ทำไมหนังไทยยังไปไม่ถึงออสการ์ (สักที!) : ถอดบทเรียนจาก ‘หลานม่า’ ว่าด้วยแคมเปญสู่เวทีโลก

จะว่าไป งานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 97 ซึ่งจัดขึ้นวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา (ตามเวลาบ้านเรา) น่าจะเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทย ‘เข้าใกล้’ การได้เข้าชิงออสการ์มากที่สุด เมื่อ ‘หลานม่า’ (2024) หนังยาวเรื่องแรกของ พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ จากสตูดิโอ GDH ได้รับเลือกจากสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ เป็นตัวแทนหนังไทยเข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม (Best International Feature Film) พร้อมกันกับหนังจากชาติอื่นๆ อีก 85 เรื่อง และเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่ไปไกลถึงขั้นผ่านเข้ารอบ 15 เรื่อง ก่อนที่คณะกรรมการออสการ์จะคัดจนเหลือเพียง 5 เรื่องสุดท้าย ได้แก่ I’m Still Here (2024 -บราซิล), The Girl with the Needle (2024 -เดนมาร์ก), Emilia Pérez (2024 -ฝรั่งเศส), The Seed of the Sacred Fig (2024 -เยอรมนี) และ Flow (2024 -ลัตเวีย)

ถึงที่สุด I’m Still Here หนังร่วมทุนสร้างสองสัญชาติ (ฝรั่งเศส-บราซิล) กำกับโดย วอลเตอร์ ซัลเลส (Walter Salles) ตัวแทนจากประเทศบราซิลเป็นผู้คว้ารางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยมไปครอง (พร้อมกันกับภาพข่าวชาวบราซิลร่วมลุ้นถึงขั้นปิดถนน ฉายภาพการถ่ายทอดสดขึ้นบนผนังอาคารนั่งดูกันเป็นหมู่คณะ) โดย I’m Still Here ถือเป็นหนังเรื่องแรกของบราซิลที่คว้าชัยชนะในสาขานี้ ตัวหนังดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของ ยูนีซ ไพวา (Eunice Paiva) นักกฎหมายที่เฝ้ามองครอบครัวของเธอถูกอุ้มหายและลบล้างไปในช่วงที่บราซิลปกครองด้วยระบอบเผด็จการ 

ทั้งนี้ ก็เช่นเดียวกับการแข่งขันในสนามอื่นๆ การเข้าชิงรางวัลออสการ์ได้นั้นโดยเนื้อแท้แล้วก็หาได้มาจาก ‘ตัวหนัง’ เพียงอย่างเดียว หากแต่มันประกอบสร้างมาจากถนนสายเล็กสายใหญ่ เช่น การเข้าฉายในเทศกาลหนังต่างๆ, การให้สัมภาษณ์สื่อ, กระแสโดยรวม ฯลฯ หรืออาจจะเรียกอย่างย่นย่อว่า ‘การทำแคมเปญ’ ที่ด้านหนึ่งก็เพื่อประชาสัมพันธ์ตัวหนัง อีกด้านคือเพื่อโน้มน้าวคณะกรรมการผู้ลงคะแนนเสียงให้ตัวหนังในด่านสุดท้าย

จะเห็นได้ว่าทีมทำหนังต่างๆ ตบเท้าออกเดินสายให้สัมภาษณ์สื่อ ออกรายการใหญ่ รวมทั้งโหมประโคมกระแส หาเหลี่ยมมุมประชาสัมพันธ์หนังในช่วงต้นปีก่อนหน้าการประกาศรางวัลจะมาถึง เช่น The Brutalist (2024) หนังยาวสามชั่วโมงครึ่งที่เพิ่งส่ง เอเดรียน โบรดี คว้าออสการ์นำชายเป็นครั้งที่สอง ก็เป็นที่เลื่องลือในแง่การแสดงอันหมดจดและการฉายภาพสงครามผ่านสถาปัตยกรรมตั้งแต่หนังเปิดตัวในเทศกาลหนังเวนิส, The Substance (2024) ที่ดูเหมือนจะมาในธีม ‘การกลับมาของ เดมี มัวร์’ นักแสดงนำของเรื่อง หรือ Emilia Pérez หนังมิวสิคัลที่คนฮือฮากันตั้งแต่เปิดตัวในเทศกาลหนังเมืองคานส์ว่าพูดเรื่องทรานส์เจนเดอร์ได้อย่างถึงพริกถึงขิง และส่ง การ์ลา โซฟีอา กัสกอน (Karla Sofía Gascón) เข้าชิงออสการ์สาขานำหญิงยอดเยี่ยม โดยถือเป็นนักแสดงทรานส์คนแรกที่เข้าชิงสาขานี้ (ก่อนทุกอย่างจะล้มหัวคะมำเมื่อมีคนขุดโพสต์ทางโซเชียลมีเดียของเธอ และอาจจะถือได้ว่าเป็นวิกฤตการทำแคมเปญออสการ์ที่อลหม่านที่สุดครั้งหนึ่ง) 

ยังไม่รวมรายละเอียดปลีกย่อยอย่างการหาจุดขายให้หนัง, การออกเดินสายโฆษณา และการปรากฏตัวในสื่อเจ้าใหญ่ๆ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินมหาศาล พ้นไปจากตัวหนัง การเข้ารอบชิงออสการ์นั้นจึงหมายถึงการวางกลยุทธ์อันแยบยลเหล่านี้ด้วย และเส้นทางส่วนใหญ่ของหนังในการมุ่งหน้าไปคว้ารางวัลออสการ์ คือการเปิดตัวหรือออกฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลหนังใหญ่ๆ ซึ่งส่วนมากแล้วจัดขึ้นช่วงต้นปีถึงกลางปีเสียก่อน ไม่ว่าจะเทศกาลหนังเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส, เทศกาลหนังเวนิส ประเทศอิตาลี หรือเทศกลางหนังเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ตลอดจนเทศกาลหนังหลากหลายตามประเทศต่างๆ เพื่อจะ ‘แจ้งเกิด’ หนังเรื่องนั้นๆ อย่างที่เราเห็นข่าวผ่านตากันแทบทุกปีว่ามีหนังเรื่องไหนบ้างที่คนดูลุกขึ้นยืนปรบมือนานเป็นสิบนาทีหลังหนังฉายจบ หรือการคว้ารางวัลสาขาต่างๆ ทั้งนักแสดงนำ, กำกับ หรือภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

สำหรับสาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยมก็ถือเป็นหนึ่งในสาขาที่คาดเดาได้ยากที่สุด เหตุผลหลักคือมันมีเงื่อนไขของการ ‘ถูกเลือก’ มาตั้งแต่ต้นทางในประเทศ

กรณี ‘หลานม่า’ อาจถือเป็นกรณีพิเศษ เพราะตัวหนังไม่ได้ไปเปิดตัวหรือฉายในเทศกาลหนังที่ไหน มันเข้าฉายครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนเมษายน 2024 และกวาดคำวิจารณ์แง่บวกแทบจะในทันที หลังออกฉาย มันก็ดำรงตำแหน่งเป็นหนังที่ทำเงินมากที่สุดติดต่อกันนานสี่สัปดาห์ จนถึงนาทีนี้ ประมาณการกันว่ามันทำเงินในประเทศไปร่วม 339 ล้านบาท ขณะที่รายได้ทั่วโลกนั้นอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท ก่อนจะถูกพูดถึงในสื่อตะวันตกหนาหูเมื่อเข้าฉายในเทศกาลหนังนิวยอร์กเอเชียน เมื่อเดือนกรกฎาคม 2024

ไม่นานหลังจากนั้น ก็เป็นที่แน่ชัดว่าหนังได้รับเลือกจากสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ เป็นตัวแทนเข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม และไปไกลถึงขั้นติดรอบ 15 เรื่องสุดท้าย ซึ่งถือเป็นการเข้าใกล้ออสการ์ครั้งประวัติการณ์ของไทย

ว่าไปแล้ว ที่ผ่านมาหนังไทยก็ไปประสบความสำเร็จในเวทีรางวัลสากลใหญ่ๆ หลายเรื่อง ทั้งความสำเร็จของ ‘ลุงบุญมีระลึกชาติ’ (2010) ที่ยังผลให้ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เป็นคนทำหนังชาวไทยคนแรกที่คว้ารางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์, ‘คำพิพากษาของมหาสมุทร’ (2006) ของ เป็นเอก รัตนเรือง ก็เคยเข้าชิงรางวัลหมีทองคำจากเทศกาลหนังเบอร์ลิน เช่นเดียวกับ ‘เรื่องตลก 69’ (1999) ของเขาก็เคยชิงรางวัลใหญ่จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติร็อตเตอร์ดัม, ‘แต่เพียงผู้เดียว’ (2011) ของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี ก็เคยเข้าชิงรางวัลเควียร์ไลออนจากเทศกาลหนังเวนิส

เงื่อนไขอะไรที่ ‘ออสการ์’ ดูจะเป็นเวทีที่หนังไทยยังไม่เข้าใกล้สักที?

‘ลุงบุญมีระลึกชาติ’

ดรสะรณ โกวิทวณิชชา โปรแกรมเมอร์เทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯ และโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์อิสระ ชวนพินิจนัยยะและความหมายของเวทีออสการ์ว่า ประการแรกสุด ออสการ์หรือรางวัลอะคาเดมี เป็นรางวัลของสหรัฐอเมริกา และการที่มันดูจะ ‘สลักสำคัญ’ ด้านหนึ่งนั้นก็เพราะอเมริกาเป็นประเทศที่ส่งออกหนังฮอลลีวูดไปทั่วโลก “พวกเราดูหนังฮอลลีวูด เราจึงสนใจออสการ์ไปด้วย ซึ่งในฐานะการเป็นเวทีรางวัลใหญ่ของสหรัฐฯ มันก็อาจจะเทียบกับเป็นบาฟต้า (The British Academy Film Awards -BAFTA) ของอังกฤษ”

มองในแง่เนื้อหาของตัวภาพยนตร์ ถึงที่สุดแล้ว ดรสะรณพิจารณาว่าหนังที่จะไปถึงรอบชิงออสการ์ได้นั้นมักบอกเล่าประเด็นอะไรสักอย่างได้ ‘แข็งแรง’ มากพอ “I’m Still Here นี่ก็พูดเรื่องการอุ้มหายโดยกองทัพเผด็จการในบราซิล ดัดแปลงมาจากชีวิตคนจริงๆ ด้วย หนังจึงเล่าประเด็นที่หนักแน่นและชัดเจน พร้อมกันกับที่มันบอกเล่าถึงความอยุติธรรม ซึ่งก็ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายๆ พื้นที่ในโลก” เขาบอก

“หรือ Emilia Pérez ที่แม้ตัวหนังจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงแง่มุมต่างๆ แต่ตัวหนังมันก็ยังอ่านได้ว่าพูดเรื่องความหลากหลายทางเพศ เรื่องการอุ้มฆ่าโดยแก๊งอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในเม็กซิโก หรือ The Seed of the Sacred Fig ที่เล่าเรื่องการประท้วงในอิหร่าน ก็อาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องในระดับครอบครัวไปจนถึงระดับชาติก็ได้ พอมองภาพใหญ่ เราจะเห็นได้ว่าหนังแต่ละเรื่องมีประเด็นที่แข็งแรงมากพอที่ทำให้คณะกรรมการลงคะแนนเสียงให้ได้”

เขายังชี้ให้เห็นว่าหนังที่จะได้เข้าชิงรางวัลในสาขานี้ เงื่อนไขหลักคือมักเป็นหนังที่เปิดตัวในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติหรือจัดฉายในทวีปอเมริกาเหนือ อันจะเห็นได้จากหนังที่เข้าชิงสาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยมของปีนี้มีต้นทางมาจากการฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลหนังใหญ่ๆ ทั้งสิ้น ขณะที่ ‘หลานม่า’ นั้นมีจุดตั้งต้นต่างจากเรื่องอื่นๆ โดยได้รับกระแสความนิยมท่วมท้นจากประเทศไทย แล้วจึงไปได้รับความนิยมในต่างประเทศ

“แต่ถ้าถามเรา กระแสในประเทศไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่ สิ่งที่จะมีผลคือต้องเป็นกระแสที่มาจากคนอเมริกันเป็นหลัก” เขาว่า “มองย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์ออสการ์ เราจะพบว่าหนังที่ทำเงินมากๆ ในประเทศบ้านเกิดก็ไม่ได้มีผลต่อความสำเร็จในเวทีนี้เท่าไหร่ เว้นเสียแต่ว่าหนังเรื่องนั้นทำเงินทั้งในประเทศตัวเองและในอเมริกาด้วย”

ดรสะรณ โกวิทวณิชชา

เทียบกันระหว่างออสการ์กับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ ดรสะรณให้ความเห็นว่าโดยธรรมชาติของเวทีรางวัลกับงานเทศกาลนั้นแตกต่างกันอยู่แล้ว และการนำหนังไปเข้าฉายในเทศกาลหนังนั้นไม่จำเป็นต้องผ่านการทำแคมเปญ แต่การให้รางวัลเป็นการตัดสินใจของกรรมการที่เทศกาลเชิญมาโดยตรง

“ขณะที่รางวัลออสการ์เป็นรางวัลที่ผลรางวัลมาจากการโหวตของสมาชิกของอะคาเดมี การทำแคมเปญของออสการ์มีลักษณะคล้ายๆ การทำโฆษณาพีอาร์ เขาต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนรู้จักตัวหนังมากขึ้น เพื่อที่สมาชิกอะคาเดมีจะได้รู้จักหนังเรื่องนั้น และโหวตให้มันจนชนะ”

สำหรับดรสะรณ กระบวนการทำแคมเปญหนังเพื่อส่งเข้าชิงออสการ์นั้นบ่อยครั้งก็ปะปนมากับการเล่นการเมืองหรือ ‘ลูกตุกติก’ ไม่น้อย “บางทีมันมีไปถึงขั้นปล่อยข่าวโจมตีหนังเรื่องอื่นก็มี หรือตั้งธงขึ้นมาว่าผู้กำกับเคยมีเรื่องอื้อฉาว, นักแสดงเคยแสดงความเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่เหมาะสม”

ดรสะรณยกตัวอย่างกรณีมิราแม็กซ์​ (Miramax) หนึ่งในค่ายภาพยนตร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของฮอลลีวูดของ ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน (Harvey Weinstein) โปรดิวเซอร์หนังจอมอื้อฉาวที่ตอนนี้เข้าซังเตจากข้อหาล่วงละเมิดทางเพศอยู่ เมื่อครั้งที่เขาร่วมเป็นโปรดิวเซอร์และจัดจำหน่าย Shakespeare in Love (1998) หนังโรแมนติกคอเมดี้ชิงออสการ์ 13 สาขาและกวาดรางวัลกลับบ้านมาได้เจ็ดสาขา -รวมทั้งสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม- ระดับที่เรียกได้ว่า ‘ล้มยักษ์’ เพราะในปีเดียวกันนั้น มีตัวเต็งมากมายอย่าง Saving Private Ryan (1998) หนังมหากาพย์ทุนสร้าง 70 ล้านเหรียญฯ ของ สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg -คนทำหนังชาวอเมริกัน) ว่าด้วยภารกิจช่วยชีวิตนายทหารระหว่างสงครามโลก, Elizabeth (1998) ว่าด้วยบทบาทและชีวิตของ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ ในโมงยามหลังการขึ้นครองบัลลังก์, Life Is Beautiful (1997) หนังสงครามเรียกน้ำตาจากอิตาลี และ The Thin Red Line (1998) หนังสงครามที่ว่าด้วยการกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดของเหล่าทหารจากการทัพกัวดัลคะแนล 

“Shakespeare in Love ก็เป็นหนังที่ดีแหละ แต่ปีนั้นมันมี Saving Private Ryan ที่หนังพูดประเด็นหนักแน่นกว่า โปรดักชันก็ใหญ่โต องค์ประกอบสมบูรณ์ในตัวเอง แต่ก็ไม่ชนะออสการ์” ดรสะรณเล่า “หรือกรณี กวินเน็ธ พัลโทรว์ (Gwyneth Paltrow) ที่คว้านำหญิงยอดเยี่ยมจาก Shakespeare in Love เธอก็เล่นดีนะ แต่เทียบกันกับที่ เคต แบลนเชตต์ (Cate Blanchett) แสดงไว้ใน Elizabeth ก็พบว่าความยากง่ายของบทมันต่างกัน ซึ่งถ้าเรามองย้อนกลับไปดูสิ่งที่ค่ายมิราแม็กซ์ทำ มันคือการทำแคมเปญ ล็อบบี้คณะกรรมการจนล้มยักษ์ได้สำเร็จ มีเรื่องที่พูดกันว่า ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน พูดโจมตี Saving Private Ryan กับนักข่าวหลายคน ว่าหลังจากหนังเริ่มไปได้ 25 นาที ตัวหนังก็หมดพลังจนไม่น่าสนใจ คำพูดของไวน์สตีนจะมีผลหรือไม่มีผล แต่ Saving Private Ryan ก็พลาดไม่ได้รับรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจริงๆ”

Shakespeare in Love

พิจารณาในแง่การทำแคมเปญส่งหนังไปเวทีใหญ่ต่างชาติ ถึงที่สุดคงหลบตาหนีความจริงไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่ต้องใช้เงิน ทว่า ก่อนไปถึงขั้นนั้น แกนหลักสำคัญย่อมอยู่ที่คุณภาพของหนังเป็นสำคัญ “หนังต้องดี และการคัดเลือกหนังไปออสการ์ก็ต้องเลือกหนังที่เหมาะสม ซึ่งว่าไปก็เป็นปัญหาในหลายประเทศนะ” ดรสะรณว่า “เพราะหนังมันถูกเลือกโดยองค์กรเดียว ซึ่งเป็นองค์กรทางภาพยนตร์ของประเทศนั้นๆ ที่ได้รับการรับรองจากทางอะคาเดมี และบางครั้งบางคราว ในหลายประเทศก็มีปัญหาเรื่องการส่งหนังของพวกพ้องตัวเองไปชิงออสการ์ หรือไม่ชอบใครไม่ส่งหนังคนนั้นไปก็มี

“ดังนั้น องค์กรทางภาพยนตร์เหล่านี้ต้องประเมินให้ได้ว่าหนังเรื่องไหนเหมาะสมจริงๆ ซึ่งมันก็ต้องประเมินกันอย่างละเอียด ขนาดฝรั่งเศสยังมีปัญหานี้เลย” เขาว่า “และเราคิดว่าครั้งนี้ ประเทศไทยเลือกถูกที่ส่ง ‘หลานม่า’ ไป เพราะมันมีลักษณะที่คนอเมริกันชอบ เห็นได้ตั้งแต่ตอนที่หนังออกฉายที่เทศกาลหนังนิวยอร์กเอเชียนแล้วล่ะว่าหนังค่อนข้างทำงานกับคนอเมริกัน เขาชอบหนังกันมาก”

หากว่าตัวหนังดีและมีประเด็นแข็งแรงมากพอแล้ว การโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ตัวหนังก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จำเป็นไม่แพ้กัน “อย่างหนัง Parasite (2019) ของ บองจุนโฮ (Bong Joon-ho -คนทำหนังชาวเกาหลีใต้) นี่ใช้ทุนในการทำแคมเปญส่งออสการ์สูงมาก แต่ตัวหนังมันแข็งแรงและการประชาสัมพันธ์ก็จับจุดถูกว่าต้องขายหนังอย่างไร มันจึงไม่ใช่แค่เอาหนังเรื่องไหนมาแล้วยัดทำแคมเปญอะไรก็ได้ ตัวหนังมันต้องมีแง่มุมให้ทำแคมเปญรางวัลได้เช่นกัน”

ในแง่นี้ ดรสะรณชวนพินิจความสำเร็จของ Parasite ว่าพ้นไปจากคุณภาพและประเด็นอันแข็งแรงของหนังแล้ว มันยังเป็นผลพวงของการลงทุนและสนับสนุนจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีตลอดหลายทศวรรษ ผ่านการร่วมมือของรัฐ -ในฐานะผู้ออกนโยบายสนับสนุนคนทำหนัง- และของเอกชน ในฐานะผู้สร้างและผลิตหนังออกมาอย่างสม่ำเสมอ

“ด้านหนึ่งแล้ว ก็ต้องยกความดีความชอบให้สตูดิโอซีเจ (CJ Entertainment) ที่สนับสนุนบองจุนโฮมาโดยตลอด รวมทั้งการตั้งใจจะทำหนังให้ออกมาดี”

ขยับมาสู่อุตสาหกรรมไทย ดรสะรณมองว่าความสำเร็จในการส่งหนังไปสู่เวทีรางวัลใหญ่ ย่อมเรียกร้องการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับเอกชน “กรณี ‘หลานม่า’ นี่เห็นเลยว่าจริงๆ แล้วประเทศไทยมีคนทำหนังรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเยอะมาก และรัฐกับเอกชนก็ต้องร่วมมือผลักดันคนเหล่านี้ โดยต้องทำตั้งแต่แรก วางแผนตั้งแต่ต้น” เขาแนะนำ “ถ้าจะส่งมันไปชิงเวทีใหญ่ๆ ก็อาจคิดตั้งแต่ว่าจะส่งมันไปฉายหรือประกวดในเทศกาลไหนบ้าง ทำทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการของมัน โดยที่ก็ต้องไม่ละเลยคุณภาพหนังด้วย”

ว่าด้วย ‘เส้นทาง’ ของการไปสู่เวทีใหญ่ ถึงอย่างไรคงปฏิเสธไม่ได้ว่าถนนสายหลักของคนทำหนังประกวดที่หวังอยากไปเวทีใหญ่ในระดับสากลโลก ย่อมหนีไม่พ้นการส่งหนังเข้าชิงหรือฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลหนังใหญ่ๆ ลำพังหนังห้าเรื่องที่ได้ชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยมนั้น ล้วนมีจุดตั้งต้นที่การฉายรอบปฐมทัศน์ทางเทศกาลหนังทั้งสิ้น โดย I’m Still Here เปิดตัวที่เทศกาลหนังเวนิส ขณะที่อีกสี่เรื่องนั้นเปิดตัวที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ และกวาดกระแสคำวิจารณ์แง่บวกถล่มทลาย

แต่อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นบทความว่า ‘หลานม่า’ ไม่ได้กระโจนขึ้นถนนสายนี้ ตรงกันข้าม ตัวหนังเลือกเดินทางอื่นที่ปกติแล้วเราไม่ค่อยได้พบนักในหนังสายประกวด

ไกรวุฒิ จุลพงศธร

“กรณี ‘หลานม่า’ อาจต้องบอกว่าเป็นกรณีที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวมากๆ ในสถิติที่ผ่านมา หนังส่วนใหญ่ที่ไปได้ดีในออสการ์ มักจะเป็นหนังที่เปิดตัวในเทศกาลนานาชาติที่ใหญ่มากๆ อย่างคานส์ เวนิซ และโตรอนโต และได้กระแสแง่บวกหรือได้รางวัลก่อน” ดร.ไกรวุฒิ จุลพงศธร ภาควิชาการภาพยนตร์และภาพนิ่ง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแสดงความเห็น

“ตัวหนัง ‘หลานม่า’ ไม่ได้เป็นหนังที่เปิดตัวในเทศกาลสำคัญหรือเทศกาลหนังใหญ่ๆ แต่มีลักษณะ grassroots campaign คือมาจากที่คนดูชอบหนังตั้งแต่ฉายในประเทศ แล้วค่อยไปได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ เมื่อออกฉายในประเทศอื่นๆ รวมถึงในสหรัฐฯ ด้วยการไปฉายในเทศกาลหนังนิวยอร์กเอเชียนและกลายเป็นกระแส จนมีคนนำไปจัดจำหน่ายในสหรัฐฯ”

“กรณีของ ‘หลานม่า’ มันมาจากการที่คนชอบ คนดูแล้วบอกกันต่อๆ กัน ซึ่งไม่ได้แปลว่าคนทำแคมเปญจะไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ว่าลู่ทางที่มาไม่เหมือนกับหนังส่วนใหญ่ที่ได้เข้าชิงออสการ์” เขาบอก

พิจารณาจาก ‘เนื้อหา’ ของหนังที่เข้าชิงออสการ์ ส่วนใหญ่แล้วหากไม่มีลักษณะเป็นมหากาพย์ ก็มักเล่าเรื่องแหลมคมว่าด้วยสังคมการเมือง หรือหนังที่ดัดแปลงมาจากชีวิตจริงอีกทีหนึ่ง อย่างที่เรียกกันทั่วไปในหมู่นักวิจารณ์และสื่อมวลชนว่า ‘oscar bait’ สำหรับไกรวุฒิ เขาคิดว่าหนังที่เข้าชิงสาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยมมีเงื่อนไขของความเป็น oscar bait น้อยที่สุด

“เราคิดว่าหนังที่มีลักษณะทำเพื่อชิงออสการ์มักเป็นหนังอเมริกันด้วยกันเอง หรือเป็นหนังที่สตูดิโอกำหนดเป้าหมายของมันชัดเจน เช่น ปีนี้ฉันจะลงทุนกับหนังสิบเรื่อง จะให้เป็นหนังตลาดแปดเรื่องและเป็นหนังที่ออกฉายช่วงฤดูใบไม้ร่วงสองเรื่อง” เขาบอก ในทางกลับกัน สาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยมนั้นมีเงื่อนไขและองค์ประกอบอื่นๆ ซับซ้อนกว่ามาก นับตั้งแต่ข้อที่ว่ามันต้องเป็นหนังที่ประเทศต้นทาง ‘เลือก’ ส่งมาเขาชิง หรือมีลักษณะไปได้ดีในตลาดต่างประเทศ

“ถ้าย้อนกลับไปสักยี่สิบปีก่อน สิ่งที่เป็น oscar bait ตัวเดียวในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม คือต้องเป็นเรื่องของพวกนาซี ยิว หรือสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะกรรมการออสการ์จะนิยมมาก แต่ระยะต่อมา กรรมการออสการ์ก็หลากหลายมากขึ้น มีทั้งคนรุ่นใหม่ คนหลากหลายสีผิวและมีกรรมการจากต่างประเทศเยอะขึ้น การคาดหนังที่จะชนะในสาขานี้จึงยากมากขึ้น” เขาอธิบาย

“รสนิยมที่เมื่อก่อนเคยถูกผูกขาดโดยกรรมการออสการ์รุ่นที่เติบโตมาหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สองก็เริ่มกร่อนหรือสลายไป เราจึงรู้สึกว่าเอาเข้าจริงๆ หนังที่จะเข้ามาในสาขานี้หลากหลายขึ้น จนยากจะระบุได้ชัดเจนว่าต้องเป็นหนังแบบไหน”

I’m Still Here

แต่แน่นอนว่าถึงที่สุด หนังแต่ละเรื่องก็ควรมี ‘ประตู’ ที่ทำให้คนในสังคมอเมริกันเข้าไปทำความเข้าใจตัวหนังด้วย “เพราะถ้ามันเป็นเรื่องท้องถิ่นมากๆ โอกาสที่กรรมการจะเข้าใจก็น้อยลง แล้วเวลาเราพูดถึงคณะกรรมการออสการ์นี่หมายถึงคนจำนวนประมาณเก้าพันกว่าคนเลยนะ มันจึงต้องมีช่องทาง มีประตูให้เขาทำความเข้าใจ และก็เป็นหน้าที่ของผู้จัดจำหน่ายหรือทำแคมเปญที่ต้องเน้นย้ำประตูเหล่านี้ ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังการเมือง พูดถึงระบอบเผด็จการที่กดขี่ เป็นต้น หรือสร้างจุดขายต่างๆ เพื่อให้กรรมการเข้าใจได้”

ไกรวุฒิเทียบเคียงการทำแคมเปญเพื่อส่งหนังชิงออสการ์ว่าเป็นไปในลักษณะคล้ายคลึงกันกับแคมเปญหาเสียงเลือกตั้ง คือเต็มไปด้วยศาสตร์การวางแผนและการงัดกลยุทธ์ต่างๆ สุดพลัง อาจกินเวลาตั้งแต่ก่อนหน้าหนังจะลงโรงฉาย ไล่เรื่อยมาจนหยดสุดท้ายก่อนการประกาศรางวัล และไม่เพียงกินเรี่ยวแรงมหาศาล แต่ยังเป็นแคมเปญที่ต้องใช้พลังทรัพย์ก้อนใหญ่ -ที่กินความถึงตั้งแต่หลักแสนเหรียญฯ ไปจนถึงหลายสิบล้านเหรียญฯ

“การจะทำให้หนังไปเข้าชิงออสการ์ ก็เหมือนการทำแคมเปญเลือกตั้ง นักแสดงต่างประเทศหลายๆ คน เมื่อถึงฤดูการทำแคมเปญ ก็ต้องไปพักกันอยู่ในฮอลลีวูดยาวๆ สองเดือนเพื่อไปให้สัมภาษณ์สื่อ ไปงานฉายภาพยนตร์ต่างๆ หรือออกงานปาร์ตี้ มีสิ่งที่คนเหล่านี้ต้องทำและจัดการมากมายเพื่อให้ไปสู่การเข้าชิงรางวัล” ไกรวุฒิอธิบาย “มันมีทั้งทำเพื่อหวังสื่อสารไปยังคณะกรรมการออสการ์ และหวังไปที่คนดูหนังทั่วๆ ไปด้วย เพราะสองอย่างนี้ส่งเสริมกันและกันเอง หรือคือเมื่อคนดูเริ่มส่งเสียง เริ่มมีกระแส กรรมการก็ต้องหันมามองด้วย”

เรื่องของเรื่องคือถ้าการทำแคมเปญ ‘แม่นยำ’ มากพอ จะเป็นไปในลักษณะ ‘ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว’ กล่าวคือทั้งได้ความสนใจจากคณะกรรมการออสการ์ และโฆษณาตัวหนังที่กำลังจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ และแน่นอน เบื้องหลังความเคลื่อนไหวเหล่านี้คือการทุ่มเม็ดเงินมหาศาล

“การทำแคมเปญนั้นแปลว่าจะต้องมีการใช้จ่าย ทั้งการซื้อหน้าโฆษณา การไปเช่าโรงหนัง การจ้างคนมาทำกลยุทธ์ทางการตลาด ให้คนมาวางแผน มันไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ผู้กำกับคนนี้จะเดินเข้าไปในงานปาร์ตี้คนทำหนังได้เลย การลงทุนกับการสร้างแคมเปญนี้จึงเป็นสิ่งที่จะต้องใช้เงิน เฉกเช่นเดียวกับการเลือกตั้งทั่วๆ ไปที่ต้องใช้เงินในการทำแคมเปญเหมือนกัน”

ทั้งนี้ ประเด็นหนึ่งที่ไกรวุฒิชวนสนทนา คือสถานะและการเปลี่ยนแปลงของรางวัลภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยมของออสการ์ในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งด้านหนึ่ง อาจสะท้อนตรรกะและวิธีคิดของเวทีรางวัลในภาพใหญ่ทั้งมวล “เมื่อก่อนรางวัลสาขานี้ใช้ชื่อ the Best Foreign Language Film Award หรือหนังพูดภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม และถ้าย้อนไปเมื่อ 30-40 ปีก่อน ก็จะพบว่าการให้รางวัลนี้ยังมีวิธีคิดแบบสงครามเย็นอยู่เลย คือหนังจะต้องชาตินิยมมากๆ เช่น มองว่าตัวหนังต้องเป็นตัวแทนของชาติ นำเสนอประเด็นที่ว่าด้วยชาติ” เขาอธิบาย ก่อนชวนสำรวจรากของหนังทั้งห้าเรื่องที่เข้าชิงสาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม ที่มีลักษณะเป็น ‘ลูกผสม’ และพ้นไปกว่าการเป็นหนังที่พูดเรื่องความเกรียงไกรของประเทศต้นทาง

“แน่นอนว่า I’m Still Here ก็เป็นหนังที่เล่าช่วงสงครามเย็นในบราซิลผ่านครอบครัวหนึ่ง ซึ่งคนบราซิลภูมิใจมากว่ามันเป็นหนังที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเกิดเขา ด้านหนึ่ง มันก็ยังเป็นหนังที่ชาตินิยมอยู่ โดยที่มันก็เป็นหนังร่วมทุนสร้างของบราซิลกับฝรั่งเศสด้วย” ไกรวุฒิบอก ก่อนชวนขยับมาดูสาขาอื่นๆ ที่ดูจะซับซ้อนยิ่งกว่านั้น “ขณะเดียวกัน ก็มีหนังแบบ Emilia Pérez ซึ่งเป็นตัวแทนของประเทศฝรั่งเศส พูดภาษาสเปน เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเม็กซิโก หรือหนัง The Seed of the Sacred Fig ที่เป็นตัวแทนจากประเทศเยอรมนี โดยตัวหนังพูดถึงสถานการณ์ในอิหร่าน

“สองเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าหนังสาขานี้ไม่จำเป็นต้องแสดงถึงเรื่องราวของประเทศนั้นอย่างเดียว แต่เป็นหนังที่สะท้อนถึงความเป็นสภาวะข้ามชาติกัน ซึ่งเป็นธรรมชาติของอุตสาหกรรมหนัง -เช่นประเทศนี้ไปลงทุนในประเทศนั้น- หนังเหล่านี้จึงเกิดขึ้นมาได้จากการร่วมมือกันของหลายๆ ประเทศ”

Emilia Pérez

ยิ่งกับกรณีของ Emilia Pérez หนังมิวสิคัลเข้าชิง 13 สาขาจากฝรั่งเศส ที่ผู้คนไปมะรุมมะตุ้มข่าวชวนเหวอจากโพสต์ของนักแสดงนำนั้น ไกรวุฒิก็ยังเห็นว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ เมื่อมันเป็นหนังที่ ‘ปาดหน้า’ ตัวเก็งจากฝรั่งเศสเรื่องอื่นมาชิงออสการ์อย่าง The Count of Monte-Cristo (2024) หนังมหากาพย์ที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมเก่าของฝรั่งเศส โดยเฉพาะเมื่อมองเทียบกับปีก่อน ที่คณะกรรมการจากฝรั่งเศสต้องเลือกหนังเรื่องเดียวให้เป็นตัวแทนจากฝรั่งเศสไปเข้าชิงสาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม และที่เบียดขับกันมาในโค้งสุดท้ายคือ The Taste of Things (2023) หนังที่พูดเรื่องขนบการทำอาหารดั้งเดิมของฝรั่งเศสกับ Anatomy of a Fall (2023) หนังร่วมสมัยที่ว่าด้วยการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวละครหลักที่เป็นหญิงชาวเยอรมัน

“สุดท้ายกรรมการฝรั่งเศสในปีนั้นเลือก The Taste of Things มาเป็นตัวแทน และปรากฏว่าหนังหลุด ไม่เข้ารอบไปเลย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าถ้าส่ง Anatomy of a Fall จะมีสิทธิติดเข้ารอบห้าเรื่องสุดท้ายของสาขานี้หรือไม่” ไกรวุฒิว่า (อย่างไรก็ดี Anatomy of a Fall ชิงออสการ์ห้าสาขา -รวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยม- และคว้ารางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมกลับบ้านจ้า) 

“ขณะที่ปีนี้ หนังที่จะมาแข่งกับ Emilia Pérez คือ The Count of Monte-Cristo เป็นหนังฝรั่งเศสมหากาพย์ยาวสามชั่วโมงที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมเก่าของบ้านเขา และเป็นหนังทุนสร้างอลังการของบ้านเขาเลย (หนังสร้างด้วยทุน 43 ล้านยูโรหรือราวๆ 46 ล้านเหรียญฯ) ทั้งตัวหนังยังได้รับกระแสตอบรับดีมาก คือทำเงินถล่มทลายอีกต่างหาก

“เท่ากับว่า ฝรั่งเศสต้องเลือกหนังที่สร้างจากวรรณกรรมอันโด่งดัง ตัวหนังก็สะท้อนถึงศิลปะวัฒนธรรมอันงดงามของฝรั่งเศส กับหนังที่คนทำหนังชาวฝรั่งเศสไปทำหนังเกี่ยวกับเม็กซิโก ซึ่งสุดท้ายคณะกรรมการบ้านเขาเลือก Emilia Pérez และถือว่าเลือกถูกเพราะได้เข้าไปติดหนึ่งในห้าของสาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าถ้าส่ง The Count of Monte-Cristo ไปจะได้ชิงไหม แต่เมื่อเขาเลือก Emilia Pérez ก็เท่ากับว่า อย่างน้อยๆ ประเทศที่มีศิลปะวัฒนธรรมเก่าแก่ ก็ยังเล่นเกมเป็น รู้ว่าเงื่อนไขที่จะทำให้หนังเข้าไปสู่รางวัลภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยมมีอะไรบ้าง” ไกรวุฒิกล่าว

เขาอธิบายเพิ่มว่าเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งคือ Emilia Pérez นั้นกวาดกระแสทั้งในและนอกประเทศนับตั้งแต่ที่มันเปิดตัวฉายที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ ซึ่งด้านหนึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งการที่ตัวหนังมี เซเลนา โกเมซ (Selena Gomez -นักแสดงและนักร้องชาวอเมริกัน) มาร่วมแสดงเองก็ดี หรือแม้แต่การที่หนังพูดถึงการข้ามเพศซึ่งเป็นประเด็นที่ชาวอเมริกันสนใจเองก็ดี หรือในภาพใหญ่ Emilia Pérez ก็มีจุดขายหนังที่จะส่งมันสู่ความเป็นสากลมากกว่า

The Count of Monte Cristo

“เราว่าสิ่งนี้น่าสนใจ เพราะเวลาพูดถึง ‘หลานม่า’ ว่าจะไปออสการ์ต่างๆ นานา มันก็มีความชาตินิยมพอสมควร จนเราไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าสักวันหนึ่ง เป็นไปได้ไหมถ้าไทยส่งหนังเรื่องหนึ่งที่เป็นแค่หนังร่วมทุนไทย แต่พูดเรื่องอื่นที่ไม่ได้พูดเรื่องความเป็นไทยเลย” ไกรวุฒิชวนคิด “เพราะปีนี้ก็มีทั้งเยอรมนีและฝรั่งเศสที่กล้าฉีก มองหนังให้กว้างขึ้นว่าไม่จำเป็นต้องสะท้อนความเป็นชาติอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันสะท้อนว่าธุรกิจภาพยนตร์ของประเทศเราก็ลงทุนข้ามชาติ และโอบรับความหลากหลาย โดยที่สุดท้ายแล้วคือการสร้างหนังดีๆ เรื่องหนึ่ง”

กลับมาที่ ‘หลานม่า’ และหนทางการส่งหนังไทยเข้าชิงออสการ์ ไกรวุฒิชี้ประเด็นว่า ถึงที่สุดแล้วความหลากหลายคือคำตอบของคำถามมากมายเหล่านี้ “คนทำหนังหรือบริษัททำหนังถนัดด้านไหน ก็ควรส่งเสริมความถนัดของเขาในทิศทางที่เขาจะเติบโตขึ้นได้” เขาบอก “เราไม่ได้คิดว่าจะต้องไปเรียกร้องให้บริษัทที่ทำหนังกระแสหลักอย่าง GDH จะต้องทำหนังที่ได้เข้าชิงรางวัลเทศกาลหนังเมืองคานส์ เพราะสิ่งที่เขาทำอยู่ก็เป็นการเปิดตลาดใหม่ๆ เช่น ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสุดท้าย การที่ ‘หลานม่า’ ไปด้วยเสียงปากต่อปาก ก็แปลว่าเขาทำได้ดีอยู่แล้ว และควรทำอย่างนั้นต่อไป”

ในอีกด้าน บริษัททำหนังที่ ‘ปั้นหนัง’ เพื่อส่งไปยังเทศกาลต่างๆ ก็ควรมีพื้นที่ให้ได้ขยับขยายและหายใจ รวมทั้งถอดบทเรียนและรับไม้ต่อองค์ความรู้เหล่านั้นมาใช้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์บ้านเราด้วย “เขามีเครือข่ายและองค์ความรู้ของเขาว่าจะทำยังไงให้หนังของเขาประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นสายตลาดหรือสายรางวัล จึงควรสนับสนุนทั้งสองฝั่ง เพราะเวลาพูดเรื่องการสนับสนุนแล้วพ่วงกับประเด็นออสการ์หรือรางวัลเทศกาลต่างๆ มันก็มักจะมองเห็นแค่โมเดลเดียว ทั้งที่จริงๆ แล้วมันมีหลายโมเดลและหลายหนทาง”

ขยับขยายมาในแง่บทบาทของภาครัฐ ไกรวุฒิให้ความเห็นว่ารัฐบาลกำลังเดินมาในทิศทางที่ดีขึ้น แต่โจทย์ใหม่ที่ท้าทายคือ ‘ความสม่ำเสมอ’ “ที่ผ่านมา ทุนที่มาจากรัฐมันมีลักษณะเป็นเหมือนพลุ เช่น ช่วงสักสิบปีก่อนก็มีทุนไทยเข้มแข็ง ที่ต่อยอดและเลี้ยงปากท้องคนทำหนังเยอะมาก จากนั้นก็หายไป” ไกรวุฒิบอก “แต่ตอนนี้ รัฐหันมาสนับสนุนผ่านงบ THACCA ซึ่งถือว่าดีมากแล้วล่ะ แค่ต้องมีความสม่ำเสมอต่อไป ถ้ามีแบบนี้มาทุกปี ก็จะทำให้เกิดความยั่งยืนมากขึ้น

“อีกอย่างคือเวลาสนับสนุน รัฐอาจจะต้องมองมันในลักษณะเหมือน seed funding เหมือนการหว่านเมล็ดที่อาจโตไม่พร้อมกัน บางอย่างก็ต้องการการสนับสนุนไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งมันจะผลิดอก หรือบางอย่างอาจจะเห็นผลเร็วมาก ดังนั้น ก็อาจต้องมีมาตรวัดหลายๆ แบบ”

‘หลานม่า’ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวที่น่าจับตาของอุตสาหกรรมหนังไทย และคงไม่เป็นการเกินเลยนักหากเราจะมองว่า นี่ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความหวังของวงการในการส่งหนังไปสู่เวทีชิงรางวัลระดับสากล ที่ถึงที่สุดแล้ว การสนับสนุนจากภาครัฐกับภาคเอกชนในการให้พื้นที่และเสรีภาพต่อการทำหนังของคนตัวเล็กตัวน้อยย่อมเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเราล้วนต้องมีทั้งหนังอิสระและหนังสตูดิโอ -ซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน- เพื่อสร้างความหลากหลาย อันไม่เพียงแต่จะสร้างโอกาสสู่เวทีสากล หากแต่มันยังเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมและวัฒนธรรมการรับชมภาพยนตร์โดยรวมของประเทศด้วย

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save