดงามวิจิตรบรรจง รวมถึงช่วงพรรณนาความคิดในใจของสัมพัทธ์และแม่ (คัลฟี) ซึ่งเป็น 2 ตัวละครที่แตกต่างแปลกแยกจากคนอื่นๆ ทั้งคู่มีโลกส่วนตัว จนถูกมองว่าผิดประหลาด

ช่วงตอนที่บอกเล่าความในใจของตัวละครสองแม่ลูกคู่นี้ มีกลิ่นอายแบบบทกวีที่ไพเราะ สละสลวย และเป็นจินตนาการที่ละเมียดละไม

กิรัน เดไซใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบบุคลที่ 3 อย่างผู้รอบรู้ เพื่ออธิบายความคิดของทุกตัวละคร ทำให้เรื่องเล่าทั้งหมดอ่านง่าย เข้าใจง่าย ชวนติดตาม และที่สำคัญคือเกิดความคืบหน้าอยู่ตลอด รวมไปถึงทำให้เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ก่อให้เกิดความสับสนงุนงง ตรงกันข้ามกลับยิ่งสนุกเป็นพิเศษ

ความโดดเด่นถัดมา คืออารมณ์ขัน ซึ่งมีลักษณะหลากหลายมาก ตั้งแต่ลีลาแบบการ์ตูน (โดยเฉพาะบุคลิกนิสัยของหลายๆ ตัวละคร) บทสนทนากึ่งฉลาดกึ่งติงต๊อง ความอลหม่านอลเวงและโฉ่งฉ่างเอะอะมะเทิ่งของหลายๆ เหตุการณ์ (เทียบเคียงง่ายๆ น่าจะประมาณฉากวิ่งหนีผีในหนังตระกูลบ้านผีปอบนะครับ) ตลกทำลายข้าวและเจ็บตัวของแบบที่เรียกกันว่า slap stick

และที่มีน้ำหนักชัดแจ้งโดดเด่นสุด คืออารมณ์ขันเชิงเสียดสี ประชดประชัน เหน็บแนม แทบว่าจะเป็นการเสียดสีทุกอย่างที่ขวางหน้า

คุณสมบัติข้างต้น ทำให้นิยายตลกครื้นเครงหรรษาเรื่องนี้ ยกระดับไปไกลเกินกว่าการเฮฮาเบาสมองไร้สาระอยู่มากโข กลายเป็นงานในเชิงหัสคดีที่สะท้อนเนื้อหาสาระอย่างลงลึกและแหลมคม

ขณะที่เป็นนิยายอ่านง่าย อ่านสนุก และตลกแบบวุ่นวายป่วง ประเด็นแง่คิดของงานเขียนชิ้นนี้ กลับอยู่ในขั้น ‘เข้าใจยาก’ และต้องขบคิดเปลืองสมองอยู่พอสมควร

ความยากนั้นสืบเนื่องมาจากการเสียดสีอะไรต่อมิอะไรไปทั่วอยู่ตลอดเวลา ทำให้แง่มุมเนื้อหามีลักษณะเปิดกว้าง สุดแท้แต่ผู้อ่านจะจับสังเกตุแง่มุมใด

ผมทำความเข้าใจแบบกำปั้นทุบดินได้ว่า ในเบื้องต้นกว้างๆ นั้น นิยายเรื่องนี้เสียดสีภาพรวมของความเป็นอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคมทั่วไป ค่านิยมของผู้คน ความเชื่อทางศาสนา

ข้างต้นนี้ผมไม่ปลงใจในความคิดความเข้าใจของตัวเองสนิทนัก เป็นความเข้าใจแบบฝันๆ เท่านั้นนะครับ แต่มี 2 แง่มุมที่ผมคิดว่านำเสนอค่อนข้างชัดและมีน้ำหนักจับต้องได้

ประเด็นแรก คือการเสียดสีบรรทัดฐานที่ผู้คนส่วนใหญ่ยอมรับนับถือ แง่มุมนี้สะท้อนผ่านโลกปกติที่สัมพัทธ์ต้องทนทุกข์ และโดนตราหน้าว่าเป็นผู้ล้มเหลว กับการเรียนให้เก่ง ทำงานเพื่อมุ่งไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ประสบความสำเร็จ มีฐานะมั่นคง แต่งงานมีครอบครัวเป็นหลักเป็นฐาน ขณะที่ชายหนุ่มใฝ่ฝันอยากมีชีวิตอีกแบบ ปรารถนาความสงบสันโดษ อยากผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ

นิยายเรื่องนี้จบในลักษณาการค่อนข้างประหลาดไปในทางเหนือจริง เป็นปริศนาธรรม เต็มไปด้วยความคลุมเครือว่าเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคำนึงถึงความสมจริงและความเป็นเหตุเป็นผล จะชวนเหวอและชวนให้รู้สึกงุนงงเอาได้ง่ายๆ ว่าเป็นไปได้อย่างไร?

แต่คิดแบบทำใจคล้อยตามที่เรื่องเล่าไว้ ก็เข้าใจได้ไม่ยากนะครับว่าในบทสรุปบั้นปลาย ตัวเอกสามารถหลุดพ้นจากโลกอันวุ่นวาย หลบหนีไปสู่ความสงบได้สำเร็จ

อีกแง่มุมเสียดสีที่จะแจ้งและเข้าใจง่าย คือการยั่วล้อระบบราชการอันย่อหย่อนล้าหลัง การทำงานแบบเช้าชาม เย็นชาม การไว้ตัวถือยศ วางอำนาจบาตรใหญ่ตามลำดับขั้น

ประเด็นนี้มีอยู่ตลอดทั่วทั้งเรื่อง ตลกจนผมอ่านแล้วขำพรวดพราดอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ต้นจนจบ และกลายเป็นรสขื่น เมื่อนึกตระหนักได้ว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวและคุ้นเคยจังเลยในชีวิตจริง

ความประทับใจสุดท้าย ผมรู้สึกของผมเองนะครับว่าท่ามกลางความโฉ่งฉ่างเล่นใหญ่เข้าขั้นมหาโอเวอร์ นิยายเรื่องนี้ช่างน่ารักน่าชัง แฝงไปด้วยความอบอุ่นนุ่มนวลเสียนี่กระไร

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save